โดย test [22 ธ.ค. 2545 , 18:46:07 น.]
ข้อความ 1
ถ่อยๆๆๆๆๆๆ
โดย landscaper [23 ธ.ค. 2545 , 08:43:55 น.]
ข้อความ 2
ไม่ว่าท่านเป็นหญิงจริง หรือชายแท้ ขอคุยเรื่องนี้กันดังต่อไปนี้ เมื่อเช้านี้ได้ข่าวจากสื่อว่า ..พวกนักเรียนสมัยนี้เรียกร้อง อยากได้ครูประเภทสรวมเสื้อสายเดี่ยว อายุไม่เกิน ๒๕ เพราะหากเรียนกับครูแก่ๆ ก็จะเหมือนโดนตา-ยาย คอยตามมาหลอกหลอนกันอีกถึงโรงเรียน นี่เป็นการ เรียกร้องเรื่องเพศ ...ใช่ไหม? อารมณ์ที่เกิด "อุปทาน" เช่นนี้ ถือเป็นเรื่องปกติทั้งหญิงทั้งชาย สำหรับคนในวัยเจริญพันธ์ คือ ผู้ยังมักฝักใฝ่อยู่กับ "ความเกิด" เพื่อการสืบต่อภพชาติ มากกว่าคนแก่ที่มักใฝ่กับ "ความดับ" ซึ่งก็เพื่อความเกิดอีกอยู่ดี ..แต่หากอยากตัดตอนวัฏฏะ หรือ การสืบต่อภพชาติเช่นนี้ ก็ต้องเจริญรอยตามคำสั่งสอน ขององค์ พระสัมมาสัมพุทธเจ้า ในพระพุทธศาสนา คำกล่าวจั่วหัวกระทู้เช่นนี้ ไม่ใช่เรื่องที่น่าละอายแต่อย่างไรเลย นะครับ ..ปุถุชนก็เป็นเช่นนี้กันทั้งนั้นแล ทีนี้ลองมาพิจารณาเพื่อการลดทอนเรื่องนี้ดูกันบ้าง ส่วนการแก้ปัญหาเฉพาะหน้านั้น ทางพุทธศาสนาเตือน ให้ลองลดการบริโภคเนื้อสัตว์ลงให้น้อยๆหน่อย เพราะการบริโภคอาหารนั้นจะสัมพันธ์กับอารมณ์ ที่เกิดขึ้นของมนุษย์ โดยเฉพาะอุปทานในเรื่องกามารมณ์ หรืออารมณ์ทางเพศ ที่เกินเลยปกติตามธรรมชาติ มนุษย์นั้นต่างจากสัตว์ในเรื่องนี้มากทีเดียว เพราะมีจิตที่ใหญ่โตกว่าสัตว์ เลยไม่ค่อยบันยี้บันยัง การสร้างอารมณ์ต่างๆเท่าไรนัก ..... ต่อไปนี้ค้นหามาจากเรื่องราวที่บันทึกในพระไตรปิฏกฯ และการอธิบายของผู้รู้ต่างๆ ..นะครับ ดูกร ภิกษุทั้งหลาย ก็อุปาทานเป็นไฉน? วัตถุแห่งความยึดของบุคคลนั้น พระพุทธองค์ทรงแสดงไว้ ๔ ประการ เรียกว่า อุปทาน ๑. กามุปาทาน ความยึดมั่นในกาม ๒. ทิฏฐุปาทาน ความยึดมั่นในทิฐิ ๓. สีลัพพตุปาทาน ความยึดมั่นในศีลและพรตหรือพิธีรีตองต่าง ๆ ๔. อัตตวาทุปาทาน ความยึดมั่นในตัวตน แต่..จะขอเน้นเฉพาะ กามุปาทาน ไม่งั้นจะยาว จนเบื่อแล้วไม่อยากอ่าน เลยยังไม่รู้อยู่อีกต่อไป อุปาทาน อธิบายเพิ่มเติมโดยท่านอาจารย์ วศิน อินทสระ เน้นย้ำเป็นดังนี้.. ------------------------------ โดยทั่วไปชีวิตมนุษย์เต็มไปด้วยความยึดมั่น เร่าร้อนอยู่ด้วยความต้องการ อันไม่มีขอบเขตไม่มีที่สิ้นสุด ถูกความอยากเผาลนให้เร่าร้อนอยู่ภายใน แม้สิ่งที่เขาเข้าใจว่าเป็นความสุขหรือความสนุกสนานเพลิดเพลิน ก็มีความทุกข์เจือปนอยู่ แต่มนุษย์ก็ยังต้องการ ๑. กามุปาทาน ความยึดมั่นในกาม กามแปลได้ ๒ อย่าง คือ ความใคร่อย่างหนึ่ง สิ่งที่น่าใคร่ น่าปรารถนาอย่างหนึ่ง อย่างหลังท่านเรียกว่า วัตถุกาม อย่างแรกเรียกว่า กิเลสกาม รูป เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะ อันน่าใคร่น่าปรารถนาน่าพอใจ นั่นเองเป็นวัตถุกาม