วันพุธ, มกราคม 21, 2552

อาจารย์หายไปไหน

แล้วอาจารย์ท่านอื่นๆไม่เล่นwebนี้หรือครับ หรือว่าพวกอาจารย์ไม่ค่อยรู้กัน ผมว่าในนี้มันแบบศิษย์กับครูไม่ใช่ publicมากเหมือ asa คือแบบเป็นกันเองส่วนตัว ไม่ต้องอายหรือกลัวคนโน่นคนนี้มาว่าหรือเห็นว่าเราโง่นัก555 อาจารย์ชวนกันมาเล่นเยอะสิครับจะได้ครื้นเครง ในนี้มันกล้าถาม กล้าตอบกันอยู่แล้วกล้าวิจารณ์ด้วย ผมว่าอ่านแล้วดี๊ ดี ได้ความรู้แถมรู้สึกดี ผูกพันกันระหว่าง ศิษย์ อาจารย์ ละมุนละไมดี ว่าแต่แล้วอาจารย์ทำไมถึงหนีไปหล่ะครับ
โดย เมืองFISH_Sit [1 ก.ย. 2545 , 03:25:55 น.]

ข้อความ 1
ครู อาจารย์ เพื่อนอาจารย์ ฯลฯ ช่วยกันหน่อยครับ นิสิตเขาเรียกหาแล้วครับ ว่าแต่นิสิตอย่าห่างหายไปไหนด้วยละ
โดย ครูประชาบาล [1 ก.ย. 2545 , 11:44:28 น.]

ข้อความ 2
ก่อนเว็บเดิมจะพักช่วงไป..แล้วกลายมาเป็นเว็บนี้ ผมเคยทายว่า หมดรุ่นบุกเบิก (จบไปแล้ว) เว็บจะเดี้ยง เพราะด้วยความหง๋อยๆ เด็กรุ่นใหม่ๆไม่ชอบคุยกับครูโบราณเท่าไร เพราะโลกทัศน์ไม่สอดคล้องกัน นักศึกษาโพ๊สมอร์เดิร์น มักคุยกับพวกมอร์เดิร์น ไม่ค่อยรู้เรื่อง..ขนาดผมบุกไปถึงถ้ำ ย้ำว่าโลกทํศน์ พวกท่านเป็นเช่นไร ผมเองจะได้เล่นถูก เขาก็ไม่ค่อยยอมบอก ..เพราะไม่อยากเล่นกับ..เอ็ง สู้เล่นกันเองดีกว่า..บลา..บลาๆ..ๆ หลายวันก่อน "อาจารย์" คนชวนผม ก็วานบอก ให้ไปแจมหน่อย ส่วนท่านจะแว็ปไปหาเงินบาท ส่งลูกสองคนเรียนนอกสักพัก เพราะกลัวเมียจะดูถูกว่า ไม่มีน้ำยาเหมือน "เพื่อนอาจารย์" ส่งลูกสาวเรียน นอกสำเร็จตั้งสองสาว ในช่วงบาทถูกๆด้วยซ้ำ ผมเลยเห็นใจ..บอกว่าเดี๋ยวจะมาช่วยบรรเลงให้เอง เพราะตอนนี้สบายแล้ว หมดภาระ รอคอยแค่เพียงตัวตาย เพราะแก่..เท่านั้น บ่น..โลกมนุษย์ทุกวันนี้ มันแบ่งแยกกันสิ้นดี คิดอะไรแยกส่วนแยกพวกแยกวัย อยู่กันแบบตัวใครตัวมัน มันเป็นโรคคิดแบบ เดสคาร์ต ขึ้นสมอง โพ๊สต์มอเดิร์น vs มอร์เดิร์น แก่ vs เด็ก ครู vs ศิษย์ ไม่สู้คิดมองกันจาก ฐานรวมเดียวกัน เช่น ดิน น้ำ ลม ไฟ ที่มาประชุมกัน เป็นมนุษย์พันธ์รากเดียวกัน โดยน่าจะเรียนรู้ด้วยกัน ซึ่งกันและกัน ..น่าจะฉลาดและโง่พอๆกันได้เยอะๆ ผมว่าน่าจะดีกว่านะครับ พล่ามจนเกือบจบไม่ลงแฮะ!
โดย เพื่อนอาจารย์ [1 ก.ย. 2545 , 17:59:27 น.]

