วันพุธ, มกราคม 21, 2552

เรื่องของเวลาและการส่งงาน

ผมว่าบางที่ทฤษฎีสัมพันธภาพอาจจะช่วยอธิบายถึงการส่งงานlateหรือเข้าเรียนช้าของเราชาวนิสิตได้นะครับ คือว่า ท่านอาจารย์ทั้งหลายนำเวลาจากไหนมาใช้เป็นมาตรฐานครับ ในเมื่อเวลาเป็นสัมพัทย์(relative)ไม่ใช่สัมบูรณ์(absolute)... เป็นไปได้ไหมครับ ว่ายิ่งผมวิ่งมาส่งงาน(หรือเข้าเรียน)ด้วยความเร็วที่สูงกว่าอาจารย์ที่นั่งดูนาฬิกาอยู่เฉยๆ จึงทำให้เวลาในมิติกรอบอ้างอิงของผม เดินช้ากว่าของอาจารย์ นั่นทำให้เมื่อผมมาส่งงาน นาฬิกาของผมก็ตรงเวลา แต่อาจารย์กลับว่าlate น่าคิดนะครับ น่าคิด...(o_O )
โดย จญิมโณเภดัย 2 [6 ธ.ค. 2545 , 21:53:58 น.]

ข้อความ 1
เห็นด้วยกับความช่างคิด ที่เอาทฤษฎีวิทยาศาสตร์ มาโต้แย้งกับการส่งงานช้ากว่ากำหนด แต่อาจเป็นวิธีคิด...แบบศรีธนญชัย แม้มีเหตุผล(ที่ต่าง proposition กัน) ที่อาจอ้างคนละเรื่องกัน เช่นควรอ้าง ที่ส่งงานช้า เพราะรถติด ตื่นนอนสาย ฯลฯ เอาแบบเซื่องๆดีกว่าทางิวชาการสูง หรือเล่นโวหารปรมัตต์ธรรม ที่บางที อาจารย์อาจไม่รู้เรื่อง เลยโกรธเอาว่า คุณมาอวดฉลาดกว่าอาจารย์ ความเชื่อมโยงของกฏการส่งงานตรงกำหนด มันอยู่ที่ความพร้อมเพรียง การรวมงาน ในเวลาที่ต้องทำงานร่วมกัน ในสภาพการณ์ บางอย่างทำงานต่างเวลากันจะไม่เป็นผล เช่นเมื่อลูกค้าต้องการแบบของสถาปนิก เขาอาจมีเงื่อนไขเวลา ถ้าเราส่งแบบเขาช้า ก็อาจเป็นปัญหากับเขาได้ในภาระกิจของเขา ทางคณะฯเลยอาจฝึกฝนเรื่องนี้ให้พวกเราตระหนัก แต่นั่นแหละงานสถาปนิกเป็นงานสร้างสรรค์ บางทีอยากทำงานให้ดี ก็เลยลืมเวลาไปหน่อย ผมเองตอนเป็นนิสิต ก็ส่งงานช้าเสมอ แต่ใช้ วิธีขอผ่อนผันจากอาจารย์ โดยแสดงการรักเรียน และเคารพคำตักเตือนอาจารย์มาเสมอๆ พระเจ้าก็ดลใจอาจารย์ให้อภัยเป็นบางครั้ง แต่ถ้าผมกลับไปเป็นคุณได้ตอนนี้ ผมจะตรงและ รักษาเวลาให้เที่ยง เพราะการไม่ตรงเวลา ทำให้ผมหลุดความเชื่อมโยงที่เป็นโยงใยดีๆไปเยอะ บางโอกาศเพราะหลุดเวลาที่นัดหมาย กลับกลายไป โยงกับอีกวงจร ทำให้ชีวิตบัดซบไปได้เลยก็มี ผมอยากสรุปว่า นึกเสียว่าพระเจ้านัดพบเราเวลาไหน ก็ไปพบท่านเวลานั้น อย่าให้ท่านรอ เพราะท่านยังมีนัด กับคนอื่นที่รอขึ้นสวรรค์อีกมากมาย...ครับ
โดย เพื่อนอาจารย์ [7 ธ.ค. 2545 , 10:53:20 น.]