คือ เป็นที่ตั้งแห่งกามเป็นสิ่งเร้าให้เกิดความ ใคร่ส่วนตัว ความใคร่เองท่านเรียกว่า กิเลสกาม มนุษย์ทั้งหลายได้ตกอยู่ภายใต้อำนาจครอบงำของกามทั้ง ๒ นี้ อย่างไร เห็น ๆ กันอยู่แล้ว มนุษย์และสัตว์ทั้งหลายยึดมั่นอยู่ว่า ความสุข ของเขาจะมีได้ก็ต้องอาศัยกาม คือต้องได้เห็นรูป ได้ฟังเสียง ได้ดมกลิ่น ได้ลิ้นรสและได้ถูกต้องสิ่งที่น่าใคร่iน่าปรารถนาน่าพอใจ ปราศจากสิ่งเหล่านี้เสียแล้วเขาจะมีความสุขไม่ได้ แม้ตัวความใคร่เอง ซึ่งมีสภาพเป็นสิ่งเร่าร้อนกระวนกระวาย ทำปัญญาให้มืดมน ทำจิต ให้ตกต่ำ เขาก็ยังเข้าใจผิดไปว่าเป็นบ่อเกิดแห่งความสุขของเขา ทั้งนี้ อาจเป็นเพราะ เขาไม่เคยได้รับความสุขใดที่เหนือกว่านี้หรือแปลกไปกว่านี้ เช่นความสุขอันเกิดจากความสงบ หรือเกิดจากคุณธรรม เหมือนเด็ก ที่พอใจแต่ในความสุขอันเกิดจากการเล่นทรายหรือโคลนตม แต่พอเขา เป็นผู้ใหญ่แล้ว เขาก็เลิกพอใจในความสุขอย่างนั้น แต่พอใจในความสุข ที่สะอาดกว่า ประณีตกว่า เขาจะไปจับต้องทรายหรือโคลนตมก็ด้วยความจำเป็นอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ เช่นเกี่ยวกับการงานเป็นต้น แล้วก็รีบล้างมือ ล้างตัวให้สะอาด ในทำนองเดียวกัน คนที่จิตใจยังเยาว์ยังไม่ได้รับการพัฒนาทางจิตใจ ย่อมพอใจหมกมุ่นมัวเมาอยู่ในกาม ด้วยความสำคัญผิดและยึดมั่นอยู่ว่า "กามนี้เท่านั้นเป็นบ่อเกิดแห่งความสุข" แม้ถูกหนามแห่งกามทิ่มแทงเอา ถูกไฟคือกามเผาลนเอาก็ยังไม่รู้สึก สำคัญผิดไปอีกว่าเป็นเพราะเหตุอื่นและโทษสิ่งนั้นสิ่งนี้ ที่แท้เป็นเรื่อง ของความใคร่ในกามคุณของตนเอง เป็นเรื่องความยึดมั่นของตนเอง ตัวอย่างเช่น ชายหนุ่มรักหญิงสาว ซึ่งโดยทั่วไปแล้วเป็นความใคร่ในกามคุณ เสียมากกว่าความรักแท้รักบริสุทธิ์ แต่เขายังเข้าใจผิดว่าความรักของเขาบริสุทธิ์ เขารักด้วยต้องการเชยชม รูป เสียง กลิ่น รสและผัสสะทางกายที่จะพึงได้จากหญิงนั้น แม้จะมีเรื่องคุณธรรมและความเห็นอกเห็นใจเจืออยู่ด้วยก็ตาม ข้อพิสูจน์ว่า เขารักใคร่ด้วยอำนาจกามคุณก็คือ ถ้าหญิงนั้นไปเกี่ยวข้องกับชายอื่นในแง่ เสน่หา เขาจะโกรธมาก อาจทำลายชีวิตของหญิงนั้นเสียก็ได้ นี่หรือรักแท้ รักบริสุทธิ์ ความจริงมันคือกามคุณที่เขาพากันเรียกเสียใหม่ว่า ความรัก เพราะความรักของเขาเต็มไปด้วยความยึดมั่น หวงแหน คับแค้น เร่าร้อน ริษยาและทำให้เกิดโทสะง่ายที่สุด ในกรณีที่หญิงสาวรักชายหนุ่ม ก็เหมือนกัน ในรายที่แต่งงานกัน จนมีลูกด้วยกันแล้ว ถ้าฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งไปรักคนอื่นอีก ก็ถือเป็นเรื่องเดือดร้อนมาก ความริษยา ความชิงชัง ความอาฆาตเคียดแค้น เกิดขึ้นอย่างสุดจะพรรณาได้ จนถึงกับทำร้าย ทุบตีและประหารชีวิตของ ฝ่ายหนึ่งเสียก็มี ความเคียดแค้นเหล่านั้น สืบเนื่องมาจากความใคร่ ความยึดมั่นในกาม