วันพฤหัสบดี, มกราคม 22, 2552

ถ้าชีวิตมันเหี้ ..นักทำไงดีครับ

ที่บ้านแม่ งก็เหี้ คนรอบข้างก็เหี้ ตัวผมก็เหี้ อะไรๆก็เหี้ อย่างงี้ผมว่าผมไปสร้างเรื่องเหี้ ๆให้ชีวิตคึนอื่นบ้างก็คงจะมันดีนะครับ
โดย ผู้แสวงหา [29 ส.ค. 2545 , 20:26:30 น.]

ข้อความ 1
แล้วผมจะกลับมาตอบ และจะสาธยายให้ฟังยาวๆ อย่าเพิ่ง "คิด" สร้างความเหี้ ..ให้มากกว่านี้ รอกันหน่อยนะ.. เราต่างก็เหี้..พอๆกัน เล่นกันเอง ดีกว่าไปเล่นกับคนอืน ที่เขายังไม่เหี้..มาก่อน แล้วกลายมาเป็นเหี้.. จะรีบไปทำงานว่ะ งานเหี้..ๆ เช่นเคย
โดย เพื่อนอาจารย์ [30 ส.ค. 2545 , 10:31:07 น.]

ข้อความ 2
ผมว่าเพื่อนอาจารย์คงมีคำตอบดีดี(และยาวยาว ไว้รออ่านละกัน แต่ส่วนตัว ผมว่า --ถ้าช่วงนี้คุนยังไม่สูญเสียคนที่รักไปซักคน ---ถ้ายังร่างกายแข็งแรงอยู่ ไม่เจ็บไข้ได้ป่วยอะไร --ถ้ายังมีข้าวกินพออิ่มอยู่ทุกวัน เชื่อผมเหอะว่าชีวิตมันยังไม่เป็นขาลงจนต้องใช้คำว่าเหี้--หรอกคับ ลองนั่งคิดดูนะคับว่าอะไรที่สำคัญกะชีวิดเราจิงจิงและมากพอที่จะควรค่าแก่ความรู้สึกรันทดใจเช่นนั้น----เด่วมันก้อผ่านไปนะ .......... ผมว่า
โดย ไทแมน [1 ก.ย. 2545 , 00:54:55 น.]

ข้อความ 3
อ้าว ตื่นมา พบว่าเวลาย้อนกลับไป สมัยที่โลกมีแต่ เหี้ แล้วคนไปอยู่ไหน หรือยังไม่ทันเกิด ตกลงเลยมีแต่เหี้ และ เหี้ ถ้าไม่ทำเหี้ แล้วจะทำอะไร ช่ายป่าว
โดย ครูประชาบาล [1 ก.ย. 2545 , 12:24:33 น.]

ข้อความ 4
อ่านแล้วนึกถึงเพลง(ใต้ดิน)เพลงนึงของโจอี้บอยกะดาจิม... มันหลับไม่ลง โว้ย ปวดกบาลจิงโว้ย เบื่อจิงๆๆโว้ย ปวดลูกตา มันเบื่อระอา มันเหนื่อยกายา โว้ย จนชินชา ท่องคาถา ชินบัญชรก่อนนอน ต้องท่องให้ครบทั้ง3จบ ถ้าท่องไม่ครบก็ไม่ได้พร สะกดเป็นกาพย์กลอน ฟังไม่ขาดตอน โว้ย มาละโว้ย ไปละโว้ย เบื่อละโว๊ยโวย โว้ยยยยย... แม่มกันทั้งวัน แม่มก็เหมือนกัน แม่มก็หวังฟัน เหี้ กันทั้งน้านน โว้ย ถึงmungจะใส่สูทหรือว่าผูกไท guรู้mungเหี้ ถึงmungจะส่ายตูดหรืว่าส่ายไข่ guรู้mungเหี้ ใครต่อใครเค้าก็คิดว่าmung nice guรู้mungเหี้ เห็นไม๊เนี๊ยๆ เอ้า guก็เหี้ เหมือนกัน แย่งแฟนเค้าเหมือนกัน แ_กเหล้ากันทั้งวัน ดูดบุหรี่กันสนั่น เหี้ กันท้างน้าน โว้ย ได้แต่พยามทำตัวให้ดูดี guรู้mungเหี้ ได้แต่พยามแต่งตัวให้ดูดี guรู้mungเหี้ ฝ่าไฟแดงถูกเรียกก็ขับหนี เห็นไม๊เนี๊ยๆ เอ้า guก็เหี้ เหมือนกัน เพราะฉะนั้นพวกmungก็ไม่ต้องไปคิดมาก ถึงจะเหี้ ยังไงก็ขออย่าให้เหี้ มาก เหี้ กับเหี้ คบกันไม่ลำบาก อยู่รวมกันไม่ยุ่งยาก เหี้ กันตามอัตภาพ หลอกตัวเองว่าตัวนั้นดีเลิศ แค่คิดอย่างงี้ นี่แหละmungเหี้ กำเนิด เกิดเป็นหางแดงสองแฉก นี่แหละเหี้ ประเสริฐ เหี้ เถิดๆ เหี้ เถิด โว้ย โวย
โดย guก็เหี้ เหมือนกัน [1 ก.ย. 2545 , 21:44:57 น.]

