วันพุธ, มกราคม 21, 2552

อยากทราบวิธีเรียนคณะนี้

เวลาทำโปรเจคควรจะทำตามที่เราคิดและอยากให้เป็นหรือตามแนวทางที่อาจารย์ต้องการครับ?ความสวยคืออะไรครับ?DesignFund???หรือควรจะเป็นความสวยแบบงานA???
โดย อวิชชา [30 ธ.ค. 2545 , 03:43:00 น.]

ข้อความ 1
ผมขอถือวิสาสะและบังอาจตอบในความคิดของผมนะครับ ว่า น่าจะทำตามที่ใจเรียกร้องดีกว่า ดูสิครับ ถ้าลองลากโยงอะไรก็ได้ไปเป็นลูกโซ่ซึ่งสัมพันธ์กันในลักษณะเหตุ-->ผล,เหตุ-->ผล,เหตุ-->...แบบฝนเอยทำไมจึงตก-->เพราะกบมันร้อง-->กบเอยทำไมจึงร้อง-->...อะไรประมาณนี้ จะพบว่าสุดสายปลายโซ่ของทุกสรรพสิ่งไม่ว่าจะเป็นphysicalหรือmetaphysicalก็ตาม ย่อมจบลงที่ใจคนเสมอ ผมมิค่อยจะชอบระบบการเรียนแบบนกแก้วนกขุนทองนักหรอก ซึ่งผมเชื่อว่าอาจารย์ส่วนมากก็เช่นกัน แต่อันนี้ก็เนื่องมาจากเด็กอย่างเราๆยังโง่งมกันอยู่ ท่านก็ไม่สามารถจะfreestyleได้ เดี๋ยวจะเข้าข่ายควายเซ็นเตอร์ซะก่อน ผมว่านะ การที่เราเรียนแบบผีดิบ อาจจะจบไปได้Aรวด แต่คนพวกนี้ก็ไม่สามารถแปรเปลี่ยนสังคมได้หรอก คนที่จะทำให้สังคมเปลี่ยนแปร คือเหล่าคน"แหกคอก"แต่พองามตะหาก ผมนะเห็นเพื่อนบางคนมาคณะส่งงาน กินข้าว กลับบ้านทำแบบ มาคณะส่งงาน กินข้าว...ยังกะเครื่องจักรแว่นหนาเตอะ ฟาดAไปกระจาย อย่างผมเนี่ย Aบ้างBบ้างCบ้าง แต่ผมได้เดินกินลมลมวิว ชื่มชมสรรพสิ่งอยู่บ่อยๆ แกลเลอรี่ผลงานจิตรกรรมก็ไปดูไปชมมิได้ขาด(ทั้งที่อยู่ตรงข้ามฟากถนนถาปัด แต่มีบางคนมิเคยจะคิดข้ามไปเชยชม) ดนตรีก็ฝ์กก็เล่นอยู่เสมอ รู้จักร้านอาหารดีๆเยอะแยะ กาแฟอร่อยๆ มีเวลาอ่านหนังสือ จิตวิทยา นิยาย บลาๆๆ เป็นที่สนุกสนาน สุดท้ายนะ ผมเชื่อว่า ไม่ว่าจะเป็นสถาปนิก จิตรกร นักดนตรี นักคณิตศาสตร์ นักวิทยาศาสตร์ etc. สุดท้ายก็วัดกันที่ความคิดที่เป็นปัจเจกแห่งบุคคลนั้นๆแล (แต่เพื่อนๆบางคนยังยกอะไรดาษๆก็ไม่รู้มาเป็นconcept ธรรมชาติ วิวดี ลมเย็น การเล่นระดับ หูย ไม่greatเรยครับ ยามที่ผมได้รู้แนวความคิดของเหล่าgreat 'tect มันทำให้ผมขนลุกได้เลย เหมือนฟังorchestraตอนจังหวะบรรเลงหนักๆน่ะ มันจะเหวอครับ เหวอออออ) ลองดูสิ สถาปัตยกรรมโมเดิร์นแบบCorbusianมีให้เห็นเต็มเมือง แต่กระนั้นมันกลับดูโง่เง่าอับเฉาเบาปัญญาลดค่าสังคม เพราะมันเป็นความคิดของCorbusier ต่อสังคมของเขา โดยผ่านปัญญาแห่งเขาเพียงคนเดียว เขาถึงได้ยิ่งใหญ่ค้ำฟ้า เพราะเขาเป็นบุตรแห่งการปฏิวัติ ก่อนหน้าเขาไม่เคยมีstyleเช่นเขามาก่อน เขาคือคน"แหกคอก"ที่ยิ่งใหญ่ คน"แหกคอก"นั้น ไม่ยิ่งใหญ่ค้ำฟ้า ก็ตายอย่างหมาข้างถนน นั่นคือสิ่งที่คนไทยและสังคมโดยรวมไม่กล้าแลกมา ยังสอนสั่งแต่การเอาตัวรอด ตามกระแสต่อไป ก็ตามไปต่อก็ละกัน ผมก็ขอพูดแบบin trendๆเลยว่า "ไม่จ๊าบเล้ย ขอบอก" ส่วนด้านการออกแบบ ผมมิเห็นความต่างระหว่างความสวยกับน่าเกลียดเลย(Deconstruction) dsgn fundของคณะเราน่ะ ก็ใช้หลักสูตรของGestalt Psychologyแทบจะทุกอย่างแหละ เพราะสอนแบบBauhausๆ ซึ่งจิตวิทยาก็เป็นเพียงศาสตร์ที่พยายามจะทำความเข้าใจจิตใจของคน แล้วทำไมเราไม่ใช้ไอ้จิตใจของเรานั่นเป็นตัววัดซะเลยเล่า ยามใดที่ไม่แน่ใจในตัวเอง ยามนั้นค่อยกลับมาพึ่งวิชาตำรา ความสวยวัดกันที่ไหนครับ? ในศิลปะนั้น ไม่มีคำว่าสวย-ไม่สวย เหมือนจริง-ไม่เหมือน ถูก-ผิด หรอกครับ มีแต่คำว่าชีวิต จิตใจ พลัง สะเทือนจิต อันนี้ผมตีความมาจากคำของศ. ชลูด นิ่มเสมอ อีกที ซึ่งผมเห็นด้วยอย่างยิ่งยวด คำว่าสวย เป็นแค่subsetของสุนทรียภาพเท่านั้นนะครับ
โดย จญิมโณเภดัยขอบังอาจ [30 ธ.ค. 2545 , 20:58:19 น.]