ข้อพิสูจน์ก็คือ ในรายที่เรามิได้มีความใคร่ ความยึดมั่นในกามก็ไม่ทำให้ เราเดือดร้อนได้ ไม่ว่าเขาผู้นั้นจะไปทำอะไร อย่างไร กับใครที่ไหน การทำการแก้แค้น สร้างเวรสร้างกรรมจนเขาเสียชีวิตและตนเองต้องเป็น อาชญากรนั้นเป็นเกียรติยศนักหรือ ? ลูกของตนซึ่งมีพ่อหรือแม่ เป็น อาชญากรนั้นเป็นเกียรติยศนักหรือ ? การต้องไปติดคุกติดตาราง ถึง ๒๐ - ๓๐ ปี นั้นเป็นเกียรติหรือ ? ถ้ามองชีวิตในระยะยาวจะเห็นว่าไม่ควรทำ เมื่อเหตุกราณ์อย่างนั้นเกิดขึ้นก็ควร จะละอุปาทานในกามเสีย และถือเป็นโอกาสปลีกตนออกจากกาม ซึ่งเป็นของร้อน เข้าหาความสงบเย็นในธรรม หรือการบำเพ็ญคุณงามความดีให้สูงขึ้นไปจน ใจพ้นจากความยึดมั่นและจะเห็นคุณค่าของการทำอย่างนี้ด้วยตนเอง อย่างไรก็ตาม กามคุณนี่แหละ คือเสน่ห์ของโลก เพราะมันเป็นเหยื่อของโลก (โลกามิส) ทำนองเดียวกับเหยื่อที่ติดอยู่กับเบ็ดหุ้มเบ็ดอยู่ นั้นแหละคือ เสน่ห์ของเบ็ด ปราศจากเหยื่อแล้วจะไม่มีปลาตัวใดติดเบ็ด เพราะเหยื่อปลาจึงติดเบ็ด ได้กินเหยื่อเพียงนิดเดียว กลืนเบ็ดเข้าไปด้วย ปลาโง่ จึงถูกพรานเบ็ดลากไปได้ตามปรารถนา และวัดขึ้นบกต้องทุรน ทุราย ทุกข์ทรมานไปจนกว่าจะสิ้นชีวิตและเป็นเหยื่อของพรานเบ็ดนั่นเอง ลองนึกดูเถิดว่าคนในโลกที่พอใจติดเหยื่อของโลกแล้วต้องทนทุกข์ทรมานอยู่ใน โลกนี้มีประมาณเท่าใด น่าสงสารเพียงใด น่าช่วยเหลือเพียงใด อย่างน้อย ช่วยให้เขาได้รู้ว่าเหยื่อนั้นมีเบ็ดเกี่ยวอยู่ด้วย ขอให้กินเหยื่อด้วยความระมัดระวัง ถ้าฉลาดขึ้นก็จะกินแต่เหยื่อได้โดยไม่ติดเบ็ด ทำให้พรานเบ็ดต้องเก้อ ยกเบ็ดขึ้นดูบ่อย ๆ เห็นแต่เบ็ด เหยื่อหายไป แต่จะมีใครสักกี่คนเล่าในโลกนี้ ที่เป็นเช่นปลาฉลาด รอบรู้ และที่ฉลาดขึ้นไปกว่านั้น ก็สามารถรู้ได้ว่าเหยื่ออันใดมีเบ็ดเหยื่ออันใดไม่มีเบ็ด เลือกกินเฉพาะเหยื่อที่ไม่มีเบ็ด ก็จะสามารถรักษาตัวให้ปลอดภัยโดยตลอด ความกำหนัดในกามเป็นอาสวะ (สิ่งหมักดอง) อย่างหนึ่ง ซึ่งหมักหมมอยู่ใน จิตสันดานของสัตว์โลก ยากที่จะละหรือปลดเปลื้องได้ ทั้งนี้เพราะมีความสุข เล็ก ๆ น้อย ๆ คอยเป็นเหยื่อล่อให้หลง เป็นหลุมพรางให้ก้าวขึ้นไป เมื่อติด หล่มคือกามแล้ว ก็ยากที่จะถอนตนขึ้นมาแล้วก้าวให้พ้นไปได้ สำหรับผู้สำเนียกรู้ถึงโทษของกามแล้วพยายามออกจากกาม แต่ยังออกไม่ได้ ด้วยเหตุใดเหตุหนึ่ง เช่นพันธกรณีเกี่ยวกับความรับผิดชอบ หรือกำลังใจยัง ไม่พอเป็นต้น ก็ไม่น่าวิตก เพราะถึงอย่างไรคนพวกนี้ จะต้องออกไปได้ วันหนึ่งเมื่อพันธกรณีสิ้นสุดลง หรืออบรมจิตและปัญญาจนกำลังใจและกำลังปัญญาเพียงพอแล้ว แต่คนที่ไม่เคยสำเนียกรู้ถึงโทษของกามเลย ศึกษาเรียนรู้แต่เรื่องคุณของกาม ได้ยินได้ฟังแต่กถาอันเป็นเหตุให้ความกระหายในกามเริงแรงขึ้น มี กิจกรรมอันยั่วยุกามารมณ์อยู่ไม่เว้นวัน การศึกษา การทำงาน