ข้อความ 5
ดีใจจัง มีพรรค์เดียวกันว่ะ ลองมาอ่านซ้ำๆกันนะ... คำว่า "เหี้.." เข้าใจว่าคงหมายถึง..สิ่งที่ไม่ดี ภาวะทางจิตใจขณะที่เปรยคำนี้ คง "ไม่สบาย" ไม่ปกติ ไม่พอใจ เซ็ง เบื่อ และโกรธ ฯลฯ หากพิจาณาลงไปให้ลึกๆ ให้เห็น "ความจริง" ความเป็นอนิจจัง ความเป็นทุกข์ และความ ไม่เป็นเรื่องราวแล้วเอามาให้เป็นเรื่องราว (อนัตตา) เช่น เหี้..เป็นสัตว์ที่มีวิวัฒนาการมาเป็นคนในที่สุด จะจัดเป็นสิ่งดีหรือไม่ดี ก็เป็นบรรพบุรุษของเรา มีเกิด มีเจ็บ มีตาย เป็นสัจจธรรมแห่งสัตว์ทั้งมวล ถ้าเป็น เหี้..เหมือนกันหมดทั้งมวล (โดยไม่แยกรูปแยกนาม) เริ่มเกิดจากง้วนดิน แล้วไม่เกิด "สัญญา" ต่างรูปต่างนามไปเอง โลกนี้ก็เป็นสุข เป็นปกติ เป็นธรรมชาติ แต่ถ้าถือเป็นกันบ้างไม่เป็น กันบ้าง (เพราะคิดผิดเอาเอง) อันนี้ทำให้เกิดความขัดแย้งได้ ส่วนจะรุนแรงอย่างไร ขึ้นอยู่กับปริมาณความต่าง แล้วสุดท้าย จะนำไปสู่หายนะ (chaos) ทั้งตัวเองและสังคมในที่สุด เพราะยังไม่รู้เท่าทันธรรมชาติ ที่เป็นปกติ เป็นธรรมดา เท่านั้น ความเข้าใจเอาเองว่าเป็น เหี้..หรือคนอื่นเป็นอย่างเรา หรือ ไม่เป็นอย่างเรา เกิดขึ้นได้ ..ก็ดับไปได้เอง ไม่ต้องไปอนุรักษ์ เพราะทำไม่ได้ เดี๋ยวก็เปลี่ยนเป็น ไม่เหี้.. คนอื่นก็ไม่เหี้..หรือยัง ดันดื้อเป็นเหี้..ย้อนยุคอยู่อีกก็ตาม เกิดขึ้นได้ ก็ดับกลับไปเป็น เหี้.. อีก มันวนเวียนเหมือนงูกินหางตัวเองอย่างนี้เอง ..เป็นวัฏฏะครับ ทางธรรม..มักเตือนไว้ให้คนที่คิดเป็นมนุษย์ให้ได้ควรอยู่ "เหนือ" ธรรมชาติของความเป็น เหี้..และความไม่เป็น เหี้..นี้เสีย ก็จะเป็นเช่นมนุษย์สมบูรณ์ คือมี ธรรม ที่ต่างและเกินจากสัตว์ หรือคนพันธ์สัตว์ทั่วไป เมื่อเป็นมนุษย์ได้ ก็จะเป็นปกติ เป็นธรรมดา เป็นธรรมชาติ ที่ไม่อยู่ในความประมาท ในการเป็นงูกินหาง ตัวเองตลอดไป .. ขอจบปรัชญาความเป็น เหี้..ที่ไม่น่าจะเป็น เหี้..ไว้แค่นี้นะ ชักงงๆเองแล้วซิ ..ว่าจะเป็นอะไรกันอีกล่ะ
โดย เพื่อนอาจารย์ [2 ก.ย. 2545 , 12:17:07 น.]

