วันพุธ, มกราคม 21, 2552

อะไรเกิดขึ้นในวันหยุด..?

อยากบันทึกไว้ว่าเสาร์อาทิตย์นี้ปิติอะไรบ้าง ในวันเสาร์ปิติเพราะได้ไปเยี่ยมเยียน ลูกศิษย์ (ไม่ขอเอ่ยนาม) ที่กำลังบวชเรียน ในพระพุทธศาสนาที่วัด ญาณเวศกะวัน (ไม่แน่ใจสะกด) กำลังรับการฝึกอบรมพระธรรมจากพระธรรมปิฎกฯ นับว่าเป็นผู้มีบุญวาสนากว่าผมเป็นไหนๆ ..ผม อนุโมทนาเรื่องนี้ตั้งแต่ที่ลูกศิษย์คนนี้แจ้ง ลาบวชก่อนหน้านี้ วันหยุดนี้ได้พูดคุยกันด้วยความปิติ และนับถือในการกระทำที่ถูกที่ควรนี้อย่างมาก ภูมิใจที่มีโอกาศได้เรียนรู้สถาปัตยกรรม ร่วมกันมาห้าปีก่อน ยินดีเพราะศิษย์ผู้นี้จะดำเนินชีวิตในอนาคตต่อไป ได้ดีแน่นอน เพราะมีการเตรียมสร้าง "เกราะ" ป้องกันอกุศลทั้งหลายไว้บ้างแล้ว การคิด การทำอะไรต่อไปก็จะมีกรอบธรรมที่เป็นฐานมั่นคง สำหรับชีวิตต่อไป ..นี่เป็นสิ่งที่น่ากระทำ ในขั้นตอนหนึ่งของเวลาชีวิต โดยเฉพาะ ในวัยใกล้เบญจเพศ อันจะเป็นทางเลี้ยวหนึ่ง ของชีวิตเรา..ก็ขออนุญาตมีปิติไว้ในที่นี้ วันอาทิตย์ ปิติที่ได้พบพานศิษย์ (ไม่ขอเอ่ยนาม) ดื่มฝอยกันสนุกที่บ้าน เพราะเป็นผู้สร้างแรง บันดาลใจในความเป็นครูให้อีก (ก่อนที่จะเลือนหาย) นำหนังสือ (palimpsest 2) และเคยนำเรื่องราวดีๆทางวิชาการ มาให้อ่านเสมอมา เป็นกำลังใจให้ครูแก่ๆเสมอ ตลอดที่ได้เรียนรู้กันมาห้าปีก่อนเช่นกัน เป็นอีกผู้หนึ่งที่ทำให้เว็บบอร์ดนี้คึกคักและให้ เกิดบรรยากาศความอบอุ่นระหว่างศิษย์-อาจารย์ ที่ซึ่งรักษาสายใยเส้นนี้อันบอบบางพร้อมขาดเต็มทนแล้วให้คงได้อีกเฮือก คงความในใจเรื่องสังคมกัลยาณมิตรและ การเรียนรู้ร่วมกันในมิติใหม่นี้ มีเกิดขึ้นได้ ในรูปแบบของเท็คโนโลยีใหม่ และจะหลากหลาย กว่าในสถานที่เดิม (หน้าตึก) ที่เคยมีมา แม้ว่าสรรพสิ่งในโลกนี้ล้วนเป็นอนิจจัง ..ก็จริง แต่ความโหยหาในปฏิสัมพันธ์ระหว่างศิษย์-อาจารย์ ก็ยังฝืนอยากไม่ให้มะลายไปในขณะที่ความเป็น โรงเรียนยังมีอยู่ ก็เอาความมีปิติส่วนตนมาบันทึกไว้ ก่อนที่เว็บบอร์ดนี้จะเฉามะลายมะเลืองไปครับ ..อนิจจาตัวเองเหลือเกิน ที่ไม่ยอมปล่อยวางนะเนี่ย
โดย เพื่อนอาจารย์ [14 ต.ค. 2545 , 09:53:54 น