และการเกี่ยวข้องในสังคมล้วนมุ่งเอาความสำเร็จ ทางกามเป็นผลที่มุ่งหมาย ในฐานะเป็นความสำเร็จของชีวิต ถ้าอย่างนี้แล้ว เขาจะออกจากกามได้อย่างไร คงจะต้องยึดมั่นเอากามารมณ์เป็นจุดหมาย ปลายทางของชีวิตเป็นแน่แท้ ในขณะที่กำลังแสวงหาอยู่นั้น ดวงจิตของเขาก็จะถูกเฆี่ยนด้วยแส้ คือ ความผิดหวัง ระทมขมขื่น โชกด้วยน้ำตาครั้งแล้วครั้งเล่า ถึงกระนั้น เขาก็ยังคงกระเสือกกระสน แสวงหากามอยู่นั่นเอง เพราะอานุภาพของ กามุปาทาน คือยึดมั่นว่ากามนี่แหละเป็นบ่อเกิดแห่งความสุขอันแท้จริง กามในฐานะเป็นบ่วงที่พระพุทธเจ้าทรงเรียกว่า "กามปาสะ" หรือ กามบาสนั้น มีลักษณะคล้องและผูกมัดสัตว์ทั้งหลายไว้ในภพให้ เวียนว่ายตายเกิดในสังสารวัฏแห่งกามภพนี้ การผูกมัด มีลักษณะที่ผูกหย่อน ๆ ก็จริง แต่แก้ได้ยากมากทีเดียว ผู้ต้องการแก้จะต้องใช้กำลังใจมาก ใช้กำลังสมาธิอย่างแรง เพราะ แก้ไม่ได้ด้วยวิธีธรรมดา เหมือนปมบางอย่าง ที่แก้ได้ยาก มันยุ่งไปหมด ต้องใช้ดาบฟัน ซึ่งภาษาอังกฤษเรียกปมชนิดนี้ว่า Gordian Knot* อย่างที่พระเจ้าอเลกซานเดอร์มหาราชทรงทำ กามคุณในฐานะเป็นพวงดอกไม้ของมาร มารคือสิ่งที่ล้างผลาญคุณความดี และทำให้เสียคนได้ง่าย มารอาศัยพวงดอกไม้ทั้ง ๕ คือ รูป เสียง กลิ่น รสและสัมผัสทางกายนี่แหละเที่ยวยั่วยวนมนุษย์และสัตว์ในกามโลกทั้งมวล ให้หลงเพลิดเพลินเดินเข้าไปสู่หลุมพรางของตนแล้วกักขังห้ำหั่นย่ำยีเอาได้ ตามใจปรารถนา การควบคุมอินทรีย์ คือ ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ การทำจิตให้มั่นคงด้วยกำลัง สมาธิ และการพัฒนาปัญญาให้รุ่งเรือง จนสามารถมองเห็นโทษของกามคุณ อย่างชัดเจนอยู่เสมอ ๆ ทางนี้แหละจะสามารถเอาชนะกามกิเลสได้ไม่กลับ มาเวียนว่ายตายเกิดในกามโลกนี้อีก ความเร่าร้อนทางใจอันมีกามคุณเป็นเหตุนั้น ปรากฏให้เห็นอย่างชัดเจน ในที่ทั่วไป ทั้งที่เกิดขึ้นแก่ตนเองและเกิดแก่ผู้อื่น น่าจะเป็นสังเวควัตถุ (เรื่องชวนสังเวชสลดจิต) เพื่อถอนใจออกไปจากกามุปาทานได้ สำหรับผู้มีปัญญาจักษุดำเนินชีวิตอยู่ในทางสว่าง แต่สำหรับผู้ไร้ปัญญา จักษุเดินอยู่ในทางมืดและไร้ประสบกราณ์ก็คงมองไม่เห็นอะไรอยู่นั่นเอง --------------------------------- *Gordian Kno เล่ากันว่าเป็นปมที่กษัตริย์กอรดิอุส (Gordius) แห่งไฟรเกีย (Phrygia) ผูกไว้ในสมัยโบราณ กล่าวกันว่าใครแก้ปมนี้ได้จะได้เป็นใหญ่ในเอเชีย อเลกซานเดอร์มหาราช ทรงใช้ดาบของพระองค์ตัดปมนี้ ดังนั้นคำว่าตัด "กอรเดียน น้อท" จึงกลายเป็นสำนวนหมายความว่า การแก้ปัญหายุ่งยากโดยฉับพลันด้วยการใช้กำลัง อธิบายนี้จาก พจนานุกรมอังกฤษฉบับของ A.S. Hornby หน้า ๕๓๙ คัดลอกมาโดยคุณ : mayrin [ 13 ธ.ค. 2545 / 14:50:16 น. ] ในเว็บบอร์ดห้องสมุดของพันทิพย์ ผมเลยไม่ทราบว่าอยู่ในหนังสือเล่มไหนของท่าน ผมขอแถมท้ายเรื่องที่พระอานนท์จดจำพระพุทธพจน์ ดังอ้างบันทึกไว้พระไตรปิฎกไว้ด้วยนะครับ ..