โดย นิสิต ปี 5 [25 ก.ย. 2546 , 01:01:30 น.]
ข้อความ 1
การวางแผนชีวิตหลังเรียนจบ เป็นเรื่องดี แต่อย่าไปซีเรียสกับความสำเร็จหรือล้มเหลวในแผนมากนัก การวางแผนที่ดี คือมีแผน ที่สามารถปรับเปลี่ยนได้ตลอดเวลา ในสมัยของผม ...จบแล้วต้องหาเงินเลี้ยงตัวเอง เพราะคนคอยเลี้ยงดูไม่มี และเพราะเรียนในคณะนี้ ได้เห็นแต่สิ่งสวยงาม และฝันค้างของบรรดาครูถึงแดนสิวิไลซ์ ตะวันตก เลยพักนั้น..เพ้อจะไปเมืองนอกให้ได้ จบแล้ว แต่เกรดไม่ดี เพราะรักสนุกมากกว่า รักเรียนแบบบ้าเรียน เลยต้องปิดช่องว่างเรื่องเกรด หากจะไปเรียนที่เมืองนอกในสมัยนั้น ต้องเรียนต่อในมหาวิทยาลัย ท๊อปเทน (ivy-league schools)เท่านั้น ถึงจะแน่จริง ไปทำงานเพื่อเพิ่มเกรดในสำนักงานสถาปนิกชั้นนำตอนนั้น เพราะรุ่นพี่สนับสนุน ลำพังฝีมือเขียนตีฟที่มีตอนนั้น เขาไม่รับ เพราะยังไม่เข้าขั้นมือเซียน แต่อาศัยตื้อหน้าด้าน ทำไปถึงสามปี พอพบเนื้อคู่จึงลาออก สัญจรไปเมืองนอกทันที ไปที่มหาวิทยาลัย ชั้นนำอย่างว่า เดินไปเคาะประตูห้องคณบดีฝรั่ง เพื่อสมัครเรียน ด้วยความมั่นใจ เพราะมีจดหมายครูของผม ซึ่งเป็นศิษย์ คนโปรดของท่านอยู่ในมือ พอครูฝรั่งอ่านเสร็จ ยิ้มทำเล่นตัวอยู่สักพัก ก็นัดให้มาเรียนกันเลย สมัยนั้นเข้าเรียนที่ ยูเอส ง่ายเหมือนปลอกกล้วย เพราะอยู่ใน ช่วงสงครามเวียตนาม คนหนุ่มๆมะกันไปสงครามกันหมด พวกหนุ่มกระเหรี่ยงเลยสบายทั้งการเรียนและการงาน แต่ถ้าผมเป็นคุณ..อยู่ในสมัยนี้ ผมจะอยู่เที่ยว ที่เมืองไทย เรียนรู้ชีวิตให้ทะลุปรุโปร่ง ทำ ความรู้จักกับสถาปัตยกรรมและชีวิตคนไทย ให้ครบทุกจังหวัด แล้วจึงค่อยไปชุบตัวเมืองนอก แต่ถ้าครั่นเนื้อครั่นตัวอยากเรียนต่อเอามากๆ ผมแนะนำว่า ..น่าจะไปสมัครเรียนเปรียญธรรมเก้าประโยค มุ่งเป็นสมภารหรืออาจารย์สอนบาลีธรรมให้ได้ ทำได้อย่างนี้..ผมเดาว่าจะมีกระบวนทัศน์ใหม่ ที่ไม่ธรรมดาแน่นอน และจะดำเนินชีวิต ต่อไปอย่างมีความมั่นใจ มีความหมาย และสร้างสรรค์ งานสถาปัตยกรรม ได้ดีกว่าคนรุ่นเก่าๆ อย่างแน่นอน (เพราะตอบยาว...เลยต้องมีต่อ..ครับ)
โดย เพื่อนอาจารย์ [29 ก.ย. 2546 , 17:09:29 น.]