ข้อความ 2
time flies while u havin fun gal; times up when u work like a dog salut........
โดย greendaY [7 ธ.ค. 2545 , 22:29:51 น.]


ข้อความ 3
พรุ่งนี้ไม่เคยมาถึง เราต่างมีวันนี้ นาทีนี้ และวินาทีนี้เท่านั้น หลายครั้งที่เราบอก กับตัวเองว่า "พรุ่งนี้" พรุ่งนี้ค่อยทำ พรุ่งนี้ฉันจะรักเธอ พรุ่งนี้ฉันจะฝึกสมาธิ พรุ่งนี้ฉันจะกินมังสวิรัติ พรุ่งนี้ฉันจะเลิกบุหรี่ พรุ่งนี้ฉันจะขอโทษเขา พรุ่งให้อภัย สารพัดสารพันพรุ่งนี้.... แต่ พรุ่งนี้..ไม่เคยมาถึง ในความเป็นจริง เราไม่ได้มีชีวิตอยู่กับวันพรุ่งนี้ เรามีชีวิตอยู่ในขณะนี้ กับห้วงเวลานี้เท่านั้น ไม่มีใครจะล่วงรู้ได้เลยว่าเสี้ยววินาทีต่อจากนี้ไปอะไรจะเกิดขึ้น หากห้วงยามนี้ฉันหลับตาลง และหลับไปอย่างนิจนิรันดร์ คงมีหลายอย่างที่ฉันพลาดไป และไม่ได้ทำในชีวิต หลายครั้งเรารอให้โอกาสมาถึง รอให้วันพรุ่งนี้มาถึง แต่โอกาสไม่มีวันมาถึง วันพรุ่งนี้ไม่เคยมาถึง ทุกอย่างเป็นเพียงภาพลวงตาที่เราสร้างขึ้น ไม่เพียงแต่เรากำลังหลอกตัวเอง แต่เรากำลังหลอกคนรอบข้าง จริงแล้ว โอกาสอยู่ในมือเราแล้วตอนนี้ เวลานี้ โอกาสอยู่ตรงนี้ตลอดเวลา และก่อนที่เราจะมาอยู่ตรงนี้ด้วยซ้ำ หากได้มองกลับเข้าไปในชีวิต เราชอบที่จะผลัดวันประกันพรุ่งให้กับตัวเองและชีวิต จริงแล้วการผลัดวันประกันพรุ่งเป็นเพียงกลอุบายของจิต-ที่ทำให้เรารู้สึกมีความหวัง แต่ขณะเดียวกันมันก็ทำให้เราพลาดโอกาสไป ในที่สุดเราก็จะมาถึงทางตันของชีวิต คือ "ความตาย" และสุดท้ายแล้วก็ไม่มีโอกาสใดๆ หลงเหลืออีกเลยในชีวิต ทำไมเราไม่ลองคิดว่า เราเหลือเพียงวินาทีสุดท้ายในชีวิต เรากำลังจะตายไปจากโลกนี้ หรือโลกนี้จะแตกดับไปในอีกไม่กี่นาทีข้างหน้า หากคิดเช่นนั้น...ชีวิตเราคงจะเปลี่ยนไปโดยสิ้นเชิง... เราคงจะมีชีวิตอยู่กับ "ชีวิตจริงๆ" ของเรามากขึ้น มากกว่าที่มีชีวิตอยู่กับบ้านหลังใหญ่ หรือหลังต่อไป รถคันใหม่ หรือคันต่อๆ ไป ตัวเลขที่เพิ่มขึ้น หรือลดลงในธนาคาร เก้าอี้ในสำนักงาน ตำแหน่งที่วาดหวัง หรืออยู่กับการเข่นฆ่า แย่งชิงความเป็นใหญ่ หรือการทำสงครามใดๆ ในโลก คนส่วนใหญ่วางแผนการดำเนินชีวิตไว้ราวกับว่า ชีวิตคือสิ่งที่ออกแบบได้ตายตัว และเป็นอมตะนิรันดร์ เขาวางไว้ว่าจะเรียนจบเมื่ออายุ 21 หลังจากนั้นทำงาน เก็บเงินแต่งงานเมื่ออายุ 29 จะมีลูกเมื่อ อายุ 32 แล้วก็จะปลดละวางตัวเองตอนอายุ 50 เสร็จแล้วก็จะเดินทางค้นหาความจริงให้กับชีวิต หรือจะเข้าวัด บ้างก็ว่าจะเดินทางรอบโลก บ้างก็ว่าจะพักผ่อนหาความสุขให้กับชีวิต แต่เราแน่ใจได้หรือว่า วันเหล่านั้นจะมาถึง หรือคุณจะมีชีวิตอยู่ไปจนถึงวันนั้น ไม่หรอก...มันไม่มี เรามีเพียงวันนี้ และวินาทีนี้เท่านั้น อย่าลังเลที่จะทำอะไร หรือเติมสิ่งดีๆให้ชีวิตเลย การพักผ่อนไม่ใช่จะมีได้เมื่อตอนปลดเกษียณ ฮันนีมูนก็ไม่ได้เกิดขึ้นได้เฉพาะตอนแต่งงานใหม่ๆ การจะบอกรักใครสักคนก็ไม่ใช่บอกในวันที่เขาลาจากโลกนี้ไปแล้ว หรือบางครั้งเราเองต่างหากที่จะจากโลกนี้ไปก่อนที่จะได้บอกคำนั้นกับใครสักคน การค้นหาความจริงแห่งชีวิตก็เฉกเช่นเดียวกัน มันไม่มีป้ายบอก วัน/เดือน/ปี ที่ผลิต และวันหมดอายุ มันมีอยู่จริงไม่ว่าเราจะมีอยู่หรือไม่มีอยู่ก็ตาม มีแต่ชีวิตเราต่างหากที่มีวันหมดอายุ หากวันนี้เราคิดที่จะศึกษาหรือค้นหาความจริงแห่งชีวิต ความจริงก็ได้เปิดออกอยู่ตรงหน้าเราแล้ว อย่ารีรออีกเลย เพราะพรุ่งนี้... จะไม่มีวันมาถึง ถ้ามีคนถามผมว่า “ถ้าผมจะต้องตายไปในตอนนี้ ผมจะพลาดอะไรไปในชีวิต” ผมจะตอบว่า “ถ้าผมตายไปในตอนนี้จริงๆ ผมไม่รู้หรอกว่าผมพลาดอะไรไปบ้าง แต่ก่อนตายผมจะถามตัวเอง ที่ผ่านมาผมพลาดอะไรไปบ้าง” ***********
โดย biG illusion [11 ธ.ค. 2545 , 17:14:48 น.]