ข้อความ 1
ยินดีกับอาจารย์ด้วยครับ และก็อยากจะบอกว่าจริงๆผมก็เป็นอีกคนที่แวะมาดูที่นี่ประจำแม้จะเรียนจบแล้ว แต่ส่วนใหญ่ก็มักจะชอบอ่านมากกว่ามาpost นานๆถึงจะpostทีก็ดีใจที่ยังมีอาจารญ์เข้ามาตอบให้ ก็อยากให้จานรู้ครับว่ายังมีผมอีกคนที่เข้ามาประจำ และก็หวังว่าจะพบอาจารย์อีกเป็นประจำครับ
โดย eps [15 ต.ค. 2545 , 04:14:45 น.]
ข้อความ 2
ผมนั้น..เหมือนฟ้าลิขิต ให้ต้องไปใช้ชีวิต ที่บ้านนอกตั้งแต่เด็ก เรียนรู้ชีวิตจากการฟังคนพูดคุย กัน..ส่วนมากก็ในร้านกาแฟ เพราะเกิดใน ยุคข้อมูลที่แสนหายาก หนังสือมีน้อยและก็ หาอ่านได้ยากด้วย อีกทั้งต้องอยู่บ้านที่ตรงข้าม กับโรงหนังแหล่งบันเทิงเยี่ยมของคนสมัยนั้นและที่นั่น เลยดูหนังกันตะบันแทบทุกวันแทนการอ่านนิยาย หลายสิ่งหลายอย่างเรียนรู้และเลียนแบบพระเอกในหนัง เฉพาะการฟังคนแก่วัยคุยกันหรือทะเลาะกันนั้น ช่วยให้รู้ประสบการณ์ของคนสูงวัย เอามาปรับมาแต่ง มาเตือนชีวิตที่จะพึงอาจพบพานในภายภาคหน้า จึงทำให้ต้องกลายเป็นนิสัยคนช่างคิดช่างฝัน ช่างฟังและแน่นอนช่างพูดเมื่อมีโอกาสเช่นนี้ นี่ก็ยังขอบคุณสวรรค์ ที่กำหนดให้มีหน้าที่เป็นครู เลยสนุกใหญ่เพราะได้พูดสมใจ ใครจะฟังนั้น ไม่ถือว่าสำคัญที่ทำให้ต้องหยุดพูด ครั้นเมื่อแก่วัย ก็คงต้องจำยอมหยุดบ้าง แต่ก็หันมาเขียนแบบคุยให้ ตัวเองฟังบ้าง คิดเอาว่าเป็นแบบนี้แล้ว คงลดความรำคาญกับลูกและคนอื่นๆได้บ้าง ต้องขอบคุณ (สวรรค์) ที่มีเท็คโนโลยีเว็บบอร์ด เกิดขึ้นขณะนี้ ดำรงความเป็นร้านกาแฟให้ได้ มีโอกาศฟังคนคุยกัน ในเรื่องที่ต้องการจะฟัง เห็นช่องว่างที่ทำให้แคบลงได้ระหว่างคนต่างวัย เป็นการบบรเทาในปัญหาหนึ่งที่ทำให้คนในสังคม มีปฏิสัมพันธ์กันน้อยได้บ้าง โดยเฉพาะระหว่าง ศิษย์-อาจารย์ คนแก่-คนหนุ่ม ได้เป็นเยี่ยงกระจก หนึ่งที่เห็นสภาพสังคมไทยที่เป็นอยู่ขณะนี้ แม้เป็นกระจกบานเล็ก แต่ก็ชัดในการมองบางสิ่ง ที่แต่ละคนสนใจ เรียนรู้อะไรต่างๆในชีวิต ที่เหลืออยู่จากคนอื่นได้ด้วย โลกของการเรียนรู้อะไรต่างๆนั้นกำลังแปรรูป มหาวิทยาลัยกำลังไม่เป็นแหล่งสถิตวิชาแห่งเดียว แต่จะกลายเป็นความหลากหลายบนโลกของอินเทอร์เนท ผมจึงอยากปรึกษาตรวจสอบกันกับคนรุ่นใหม่ว่า สิ่งนี้เป็นปรากฏการณ์ใหม่..ใช่หรือไม่? ทัศนะและความรอบรู้ของคนยุคใหม่จะเปลี่ยน ไปจากคนรุ่นเดิมอย่างผม ที่เคยเรียนรู้อะไร จากร้านกาแฟที่บ้านนอก..หรือไม่? โลกของอินเทอร์เนท จึงเป็นฝันของผมที่อยาก สนับสนุนให้เกิดการเรียนรู้อย่างอิสระต่างจาก มหาวิทยาลัย ที่กำลังจะกลายเป็นตลาดการค้าเข้าไปทุกทีขณะนี้...นะครับ เรียนรู้กันจากประสบการณ์ของกันและกันแล้ว ความต่างวัยต่างทิฐฐิกัน ก็จะลดน้อยหรือใกล้ชิดกันมากเข้า จนความแก่ความหนุ่มหรือความต่างวัย หมดสิ้นไปในสังคมไทย เมื่อนั้นเวลาก็จะมีความหมายน้อยลง.... จริงไหมครับท่าน?
โดย เพื่อนอาจารย์ [15 ต.ค. 2545 , 11:52:08 น.]
เห็นอะไรบ้าง(อีก)ในวันหยุด...