จะได้ขลัง ขึ้นอีกหน่อย แล้วอุปทานของพวกเราก็จะลดลงได้บ้าง เมื่อรู้เหตุปัจจัยของการเกิดอุปทานในเรื่องกาม (4) เล่มที่ ๒o [๑] ข้าพเจ้าได้สดับมาแล้วอย่างนี้- สมัยหนึ่ง พระผู้มีพระภาคประทับอยู่ ณ พระวิหารเชตวัน อารามของท่านอนาถบิณฑิกเศรษฐี ใกล้พระนครสาวัตถี ณ ที่นั้นแล พระผู้มีพระภาคตรัสเรียกภิกษุทั้งหลายว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย ภิกษุเหล่านั้นทูลรับพระดำรัสของพระ ผู้มีพระภาคแล้ว พระผู้มีพระภาคได้ตรัสว่าฯ [๒] ดูกรภิกษุทั้งหลาย เราย่อมไม่เล็งเห็นรูปอื่นแม้อย่างหนึ่ง ที่จะครอบงำจิตของบุรุษตั้งอยู่เหมือนรูปสตรีเลย ดูกรภิกษุทั้งหลาย รูปสตรีย่อมครอบงำจิตของบุรุษตั้งอยู่ฯ [๓] ดูกรภิกษุทั้งหลาย เราย่อมไม่เล็งเห็นเสียงอื่นแม้อย่างหนึ่ง ที่จะครอบงำจิตของบุรุษตั้งอยู่เหมือนเสียงสตรีเลย ดูกรภิกษุทั้งหลาย เสียงสตรีย่อมครอบงำจิตของบุรุษตั้งอยู่ ฯ [๔] ดูกรภิกษุทั้งหลาย เราย่อมไม่เล็งเห็นกลิ่นอื่นแม้อย่างหนึ่ง ที่จะครอบงำจิตของบุรุษตั้งอยู่เหมือนกลิ่นสตรีเลย ดูกรภิกษุทั้งหลาย กลิ่นสตรีย่อมครอบงำจิตของบุรุษตั้งอยู่ฯ [๕] ดูกรภิกษุทั้งหลาย เราย่อมไม่เล็งเห็นรสอื่นแม้อย่างหนึ่ง ที่จะครอบงำจิตของบุรุษตั้งอยู่เหมือนรสสตรีเลย ดูกรภิกษุทั้งหลาย รสสตรีย่อมครอบงำจิตของบุรุษตั้งอยู่ฯ [๖] ดูกรภิกษุทั้งหลาย เราย่อมไม่เล็งเห็นโผฏฐัพพะอื่นแม้อย่างหนึ่ง ที่จะครอบงำจิตของบุรุษตั้งอยู่เหมือนโผฏฐัพพะของสตรีเลย ดูกรภิกษุทั้งหลาย โผฏฐัพพะสตรีย่อมครอบงำจิตของบุรุษตั้งอยู่ฯ [๗] ดูกรภิกษุทั้งหลาย เราย่อมไม่เล็งเห็นรูปอื่นแม้อย่างหนึ่ง ที่จะครอบงำจิตของสตรีตั้งอยู่เหมือนรูปบุรุษเลย ดูกรภิกษุทั้งหลาย รูปบุรุษย่อมครอบงำจิตของสตรีตั้งอยู่ฯ [๘] ดูกรภิกษุทั้งหลาย เราย่อมไม่เล็งเห็นเสียงอื่นแม้อย่างหนึ่ง ที่จะครอบงำจิตของสตรีตั้งอยู่เหมือนเสียงบุรุษเลย ดูกรภิกษุทั้งหลาย เสียงบุรุษย่อมครอบงำจิตของสตรีตั้งอยู่ฯ [๙] ดูกรภิกษุทั้งหลาย เราย่อมไม่เล็งเห็นกลิ่นอื่นแม้อย่างหนึ่ง ที่จะครอบงำจิตของสตรีตั้งอยู่เหมือนกลิ่นบุรุษเลย ดูกรภิกษุทั้งหลาย กลิ่นบุรุษย่อมครอบงำจิตของสตรีตั้งอยู่ฯ [๑๐] ดูกรภิกษุทั้งหลาย เราย่อมไม่เล็งเห็นรสอื่นแม้อย่างหนึ่ง ที่จะครอบงำจิตของสตรีตั้งอยู่เหมือนรสบุรุษเลย ดูกรภิกษุทั้งหลาย รสบุรุษย่อมครอบงำจิตของสตรีตั้งอยู่ฯ [๑๑] ดูกรภิกษุทั้งหลาย เราย่อมไม่เล็งเห็นโผฏฐัพพะอื่นแม้อย่างหนึ่ง ที่จะครอบงำจิตของสตรีตั้งอยู่เหมือนโผฏฐัพพะบุรุษเลย ดูกรภิกษุทั้งหลาย โผฏฐัพพะของบุรุษย่อมครอบงำจิตของสตรีตั้งอยู่ ฯ จบวรรคที่ ๑ อ่านมาจนจบ ก็ยังไม่อยากปลงใจอยู่ดีนะครับ รสกามใครเคยได้ยิน หรือเคยลองลิ้มแล้ว ก็ยากที่จะลืมได้ จริงป่าว?