ช่วยขยายความคำว่าcontemporaryให้กระจ่างหน่อยสิครับ

รู้สึกว่าเดี๋ยวนี้ใช้กันเกลื่อนมาก ๆเลยฮะ แบบว่ามันน่าจะมีอะไรมาต่อท้ายหน่อยฮะ เพราะมันมีเยอะจริง แต่ทำไมใคร ชอบเรียกให้มันโก้อยู่เรื่อยเลย แล้วอีกหน่อยคำ ๆนี้ควรจะมีอะไรมาต่อท้ายเหรอครับ เพราะ ใครก็ชอบพุดว่างานของตนไม่มีสไตล์ รู้สึกเหมือนว่ามันขาดอะไรไปอย่างงงงงงงนะครับ ในการนำเสนอผลงาน เหมือนกับพวกเครื่องจักรทำงานที่รวม ๆข้อมูลแล้วก็ประมวลผงออกมา รู้สึกแย่ครับ ยิ่งบางคนมีอีโง่มาก ก็ยิ่งแย่ไปใหญ่
โดย สสจ [9 ต.ค. 2546 , 07:16:41 น.]

ข้อความ 1
ผมเคยทราบ...มานานแล้วว่า เมื่อเอ่ยถึง comtemporary architecture เขามักหมายถึง สถาปัตยกรรมร่วมสมัย ผมเดาว่าคงอยากกำหนดสไตล์ ของลักษณะสถาปัตยกรรมที่ทำกันอยู่ในปัจจุบัน หรือในแต่ละยุคสมัยที่ผ่านมา คงรวมสรุปแนวความคิดต่างๆในการออกแบบ ที่ใช้กันในปัจจุบัน หรือในแต่ละยุคสมัยด้วย แนวคิดที่ได้ยินกันตั้งแต่ปี ๑๙๙๐s ก็มี โพสต์แก่ๆ(ปลาย) ดีคอน และมินิมั่มหนุ่มๆ(ต้นๆ) ฯลฯ ในสมัยผมเป็นนิสิต เขามักเรียก สถาปัตยกรรมโมเดิร์น ว่าเป็น สถาปัตยกรรมร่วมสมัยในขณะนั้น (ราวๆปี ๑๙๖๐s) ...ลอง หาอ่านงานวิจัยของ ศ.ผุสดี เกี่ยวกับแนวคิดของสถาปนิกไทยในยุคนั้น..นะครับ ในปัจจุบันสมัย ปี ๒๐๐๐s นี้ ผมไม่แน่ใจว่า...สถาปัตยกรรมร่วมสมัยนี้ เป็นอย่างไร หรือนิยมแนวคิดอะไรที่เด่นชัดในเมืองไทย แต่สังเกตุว่านิสิตชอบพูดถึงงานของ อันโด๊ะ และพวกมินิมั่มนิสซึ่ม แต่หากมองงานโปรเจคก็ยังเป็นแบบ"โบราณ" ฟังชั่นนิสซึ่ม ผมคิดว่าอิทธิพลอาจารย์คงบังคับ หรือสอนกันแต่ สถาปัตยกรรมร่วมสมัยของอาจารย์ละมัง ส่วนมากเป็นแบบเชยสุดๆ แนวคิด ก็แคบๆ ไม่เน้นแนวคิดแปลกแยก หรือคิดแบบค์รวมเท่าไร หรือไม่มีการพัฒนาจากโมเดิร์นเท่าไรนัก พูดถึงการเปลี่ยนในแต่ละยุคสมัยในแง่งานสถาปัตยกรรมเมืองไทย ผมว่าเปลี่ยนแปลงช้ามาก เลยสังเกตความแตกต่างระหว่างสมัยยากมาก ยุคนี้น่าถือกันได้ว่าเป็นยุคดิจิตัล ก็ยังไม่เห็นสถาปัตยกรรมแบบดิจิตัลในเมืองไทย เห็นแต่ตึกติดป้าย "ดีแท็ค" โตๆไม่กี่ตึก นี่ก้อ กำลังรออ่านหนังสือเรื่อง digital architecture ของอจ.ธิดาศิริอยู่ น่าจะถือเป็นสถาปัตยกรรมงร่วมสมัยของยุคปัจจุบันได้กระมังครับ สรุปว่า..สำหรับเมืองไทย สถาปัตยกรรมร่วมสมัย กับสถาปัตยกรรมโบราณๆ..ในความเห็นผม มีความหมายไม่ต่างกันมากนัก เพราะแนวคิดในการออกแบบมีการพัฒนาและเปลี่ยนแปลงน้อยมาก ทั้งคุณและผมเลยสับสนกับคำว่า "ร่วมสมัย" พอๆกัน คุยมาแบบคนไม่มีความรู้ "ร่วมสมัย" เอาเลย...นะครับ
โดย เพื่อนอาจารย์ [10 ต.ค. 2546 , 00:49:25 น.]

ข้อความ 2
คิดเป็นองค์รวมคืออะไรครับ?
โดย ??? [19 ต.ค. 2546 , 02:09:47 น.]