ผมมีโอกาศไปร่วมเลี้ยงรุ่นสถาปนิกกันที่ชะอำ ในวาระ อยู่ทนคบกันมาถึงสี่สิบปีแล้ว ก่อนจะแยกย้ายแก่ตาย กันไปในอนาคตอันใกล้ ผมเลือกสถานที่ให้ไปหลับ นอนกันที่บังกะโลของญาติฝ่ายน้องผม และก็มี ทางเลือกให้พักในโรงแรมไฮโซใกล้ๆได้ สำหรับ เพื่อนบางคนที่ยังไม่ยอมทำตัวติดดินเพราะรวย และ อยากเป็นฝรั่งจนตัวตาย โครงการนี้ น้องสาวผม...ไม่เลือกผมเป็นสถาปนิก เพราะคงกลัวผมเอาค่าแบบแพง เนื่องจากเห็นว่า ผมกำลังหาเงินแต่งเมียวุ่นตอนนั้น ..ข้อสังเกต ที่จะกล่าวนี้ สาระอยู่ที่ทรรศนะในงานสถาปัตยกรรม คือผมว่า..น้องสาวผมตัดสินใจถูกต้อง ที่ทำเองด้วยตัวเอง คือเลือกช่างก่อสร้างท้องถิ่น (ที่ไม่มีทักษะมากมาย) มาปลูกสร้างเรือนพักให้ทีละหลัง เก็บค่าเช่าได้มาก พอก็สร้างหลังต่อไป จนเกือบเต็มเนื้อที่สิบกว่าไร่แล้ว เก็บต้นมะขามใหญ่ไว้แทบทุกต้น ที่ๆเหลือด้านหลัง ก็บอกว่าจะสร้างแคมป์กราวด์ (ให้เช่าแบบนอนเต้นท์) คืนกำไรให้คนรายได้น้อยมาพักตากอากาศชะอำได้โดย ไม่ต้องน้อยหน้าพวกเศรษฐี ..คนอย่างนี้มีจิตใหญ่ครับ ทำโครงการที่พักตากอากาศเช่นนี้ จึงเป็นโครงการใหญ่ ที่ไม่ติด npl เลยหลังเศรษฐกิจล่มต่างจากโครงการอื่น ที่โดนเปลี่ยนมือเจ้าของเป็นนายแบงค์แทบทั้งนั้น บรรยากาศสถานที่นี้ ที่ซึ่งผมไปพักอยู่กับพรรคพวกตีน ติดดินที่ผมสนิทและไว้ใจกันตามที่คิดไว้ล่วงหน้า คนอื่นๆ ส่วนมากนั้นผมยุให้ไปจ่ายเงินค่าที่พักแพงๆที่ผมก็ติดต่อ กับเพื่อนเศรษฐีเจ้าของ(ติด npl เรียบร้อย)เลยได้ส่วนลดไม่ มากนัก พักกันแค่คืนเดียวก็เผ่นกลับกันแน๊บ ส่วนต่างในรุ่น คือพวกผมอยู่กันสองคืนตลอดงานโดยผมจ่ายค่าที่พักให้แทน เพราะฝากเงินให้น้องแค่น้อยนิดเป็นพอค่าน้ำค่าไฟ เหมือนให้ ขนมน้องราคาถูก จะเป็นไรไป เมื่อน้องสาวกลับจากเที่ยวต่างประเทศ รู้เข้าก็ดีใจเป็นปลื้มแล้ว ..มีคนจิตใหญ่เป็นญาติก็บุญอย่างนี้แหละ ผมเห็นความเป็นชุมชนไทย อยู่พักตากอากาศกันแบบ ชุมชนบ้านนอก มีทะเลขวางหน้า มีวัตถุนิยมครบเครื่อง รอบตัว ตัวสถาปัตยกรรมที่พวกเราเน้นเรียนกันหามรุ่ง หามค่ำขณะนี้นั้น เป็นเรื่องรองมากทีเดียว คนพักมาอยู่กัน เป็นครอบครัวใหญ่ มีลักษณะเหมือนการ reunion ของญาติ กันจริงๆ เป็นการคงรักษาจิตวิญญาณของคนไทยเช่นอดีตไว้ได้ อย่างหนึ่งหรือชั่วระยะหนึ่ง ผมว่าเหมือนเป็น eco-tourism ก็น่า จะโม้ได้นะ และผมว่า..