โดย เพื่อนอาจารย์ [23 ธ.ค. 2545 , 12:46:06 น.]
ข้อความ 3
ความจริงแล้วการมีเพศสัมพันธ์ก็เป็นปัจจัยที่พูดได้ว่าขาดมิได้ของมนุษย์ ซึ่งดูไงๆก็ยังเป็นสัตว์พันธุ์หนึ่ง แต่สังคมเรามิยอมรับขับสู้ในเรื่องนี้สักเท่าใดนัก ทั้งที่พอกลับบ้านไปก็...กันทุกคน คนเราทุกคนมีพลังงานทางเพศอยู่แล้ว แล้วแต่ว่าใครจะระบายออกทางไหน(ฟรอยด์เรียกวิธีการนี้ว่าSublimation-การทำให้สูงส่งขึ้น) โดยรู้หรือไม่ ว่าจิตรกร นักเขียน สถาปนิก ที่เก่งมากๆนั้น คือเหล่าปัจเจกที่มี'sex' จัดทั้งนั้น แต่เขาแปลพลังทางเพศนั้นมาในรูปผลงานอันยิ่งใหญ่ ดังนั้น ยิ่งคุณมีเพศสัมพันธ์บ่อยเท่าหร่าย ก็ยิ่งไร้พลังสร้างสรรค์ในด้านอื่นๆมากเท่านั้น เป็นปฏิภาคกัน จะยอมแลกไหมล่ะ? เฉกเช่นมิยาโมโต้ มุซาชิ ยังต้องระเห็จหนีหญิงสาวอันเป็นที่รักถึงสิบกว่าปี เพียงเพื่อจะค้นพบ'มรรค'แห่งดาบ เขารู้ดีว่า พลังอันรุนแรงแห่งเขานั้นมิควรไปใช้ปลดปล่อยฟุ่มเฟือยกับหญิงสาวหรือสิ่งบันเทิงเริงรมณ์ต่างๆ แถมเขายังเป็นศิลปินและประติมากรที่เก่งเอามากๆด้วยน้า ในขณะที่มะตะฮาจิ เพื่อนของมุซาชิ ผู้เอาแต่'มีอะไร'กับสาวๆ ก็จบลงอย่างไร้ซึ่งสิ่งใด แต่โดยส่วนตัวแล้ว ก็ไม่เห็นว่ามันจะ'ถ่อยๆๆๆๆๆๆ'อะไรมากมาย อย่างDaliยังเทิดทูนเรื่องเพศและนำมาเป็นconceptในpaintingsของเขาได้อย่างสวยงามเลย คนที่ประณามเรื่องเพศว่าถ่อย ก็คือคนที่ยังมิรู้อะไรนี่เอง เพราะสูงสุดย่อมกลับสู่สามัญ คนที่รู้มากเกินขอบเขตทางกายภาพหลอนๆลวงๆของสังคม จะเข้าใจถึงพฤติกรรมสามัญราวสัตว์ป่าต่างๆของมนุษย์ได้ และมองมันอย่างสวยงาม เพราะความน่าเกลียด เท่ากับ ความสวยงาม
โดย จญิมโณเภดัย๒ [24 ธ.ค. 2545 , 20:28:27 น.]