ข้อความ 2
คำกล่าวข้างต้น น่าคิดน่านับถือครับ ผมขอคุยเพิ่มดังนี้ ...นะครับ ความสวยนั้น เป็นเรื่องการปรุงแต่งที่เกิดในจิต ความสวยตามหลักธรรมนั้น จะเกิดขึ้นได้ ต้อง เกิดจากจิตที่บริสุทธิ์ผ่องใส จิตที่เกิดโดยการ ปฏิบัติในทางธรรม เกิดรู้จากปัญญาในสิ่ง ที่ตรงความเป็นจริง คือ มีลักษณะของไตรลักษณ์ เป็นอนิจจัง เป็นทุกข์ และเป็นอนัตตา บังคับ บัญชาเอาเองไม่ได้ เช่นความเกิด แก่ เจ็บ ตาย แต่ปรมัตต์ธรรมเช่นนี้ เอามาใช้ทางสมมติบัญญัติ อาจไม่เหมาะสม หากจะหวังโลภที่คะแนนจากครู นอกจากแปลงความสวยให้ตรงกับที่ครูรู้ครูพอใจ ครูได้ความสุขปิติ ถ้าทำให้ครูเกิดปัญญารู้ทุกข์ได้อีก การสนองความสวยนั้น ก็เป็นกุศลกับครูและผู้อื่น เราทุกคนมักแสวงหาความบริสุทธิ์ผ่องใสของจิต กันทุกคน แต่เผอิญเราต่างก็ไม่รู้ ไม่เชื่อ และไม่มีปัญญา พอจะเข้าใจความจริงในสิ่งที่จะทำให้จิตเราเกิดความ บริสุทธิ์และผ่องใส หลายคนจึงยังวนเวียนค้นหามัน จากเหตุปัจจัยที่มีความโลภ ความโกรธและความหลง เพราะไม่เชื่อว่าการสร้างสรรค์ความสวยที่ปราศจาก เหตุปัจจัยดังกล่าวนั้น ไม่มี เพราะติดที่ความเคยชินมา นานมีมาหลายภพหลายชาติที่ความเป็นมนุษย์เรานั้น เวียนว่ายตายเกิดกันอยู่ สิ่งที่เราเรียนรู้กันทางโลก จึงเป็นเรื่องการปรุงแต่ง เป็นเรื่องของสมมติบัญญัติทั้งสิ้น Design Fundamental ยุคนี้สมมติและบัญญัติกันเป็นยังไง ก็คงต้องถือความสวยจาก หลักเกณฑ์ที่เรายึดกันดังนั้น เพื่อให้เกิดความเข้าใจหรือสื่อ ถึงกันได้ระหว่างครูและศิษย์ ส่วนจะก้าวกระโดดต่อไปนั้น เป็นเรื่องของการแสวงหาร่วมกัน ถ้าเห็นพ้องกันก็ถือว่า เป็นกัลยาณมิตรแก่กันและกัน ยิ่งถ้าเป็นไปในแนวทาง ของกุศลธรรม ก็ช่วยพัฒนาให้จิตของแต่ละคนเกิดความ เจริญในความบริสุทธิ์ผ่องใสยิ่งขึ้น ผลมันจะสนองใน สิ่งที่เป็นคุณแก่ชีวิตมากมาย ไม่ใช่ความสวยที่เราคิดกัน อยู่ขณะนั้น แต่มันเป็นความสวยที่ครอบคลุมไปทุกส่วน ของชีวิตที่เรากำลังดำเนินอยู่ เพราะวิทยาศาสตร์ใหม่กำลังก้าวไปในความรู้ของ ความจริงหรือความเป็นองค์รวม ความเชื่อมโยงกัน ของทุกสรรพสิ่งที่เราสมมติเป็นชีวิตหรือจักรวาล จึงมีคำกล่าวที่ว่า เด็ดดอกไม้กระทบถึงดวงดาวบน ท้องฟ้า