ดีกว่าการทำโรงแรมแบบฝรั่งสูงๆ ที่เน้น ปัจเจกชนกันทุกวันนี้ ชนิดตัวใครตัวมัน คิดแบบแยกส่วนกันสุดๆ ซึ่งเมื่อไปพักแล้ว ผมว่าการแสดงบทนักท่องเที่ยวกันคงเฟื่อนแน่ เพราะถ้าเผอิญมีท้องฟ้าเป็นกระจกให้เห็นกิจกรรมที่เกิดใน สถาปัตยกรรมแบบตะวันตก และออกแบบโดยสถาปนิก จิตเล็กที่นึกเอาเองว่ามีจิตใหญ่ยิ่ง ..ไม่มองสถาปัตยกรรม เป็นเหตุการณ์หรือปรากฏการณ์ คือประเด็นที่ผมสังเกตที่ ไม่ใช่ตัวอาคารหรือสถาปัตยกรรมแบบโดดๆ..นะครับ ผมยังสังเกตพฤติกรรมของคนไทยและสภาพแวดล้อมที่เรา สร้างกันปัจจุบัน แบบชนิดไม่เป็นธรรมชาติหรือองค์รวมแบบ ไทยเท่าไรนัก เห็นพรรคพวกดื่มกินกันเช่น การดื่มไวน์กัน เหมือนซดดื่มกระแช่แต่จ่ายค่าเครื่องดื่มแพงกว่า ไม่มีรสนิยม เหมือนที่ผมเห็นฝรั่งทำกันในหนังเลย ผมว่าดื่มเบียร์ช้างน่า จะเหมาะกว่า เพราะนายแอ๊ดร้องโฆษณาว่าเป็นเบียร์คนไทย ทำเอง เหมือนดื่มแทนกระแช่ว่างั้นเถอะ (อ้อ..เพราะผมด่า ผม เลยดื่มชนิดตัวอย่างหลังครับ) ส่วนอาหารเช้าสำหรับเพื่อนใน กลุ่มผมบางคน เลือกขนมปังใส้กรอกไข่ดาวกาแฟ ผมดูมันขัดๆ ชอบกล ที่คนปรุงขายคือชาวบ้านกินส้มตำประจำ แต่ดันบริการ อาหารฝรั่ง ด้วยสีหน้าไม่ค่อยมั่นใจเท่าไร เพียงแต่มีน้ำใจให้ลูกค้า ที่เป็นไทยแต่อยากกินอาหารแบบฝรั่ง ...ลองจินตนาการเอาเองนะครับ ว่ามันเข้ากันเป็นองค์รวมได้ดีอย่างไร ลองเปรียบเทียบพฤติกรรมกับผม และเพื่อนอีกคนก็ได้ที่กำลังกินโจ๊กหมูใส่ปาท่องโก๋ ว่าอันไหนเป็นองค์ แบบไทยมากกว่ากัน ส่วนพรรคพวกที่ผมหลอกให้ไปพักโรงแรมนั้น ก็ลองจินตนาการด้วยนะ ..สถานที่เหมาะกับอาหารเช้าแบบฝรั่งแน่ (เพราะทางโรงแรมบริการรวมกับค่าที่พักค้างคืน) แต่พฤติกรรมคนไทย ที่กินร่วมกับฝรั่งซิครับ มันเป็นองค์รวมแบบผสมกันอย่างไร? ผมว่า คงเหมือนสถาปัตยกรรมร่วมสมัยของเราที่ออกแบบโดยพวกเรานั่นแหละ เพื่อการอยู่อาศัยแบบไทยหรือไม่? ....จะพอใจกันอย่างไร? ..ก็ตามแต่จะ คิดและปรารถนากันเองแล้วกันครับ ก็อวดมาว่า สถาปัตยกรรมวิทเอาท์สถาปนิก ก็น่ามีดีในแง่นี้บ้าง ก็ได้นะครับ ...ถ้าเผอิญเชื่อที่ผมอวดโม้มา..แต่ถ้าไม่เชื่อก็สอนกลับ ไปได้เลย ...ผมรอเรียนจากคุณๆอยู่แล้วล่ะ
โดย เพื่อนอาจารย์ [28 ต.ค. 2545 , 14:25:15 น.]