ข้อความ 4
ปกติมนุษย์เรานั้นมักรู้ในสิ่งที่เห็นและสัมผัสในแง่ของมิติทั่วไป ที่เราเองรับรู้จากประสบการณ์เท่านั้น น่าจะยังมีความรู้ในมิติอื่นๆ ที่เราอาจยังไม่เคยสัมผัส หรือยังไม่เจอประสบการณ์ใหม่ๆ เพราะ คนเรานั้นมีความต่างจากสัตว์ที่มีจิตซึ่งใหญ่โตกว่า มีความ หลากหลายกว่า และสามารพัฒนาการได้สูงกว่าอีกด้วย ถ้าคิด จะพัฒนากัน เช่น ความเป็นภิกษุในสาวกของพุทธศาสนา เป็นอีกมิติหนึ่ง ที่ผู้ปฏิบัติตนจะพบความสุขที่เหนือจากความเป็นธรรมดา โดยเฉพาะเรื่องการอบรมเพื่อระงับอุปทานในเรื่องกามารมณ์ หรือการมีเพศสัมพันธ์ตามธรรมชาติ ที่มนุษย์เองสามารถควบคุม สิ่งเหล่านี้ได้ เพราะได้พบปัญญาที่พึงได้รับเป็นลักษณะของวิมุตติ หรือ "ความหลุดพ้น" เช่นพระสุปันโนหลายรูปในเมืองไทย ซึ่งมีมากในการครองตนลักษณะนี้ ..เราจึงไม่ควรปฏิเสธ ในประสบการณ์ที่เรายังไม่เคยลองรู้ในสิ่งเหล่านี้ ตัวอย่างเช่นเมื่อวานนี้ ผมได้หนังชีวิตดี (ในรศนิยมผม) มาเรื่องหนึ่งชื่อ the simple life of Noah Dearborn มีดาราผิวหมึก ที่ผมชอบคือ Sidney Poitier แสดงนำ เป็นเรื่องราวของคนที่ใช้ ชีวิตแสนเรียบง่าย ทำงานในสิ่งที่ตนชอบและรัก มีความเอื้อ อาทรต่อผู้อื่นเสมอ ทำให้มีชีวิตที่ยืนยาวและดูหนุ่มกว่าวัย เพราะตัดเรื่องอื่นๆที่ไร้สาระออกจากการเป็นคนเช่นปกติธรรมดา รวมทั้งเรื่องเซ็กส์ คล้ายชีวิตของภิกษุที่มุ่งแต่การเจริญจิตและการ ภาวนาเป็นสำคัญ อาจเป็นตัวอย่างของการดำเนินชีวิตในมิติอื่น ที่เราอาจมองข้ามคุณค่าดีๆของมันไป ดังเช่นคุณค่าของสังคมชนบท ในเรื่องภูมิปัญญาของคนท้องถิ่น ที่สังคมสมัยใหม่พยายามตามไป เบียดเบียนให้เปลี่ยนแปลงไปในทางที่คนสมัยใหม่เองก็ไม่รู้จริง ในสิ่งที่ตนทำ โดยเฉพาะนักพัฒนาสมัยใหม่ทั้งหลาย ลอง หาหนังเรื่องนี้มาดูกันนะครับ ..แต่ไม่รับรองว่าพวกคุณจะอิน เหมือนผมหรือป่าว? ผมเองนั้นเชื่อว่า การดำเนินชีวิตที่มีความสุขจริงนั้น คือ ความเป็นธรรมดาและเรียบง่าย และควรไปไกลเกินมิติที่เรา เคยรับรู้ได้จากสังคมปัจจุบัน ซึ่งมักเป็นสิ่งเรากลัวหรือไม่กล้าลอง เราเลยง่วนอยู่กับสิ่งที่เคยชินและอาจทำแต่เรื่องไร้สาระมากเกินไป คือทั้งที่รู้และทำอะไรได้มากมาย แต่ก็ไม่รู้จริงก็เลยทำอะไรไม่ได้ ผลดีมากนัก เช่นมัวเอาแต่ตอแหลเล่นลิ้นกันในเรื่องพิธีการบ้าๆบอ ซึ่งเห็นกันเกลื่อนกลาดในสังคมปัจจุบัน เลยไม่มีเวลาเจริญปัญญากันเต็มที่ การคิดทำงานสร้างสรรค์จึงไม่ประสบผลในความเป็นจริงเท่าไรนัก การออกแบบสถาปัตยกรรมหรือทำอะไรให้ดีให้งามนั้น เหนืออื่นใด จิตใจของสถาปนิกจะต้องมีความสมบูรณ์ถูกต้องในเรื่องความดีงามก่อน คือต้องมีจิตใจที่ดีมีความเอื้อาทรในตัวเองก่อน จึงจะทำให้การดำเนินชีวิตมีได้ อย่างมีความสุข แล้วก็จะถึงการผลิตงานการต่างๆออกมาอย่างมีคุณค่า ได้จริง ซึ่งการประเมินคุณค่างานในลักษณะนี้ ต้องไปไกลเกินมิติที่เราพึง รับรับรู้ได้จากสังคมที่เราพบเห็น หรือต่างบรรทัดฐานกันในปัจจุบัน ซึ่งผมว่าส่วนมากที่รับรู้กันในปัจจุบันนั้น เป็นบรรทัดฐานสำหรับ ของเทียม ไม่เป็นจริงแทบทั้งสิ้น ว่างๆลองทบทวนการดำเนินชีวิต ที่ต่างจากมิติที่เรากำลังเป็นกันอยู่บ้างนะ บางทีเราอาจได้พบปัญญาในการรู้ทุกข์ เห็นทุกข์ และสามารถแก้ทุกข์ ทั้งหลายได้ในที่สุดก็ได้นะครับ .ขอให้ถือเสียว่า.เป็นการฝึก การพัฒนา ความคิดสร้างสรรค์ในอีกระดับหนึ่งแล้วกันนะ ... แหมพล่ามเสียยาวเลย
โดย ขออีกที [25 ธ.ค. 2545 , 12:27:53 น.]