ข้อความ 2
ที่เล่ามาเพราะรู้แก่ใจว่า คุณถามเอามัน ถึงบอกไป คุณก็ไม่เชื่อ เพราะการวางแผน ชีวิตของใครนั้น เชื่อตามกันไม่ได้ และไม่ควรเชื่อ ต้องวางกันเอง ต้องอาศัยพระพรหมเป็นลูกน้อง คอยแก้ไขให้ หากแผนเกิดสดุดหรือมีปัญหา จะได้ไม่ต้องฆ่าตัวตายแบบพวกคนงี่เง่าใจร้อน ตรงนี้..นึกถึงตอนที่ผมไปอ้อนแม่ยายเพื่อขอแต่ง กับลูกสาว คือภรรยาผมในปัจจุบัน ผมบอกแผนการ ชีวิตเสียยืดยาว เพราะตั้งใจเตรียมทำมาและใช้เวลา มากกว่าตอนทำทีสิสด้วยซ้ำ คุณอาจลองเอาคำวิจารณ์แผน ของแม่ยายผม ไปลองพิจารณาก็ได้นะครับ แม่ยายผมวิจารณ์ว่า ...คนเราไม่ต้องวางแผน บ้าแผนบอไปให้มากเรื่อง ...จงอยู่ และมีชีวิตไปวันๆ ให้ดีกับปัจจุบันกาล ก็พอแล้ว...เพราะ ชีวิตย่อม ดำเนินไปตามกรรมของเรา ทำกรรมดี ชีวิตก็จะดำเนินไปทางดี หากทำกรรมชั่ว ชีวิตก็จะดำเนินไปในทางชั่ว ฟังดูก็ง่ายดี ....แต่คงปฏิบัติได้ยาก เพราะตามหลักทางพุทธศาสนาแล้ว นี่เป็นอาการของจิต ที่อยู่กับ "ปัจจุบัน" ซึ่งเป็นสาระอันสำคัญยิ่ง ในการเจริญภาวนาทางพุทธศาสนา คนวางแผน มักหมกมุ่นกับเวลาของอนาคต ที่ยังมาไม่ถึง และพะวงกับเวลาของอดีตที่ยังคอยหลอกหลอนอยู่ บางคนถึงขั้น...กลัวอนาคตจะไล่ล่าเหมือนท่านนายก(ในขณะนั้น) ก็มี ผมว่าไม่ต่างอะไรกับคนกลัวผี กลัวตาย กลัวเกิด และ สารพัดกลัวอื่นๆ แต่ถ้ากลับกัน..หันมาฝึกให้สติอยู่กับปัจจุบันกาล อย่างน้อยก็น่าจะทำให้ช่องว่างระหว่างอนาคตกับอดีตแคบลงๆ ถ้าฝึกไปเรื่อยๆ ก็อาจบรรลุสถานะปัจจุบันล้วนๆ คือเป็นความไร้กาล ก็ได้...นะครับ นั่นหมายความว่า..ชีวิตที่ดำเนินไปตามธรรมชาติ และสิ่งที่เราพึงต้องการอย่างกลมกลืนกัน..คือ ด้วยความต้องการบนพื้นฐานที่จำเป็นเท่านั้น ชีวิตทำนองนี้ พระพุทธองค์ ได้ปฏิบัติเป็นแบบจำลอง ให้ทราบกันมาแล้ว ....แต่มีปัญหาเหลืออยู่ตรงที่ คนส่วนมากยังกลัวๆ และไม่กล้าหาญพอที่จะดำเนินรอยตาม ... ก็เลยต้องสร้างโวหารแบบสมมุติกันว่า ..แผนการชีวิตของฉัน .. ควรเป็นเช่นไร? ..วานช่วยบอกที ..แม้ฉันจะไม่เชื่อ ...ก็ตามที
โดย ขออีกที [29 ก.ย. 2546 , 17:11:30 น.]