ข้อความ 1
เรื่องอาจานหนุกดีครับ มาเล่าบ่อยๆ อ้อแล้วอาจานช่วยpostเวบของอาจานให้ทีครับ ผมอยากลองเข้าไปอ่านดู กลัวว่าต่อไปเวบนี้จะร้างไม่มีคนเล่นแล้ว ส่วนเรื่องอาคารโรงแรมสูงใหญ่นี่ผมเองก็ไม่ชอบแต่ก็พูดยากครับ คิดในหัวอกคนมีเงินคนรู้จักผมเคยว่าเค้าก็อาจจะคิดได้ว่าเค้ามีตังมาเที่ยวทั้งทีจะไปลำบากทำไม อีกอย่างแล้วจะให้ไม่มีตึกสูงใหญ่อย่างงี้แต่เป็นรีสอร์ทหลังเล็กๆแผ่ไปเต็มจนไม่เหลือที่ไว้ทำหาดเหรอไง ว่ากันแบบนี้ ผมก็ไม่รู้จะว่ายังไง
โดย eps [29 ต.ค. 2545 , 03:41:51 น.]

ข้อความ 2
ผมบอกไว้แล้วในกระทู้ที่ไทแมนถาม ที่เว็บบอร์ด ก็มีลิงค์ที่ home ไปที่ เว็บไซท์ผมด้วย มีบทความแปลไว้เยอะ วันนี้ก็คุยกับนิสิตในกลุ่มที่ทำทีสิส อยากให้ลองพิจารณาสถาปัตยกรรม ในแง่วัฒนธรรม การดำเนินชีวิต และปรากฏการณ์ของสังคมไทยไว้บ้าง สถาปัตยกรรมจะเป็นส่วนของเรื่องราว มากกว่าสถาปัตยกรรมโดดๆตามวิทยาศาสตร์ แบบเดิม เช่นที่เราสะท้อนไว้ในยุคทันสมัย เรื่องความเหมาะสมระหว่างตึกสูงและตึกเตี้ยๆ ก็เป็นปัญหาที่ต้องพิจารณาความเหมาะสม เช่นที่คุณติงไว้ก็น่าพิจารณาเช่นกัน อยากให้พวกเราลองศึกษาแนวคิดของ green architecture ไว้บ้าง เป็นลักษณะ แนวคิดพวก eco-architecture ที่เอาเรื่อง นิเวศสิกขา มาทบทวนกัน ผมว่าจะมาแรง เพราะสภาวะโลกกำลังวิกฤติมากขณะนี้ วิทยาศาสตร์ใหม่ก็กำลังแปรไปสู่การพัฒนา ในแนวคิดใหม่ๆเกิดขึ้น ..ลองหาเรื่องนี้ อ่านในอินเทอร์เนทนะ หาที่ google.com ก็น่าพบบทความเรื่องเหล่านี้ ผมมีตุนไว้ บ้างพอสมควร ยังคอยอ่านอยู่ ..ได้เรื่องเหมาะ ก็จะแปลมาให้อ่านกันอีกในเว็บผมนะครับ ตอนนี้อ่านเรื่องวิทยาศาสตร์จิตวิญญาณอยู่ ก็สนุกดี เพิ่งเขียนเอกสารที่เกี่ยวกับวิธีการ ออกแบบ โพสต์ไว้ที่คอลัมท์ เอกสารสัมมนา-๒ ลองไปอ่านที่ผมโม้ไว้...นะครับ
โดย เพื่อนอาจารย์ [29 ต.ค. 2545 , 21:02:25 น.]