ข้อความ 5
อืม..... มีเมื่อพร้อมดีกว่ามั๊ย....คู่ที่ดี ความหวังถึงอนาคตที่ดี...แล้วก็ความสามารถในการดูแลตัวเองคนอื่นรวมถึงลูกของคุณ.... ....ง่ายๆครับการมีเพศสัมพันธ์.....ยากยิ่งกว่านั้นคือการรับผิดชอบต่อวิ่งที่ตามมาได้..... ....ง่ายๆครับมีคนที่หย่ากันเพราะมีอะไรกันในขณะที่ไม่พร้อม เหลือลูกไว้อยู่ แล้วก็ความรู้สึกที่ยังไงๆก็แก้ไม่หายสักที...ระวังใจตัวเองนะครับ...โชคดีครับ
โดย ใครหว่า [25 ธ.ค. 2545 , 17:49:52 น.]
ข้อความ 7
ขอฝอยต่ออีกหน่อยนะ เพราะนับถือคำกล่าวของครูประชาบาล ที่ตอบได้รวบรัดและได้สาระดีแท้ เผอิญเมื่อคืนอ่านหนังสือที่เกี่ยวกับการศึกษา เพราะโดนบังคับแบบยินยอมให้ไปช่วยระดมความคิดกันในเร็วๆนี้ ในหนังสือพิมพ์แจกเรื่อง การศึกษาฉบับง่าย ของท่านเจ้าคุณพระธรรมปิฏกฯ มีความตอนหนึ่ง ท่านพูดเรื่อง "กินอย่างไรให้เป็นไตรสิกขา" มีสาระสอดคล้องกับที่ครูประชาบาลกล่าวไว้ข้างต้น การกินนั้นต้องมีความสัมพันธ์กับสภาพแวดล้อม ภายนอก (คือศีลหรือพฤติกรรม..สิกขาที่ ๑) เพราะ ถ้าไม่สัมพันธ์กันก็เกิดโทษจากการกิน หรือการเสพ ใดๆรวมทั้งเรื่องเพศด้วย ในขณะที่กิน ยังขึ้นอยู่กับจิตใจ (หรือสมาธิที่เป็นสิกขาที่ ๒) คือจะมีความพอใจหรือไม่พอใจ เป็นสุขหรือเป็นทุกข์ และอื่นๆต่างๆนาๆ สรุปก็คือกินไปต้องทำโยนิโสมนสิการ หรือคิดไตร่ตรองตามไปด้วย เพื่อให้เกิดปัญญารู้ ได้ในการกิน (คือเป็นสิกขาที่ ๓) ว่าควรกินอย่างมี ความสุขนั้นเป็นอย่างไร ตรงตามความมุ่งหมาย เพื่อให้มีสุขภาพดี หากถ้าไม่คิด กินเพื่อสนองความ พอใจหรืออารมณ์อื่น ความพอใจหรือความสุขก็เป็น ไปอีกแบบหนึ่ง ตัวปัญญารู้จึงมาเป็นเหตุปัจจัย หรือนำทางให้เกิดความสุขหรือความทุกข์ได้ในการกินไปด้วย ด้วยสาระที่ย่นย่อมานี้ พอจะสรุปได้ว่า การศึกษา คือการเรียนรู้ชีวิตที่ต้องเป็นไตรสิกขา ทั้งสามด้าน คือ ศีลหรือพฤติกรรม สามธิหรือจิตใจที่ผ่องใส นำไปสู่ปัญญาคือการรู้ความจริง ที่แสนเป็นธรรมดา และเป็นธรรมชาติที่เป็นอยู่แล้วเช่นนั้น การเรียนรู้วิชาอะไรๆนั้น ต้องเกี่ยวข้องกับการ ดำเนินชีวิตที่ควรตรงกับความเป็นจริง เป็น ธรรมดา และเป็นตามธรรมชาติ แนวคิดนี้ พวกฝรั่งกำลังปรับปรุงกันในเรื่องการศึกษา โดยเฉพาะวิธีการสอนของครู ซึ่งท่านเจ้าคุณ อ้างไว้ว่าเป็นงานของพระพุทธเจ้า การสอนคือ การช่วยให้ศึกษา (ให้ครบไตรสิกขา) เพื่อสร้าง ทางชีวิต (หรือมรรค) ในการดำเนินชีวิตของเรา ทุกๆคน ครูต้องสอนเด็กให้เรียนรู้ครบไตรสิกขา เมื่อเด็กรู้การกินนั้นควรเป็นอย่างไร ครั้นพอกินอยู่เป็นแล้ว..ก็คิดเป็นเอง และคิดถูกตามความเป็นจริง เป็นธรรมดา และเป็นตามธรรมชาตินั่นเอง ที่สำคัญคือผู้สอนต้องเลียนแบบพระพุทธเจ้า ให้ได้ก่อน จึงจะทำงานเยี่ยงพระพุทธเจ้าได้ครับ แหม..ผมเกือบจบไม่ลงแล้วซินะ
โดย ขออีกที [5 ม.ค. 2546 , 09:47:16 น.]
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น