ข้อความ 4

สาธุ..ไพเราะน่านับถือยิ่งในร้อยกรองบทนี้ อาจเพราะกลั่นมาจากใจ ที่คำนึงถึงอยู่ในขณะนั้น จับความคิดได้ว่า ให้อยู่กับปัจจุบันเข้าไว้แหละดี อย่าพึงเอาแต่ฝันถึงพรุ่งนี้ ที่อาจไม่มีก็ได้ รู้อะไรที่พลาดในอดีต เพื่อทำดีในวันนี้ ฯลฯ สนใจเรื่องเวลา ก็ต้องเติมอ่านมิลินท์ปัญหา ไดอะเล็คติด ในเรื่อง กาล ระหว่างพระนาคะเสน กับพระเจ้ามิลินท์ เป็นเรื่องของพระอภิธรรมฯ ในพุทธศาสนา แต่งเขียนในรูปบทสนทนา ลองอ่านดูนะครับ ...แล้วอาจจะชอบก็ได้นะ
โดย เพื่อนอาจารย์ [12 ธ.ค. 2545 , 12:20:42 น.]

3 ความคิดเห็น:

ไม่ระบุชื่อ กล่าวว่า...

ขอบคุณสำหรับข้อมูลดีๆคับ

ประกันภัยรถยนต์ กล่าวว่า...

ช่างคิดได้อีก

ครีมกระชับหน้าอก กล่าวว่า...

เป็นการเตือนให้รู้ถึงคุณค่าของเวลาได้ดีจริง ๆ