ข้อความ 3
ผมสนใจมานานแล้วครับ architecture without architect นี่นะ กรณีบ้านดินนั่นก็ด้วย แหม ความจริงถ้าว่าง จะนัดไอ้ไทแมน กับเพื่อนก๊วนเดิมไปคุยกับเพื่อนอาจารย์อีกสักครั้ง
โดย ruzzian [1 พ.ย. 2545 , 00:19:57 น.]

ข้อความ 4
ไปได้เลยทุกเมื่อ....นะครับ นี่ก็ตั้งใจว่าจะเอาบ้านเมีย มาใช้เป็นสุสานวิชาการของพวกเรา ฝากความคิดถึงไปที่ เคน ด้วย วันก่อนอ่าน มะเฟืองรอขวาน ของประภาสฯ ตอบคำถามให้ เคน เข้าใจว่าคงเป็นเคน คนเดียวกันนะ ว่างๆแวะมาที่นี่บ่อยนะ...อยากคุยเรื่อง คุณธรรมและจริยธรรมอิงวิทยาศาสตร์ใหม่ เพราะอาจช่วยพวกเราและผมผ่านโลกวิกฤติใบนี้ ไปได้บ้าง ...โลกมันร้อนขึ้นทุกวันครับ ลองกันนึกดู หมอฆ่าหมอ ..อาจารย์ใช้บริการ ทางเพศกับศิษย์ ...มันเป็นไปได้อย่างไรนิ ผมสะดุ้งและประหลาดใจจริงๆครับ..เห็นท่า น่าจะต้องกลับไปเยี่ยมคุยกับปู่ย่าตายาย กันให้บ่อยๆ..มีปัญหาอะไรจะได้ช่วย ยับยั้งชั่งใจเรากันไว้บ้างนะครับ
โดย เพื่อนอาจารย์ [1 พ.ย. 2545 , 10:09:48 น

ข้อความ 5
เรื่องโรงแรมสูง ผมว่ามันมีอุปสงค์ก็มีอุปทาน มีดีมานด์ก็มีสัพพลายครับ คิดว่าคงไม่ใช่สร้างให้นักท่องเที่ยวชาวไทยเพียงอย่างเดียว นักท่องเที่ยวชาวต่างประเทศที่เหมาะกับอาคารประเภทนี้ก็มีเยอะแยะ เช่นเดียวกับเรื่องอาหารเช้า ซึ่งเพื่อนของเพื่อนอาจารย์ท่านนั้นคงไม่ได้กินแบบนั้นทุกวันทุกมื้อมั้งครับ อาจจะแค่เปลี่ยนบรรยากาศ..... จริงๆแล้วก็น่าคิดครับว่าแบบไทยคืออะไร และเพื่ออะไร ผมยังไม่แน่ใจว่าไข่ดาวไม่ใช่อาหารไทยหรือ และยังไม่แน่ใจว่าปาท่องโก๋เป็นอาหารไทยจริงหรือไม่ การรับและแลกเปลี่ยนต่างๆเป็นสิ่งที่น่าสนใจนะครับ วิถีของมนุษย์ วัฒนธรรม ก็แปรไปได้ตามเวลาแหละครับ เบียร์นั่นก็ตัวอย่างที่ดี จะช้างหรือมิตรไวด้า เจ้าของมันก็ไทยทั้งคู่ แต่ขึ้นชื่อว่าเบียร์ ยังไงก็เยอรมัน เช่นเดียวกันกับเส้นก๋วยเตี๋ยวหรือพาสต้า พอผัดขี้เมาลงไปก็โมเมได้ว่านี่อาหารไทย หรือเปล่าน้า...??
โดย armada [2 พ.ย. 2545 , 15:01:23 น.]