ความสั่นสะเทือนที่เกิดจากผีเสื้อขยับปีกใน สถานที่หนึ่ง อาจโยงไปถึงความสะเทือนของแผ่นดิน ในสถานที่แห่งอื่นๆ เป็นต้น คตินี้ให้ข้อเตือนใจที่ว่า ถ้าใครคนหนึ่งทำชั่ว สร้างสิ่งเลวเป็นอกุศลแล้ว ผล เสียก็จะเกิดแผ่ขยายไปทั่ว รวมกันมากเข้าก็เป็นหายนะ ให้กับชีวิตและจักรวาลของเราทุกคนได้ ตรงข้ามถ้า ทำดี เป็นกุศล ผลดีก็จะเกิดขยายไปทั่วเช่นกัน แบบหลัง เชื่อว่าน่าทำให้ชีวิตและจักรวาลของเราเกิดสันติสุข มีอายุการคงอยู่และสมดุลป์ยืนยาวขึ้นอีกหน่อย ใน ทางสมมติเขาจัดไว้ในชั้นของสวรรค์แดนสุขาวดี ไม่ใช่แดนนรก ในสถานที่ซึ่งมีเวลาของสรรพสิ่งใน แต่ละแห่งต่างกัน ดังนั้น บนความสัมพันธ์ของการเรียนรู้ระหว่างครูกับศิษย์ ก็ต้องสร้างความเป็นกุศลกันไว้เรื่อยๆตั้งแต่แรกพบจนต้อง จากกัน ความสวยก็จะงอกงามกันไปเรื่อยๆ คือเกิดความ บริสุทธิ์และผ่องใสของจิตใจในแต่ละคนนั่นเอง ผมว่า.. นี่เป็นความสวยแบบยั่งยืนถาวร ไม่ใช่ความสวยจากการ ปรุงแต่งชั่วครู่ชั่วยาม เพื่อได้คะแนน A แค่นั้น เพราะ A เป็นเรื่องของบัญญัติสมมติขั้นต่ำเอามากๆ ยิ่งถ้าเป็นไป เพื่อความโลภ ยิ่งแล้วใหญ่ เพราะไม่เป็นความรู้ที่ได้เพื่อ สร้างปัญญาให้เราๆรู้ทุกข์ได้เลยในชาติภพนี้ สรุปก็ต้องบอกว่า เรียนเอาใจเพื่อตัวเราและก็เพื่อครูด้วย จิตเรานั้นสามารถเนรมิตให้เกิดได้ผลทั้งสองอย่าง ไม่ จำเป็นต้องเป็นอย่างเดียวเสมอไป สร้างกุศลนั้นช่วย ทุกคนให้ก้าวพ้นโลกสมมติไปได้ ส่วนอกุศลช่วยใครๆ ไม่ได้เลย ทั้งตัวเราและครู มันจะดึงลงเหวลงนรกกัน ในที่สุดเท่านั้นเอง อย่าถามนะ...สูตรหรือวิธีทำดังว่าที่ชัดๆนั้นเป็นอย่างไร เพราะสัจจธรรมในเรื่องนี้นั้น เป็นเรื่องทางใครทางมัน จริงๆ แม้จะมีแนวทางที่มีผู้ค้นพบให้มาแล้วก็ตาม ..แต่ใคร จะไปเชื่อ...มรรคแปดคืออะไร ทุกข์คืออะไร ก็ยังไม่กันรู้เลย ผมเอง..ก็ยังไม่รู้ ..แค่พล่ามมาให้งงๆกัน ก็แค่นั้นเอง
โดย เพื่อนอาจารย์ [31 ธ.ค. 2545 , 12:54:14 น.]

4 ความคิดเห็น:

ไม่ระบุชื่อ กล่าวว่า...

ขอบคุณคับ

ไม่ระบุชื่อ กล่าวว่า...

ขอบคุณมากนะครับสำหรับข้อมูล

ไม่ระบุชื่อ กล่าวว่า...

ขอบคุณมากนะครับสำหรับข้อมูล

ไม่ระบุชื่อ กล่าวว่า...

ขอบคุณมากครับ สำหรับข้อมูล