ข้อความ 3
คือหมายถึงการคิดเชิง "กระบวนการ" ออกแบบในแง่ความสัมพันธ์กับสถาปัตยกรรมที่กำลังออกแบบ ในทุกสรรพสิ่งที่เกี่ยวข้องกัน ยิ่งมากยิ่งดี จะได้ความหมายและเรื่องราว โดยเอา "ตัวเรา" เป็นศูนย์กลางของปัญหาต่างๆ เช่นองค๋รวมในแง่กระบวนการทางสังคม เมื่อสังคมมีปัญหา ตัวเราก็เป็นส่วนหนึ่งของปัญหาด้วย ในปรัชญาทางพุทธ คือ อิทัปปัตยตา จะแก้ ปัญหาตามความเป็นจริง ต้องคิดแบบ อิทัปปัตยตา ลองหาอ่านแนวคิดนี้ เช่น..แนวคิดในการแก้ปัญหาสังคม ของท่าน อจ. ประเวศ วะสี และงานของท่านพุทธทาส ภิกขุ เป็นต้น...นะครับ
โดย ขออีกที [19 ต.ค. 2546 , 22:25:35 น.]

ข้อความ 4
แล้วอะไรคือprocessที่ควรจะเป็นล่ะครับ แค่ดูการใช้ ดูcontext ดูอื่น ๆ ที่มีอยู่แล้วเหรอครับ แล้วอะไรคือprocess ที่เค้าว่ามันหายไปล่ะครับ แบบว่าเคยถามอาจารย์ เค้าก็บอกแค่นี้ก็เป็นprocess ถ้าแค่นี้แล้วเราจะเขียนหรือแสดงออกมาทำไมล่ะครับ เหมือนเอาความกลวงของสมองมาแต่งให้งานดูมีคุณค่า แล้วอะไรควรเป็นprocess ที่เราควรทำที่แท้จริงล่ะครับ บอกตามตรงว่า...........เบื่อ สุด ๆ กับพวกชอบเอาความไม่มีอะไรมาทำให้มีอะไรด้วยสิ่งที่ไม่มีอะไร ..ขอบคุณ..
โดย สสจ [20 ต.ค. 2546 , 12:38:49 น.]

ข้อความ 5
ใจเย็นๆครับ อย่าเพิ่งเบื่อครับ ข้อมูลที่เรารับมาจากคนอื่น ก็เหมือนขยะที่เขาถ่ายออกมา ยิ่งเป็นความคิดทางวิชาการ อาจเป็นขยะล้วนๆ จนกว่าตัวเรา เอามารีไซเคิล นั่นแหละจึงเป็นความรู้สำหรับเรา จะเรียกว่าเป็นการบูรณาการก็ได้ ความคิดในการออกแบบ ที่ผม เห็นว่า ควรคิดเป็นกระบวนการ หรือองค์รวม ก็เพราะความเชื่อทางพุทธปรัชญา และทฤษฎีฟิสิกซ์ใหม่ พ้องกัน ตรงที่ว่า สรรพสิ่งใดๆในโลกนี้ ล้วนมีเหตุปัจจัย หรือความเชื่อมโยง กันทั้งสิ้น ไม่มากก็น้อย ตัวอย่างเช่น ทฤษฎี butterfly effect หรืือ ทฤษฎี "ผีเสื้อขยับปีก" เป็นต้น กระบวนการเชื่อมโยงของสรรพสิ่ง ในการออกแบบ ขึ้นอยู่กับปัญญาความคิดของเรา ในการพิจารณาค้นหาเหตุปัจจัย ของกันและกัน เช่น แค่ออกแบบอาคารให้สัมพันธ์กับสถานที่ตั้ง ชุมชน เหตุการณ์ อาคารข้างเคียง หรือแวดล้อมอื่นๆโดยรอบ ตลอดจนขอบเขตที่โยงถึง ประเทศไทยทั้งหมด ต่อไปยังขอบเขตอื่นๆ จนถึงระดับจักรวาล ก็คงรากเลือดเอาการ แต่ยิ่งกระทำ ได้มากเท่าไร เราก็น่าจะพบ ความจริงในงานออกแบบของเราได้มากเท่านั้น ตามทฤษฎี หรือปรัชญาที่พล่ามไว้ข้างต้น รวมทั้งการออกแบบร่วมสมัย ที่เราดัดแปลงจากของเดิม หรือลอกแบบต่างประเทศก็ตาม ซึ่งก็ตามเหตุปัจจัย ของความเชื่อมโยงของสรรพสิ่ง เท่าที่ปัญญาของเรา ก่อให้เกิดความคิดในการออกแบบดังนั้น...แหละครับท่าน
โดย เพื่อนอาจารย์ [21 ต.ค. 2546 , 01:45:39 น.]