ข้อความ 6
เห็นด้วยครับกับข้อสังเกตุทุกอย่าง ก็ต้องคิดอย่างเป็นกลางหรือคิดแบบอิทัปปจจยตา ซึ่งเป็นเรื่องสำคัญและก็ยังตอบว่าคิดอย่างไร? อย่างชัดๆก็ยังไม่อาจทราบได้ ..ถ้าบอกว่า คิดให้โลภโกรธหลงน้องๆเข้าไว้ ก็จะตอบแบบ เกาะอาศัยชายผ้าเหลืองมาตอบ..ไม่เข้าท่านัก ผมเองตอนนี้มีปัญหาครุ่นคิดในเรื่องการออกแบบ ที่เราเอาใจใส่รูปแบบอาคารมากเกินไป บางครั้ง ก็ให้ความสำคัญกับวิถีการดำเนินชีวิตของผู้ใช้ น้อยไป เช่นการอยู่อาศัยแบบคอนโดสำหรับคนไทย ซึ่งปัญหาที่พบเห็นคือ เช่น การตากผ้าซักผ้า ..ก็ยังคิด ไม่ออกว่าจะแก้ปัญหาเห็นผ้าตากที่ระเบียงอย่างไร ซึ่งพบเห็นแล้วสงสัยว่าพฤติกรรมการดำเนินชีวิตที่ ไม่เหมือนฝรั่ง ทั้งที่อาคารเป็นรูปแบบทำนองเดียว กัน แม้รสนิยมการอยู่ในบ้านเดี่ยวธรรมดาเช่นกัน ก็ยังพบการเห็นอะไรขัดๆกันอยู่มาก ผมเลยลองพิจารณาความงามในเชิงกิจกรรมบ้าง โดยลดความสำคัญของการเน้นรูปลักษณ์อาคารลงไป บางทีเราอาจพบสถาปัตยกรรมในแง่ปรากฏการณ์ ได้มากขึ้นกว่าการเน้นรูปทรงแบบเดิมๆ .. ก็เลยลองนำเรื่องนี้มาลองสนทนากัน...ครับ และก็เห็นมีงานวิจัยลักษณะชุมชนไทยท้องถิ่น กันครึกครื้นขณะนี้ ..ตามแผนพัฒนาเมืองน่าอยู่ และชุมชนยั่งยืน..หรือ sustainable architecture แบบไทยๆ ..เลยชักจะแถกเรื่องออกไปๆใน หลายเรื่อง...ครับ ...ขออภัยด้วยนะครับ นี่ก็กำลังให้พวกเราลองคิดถึงกระบวนสุขภาพ ตามทฤษฎี system biology กันก่อนลงมือเสนอ รูปทรงโรงพยาบาลตามความคิดเดิมที่เป็นอยู่ ขณะนี้ที่เน้น สุขภาพเหมือนเครื่องจักรกล ให้ ความสำคัญกับการรักษากายโดยแพทย์ มากกว่า การรักษาใจที่เป็นกิจกรรมของพยาบาล ...ซึ่ง ถ้าเริ่มกันอย่างนี้ เราอาจได้รูปลักษณ์ของโรงพยาบาล ในแนวทางออกแบบสถาปัตยกรรมใหม่ๆ ผมกำลังเอาไปเสนอกันในสตูดิโอเทอมนี้..ครับ อยากให้มีพูดเรื่องเหล่านี้กันมากๆ..อย่าเพิ่งเบื่อ นะครับ ..ไหนๆชาตินี้ก็เลือกมาเป็นสถาปนิกกัน ก็ต้องคิดต้องพูดและต้องออกความเห็นกันมากๆ ด้วย....นะครับ
โดย เพื่อนอาจารย์ [3 พ.ย. 2545 , 14:48:47 น.]

ข้อความ 7
อ้อ..เรื่อง มะเฟืองรอฝาน..ที่ผม แถคุณประภาสเป็น ..รอขวาน ทั้งที่เผลอแต่ไม่อยากแก้ เพราะจี้ดี และก็ไม่อยากชมเพื่อนรุ่นน้อง คนเก่ง คนนี้มากนัก กลัวจะเหลิง เลยจะไม่ได้ อ่านเรื่องดีๆของแกอีก...ครับ
โดย ขออีกที [3 พ.ย. 2545 , 14:59:22 น.]

2 ความคิดเห็น:

ไม่ระบุชื่อ กล่าวว่า...

ขอบคุณมากนะครับสำหรับข้อมูล

ไม่ระบุชื่อ กล่าวว่า...

ขอบคุณมากครับ สำหรับข้อมูล