ข้อความ 3
คุยแลกเปลี่ยนความคิดกันมากขึ้น กลับเข้าใจตัวเองมากขึ้น กว่าเข้าใจคนอื่นซะอีก ขอบคุณล่วงหน้าที่ เพื่อนอาจารย์จะมาเพิ่มหน้าจอ ให้เยอะ ๆ เหมือนเดิม บางครั้ง ตาลาย ก็สนุกดี เพราะแถมความคิด กะ ความรู้
โดย เด็กวัด [1 ก.ย. 2545 , 21:27:59 น

ข้อความ 4
จบไปแล้วก้อยังมาjam ได้คับอาจารย์---ไม่ได้หนีหายไปไหนคับ----ยังไงผมยังถือตนเป็นนักศึกษา---หมายถึง ผู้ใฝ่ศึกษาอ่ะคับ---- อยู่เสมอแหละคับ ยังคงต้องคิด ต้องถาม ต้องถก กับผู้ที่มีประสบการณืมากกว่าอยู่ดี ก้อยังคงต้องรบกวนอาจารย์ต่อไปเรื่อยเรื่อยคับ ก้อเลยหวังว่าอาจารย์จะยังคงแวะเวียนเข้ามาพูดคุยเหมือนเมื่อตอนเริ่มเปิดบอร์ดนี้ใหม่ใหม่อะคับ ขอบคุนอาจารย์ทุกท่านที่ยังคงกรุณาศิษย์อยู่ แม้ว่าจะจบไปแล้ว คับ _/I\_
โดย ไทแมน [1 ก.ย. 2545 , 22:53:11 น.]

ข้อความ 5
อธิบายนิดคับ สัญลักษ์นี้ _/I\_หมายถึงการพนมมือไหว้นะคับ กลัวอาจารย์จะสื่อสารกับเด็กยุค gt.x ไม่ทันอะคับ55555
โดย ไทแมน [1 ก.ย. 2545 , 23:01:00 น.]

ข้อความ 6
จะให้ฝอยเรื่องอะไรก็ว่ามาอีก กำลังฝึกเขียน ..ข้อความเลยยาว กำลังคิดๆอยู่ ว่าจะเขียนเรื่องสั้น แบบมินิมั่มอิสซึ่ม..สยบนายปราบดา ให้ได้....ฝันของคนแก่ๆ
โดย เพื่อนอาจารย์ [2 ก.ย. 2545 , 11:58:09 น.]

ข้อความ 7
อาจารย์ครับ....ที่ท่านบอกว่าบุกถึงถ้ำเพื่อถามว่าโลกทัศน์ของพวกผมเป็นเช่นไรนั้น หาใช่พวกผมไม่ยอมบอก.....เอ็ง....ท่าน....อะไรก็แล้วแต่ แต่พวกผมอ่านไม่รู้เรื่องครับ.....จริงๆ ถ้าท่านอาจารย์จะกรุณาละสำนวนของปราบดา หยุ่น แล้วใช้ภาษาที่เข้าใจง่ายกว่านั้น ผมเชื่อว่าจะมีคนตอบมากกว่านั้นครับ
โดย นักศึกษาโพสท์มอเดิร์น [7 ก.ย. 2545 , 22:09:33 น

ข้อความ 8
ผมว่าภาษาที่แกใช้ก้อไม่ได้ยากเย็นเข้าใจยากอะไรนี่คับ เอางี้ไหมคับ ลองอ่านเเล้ว---ิคิด----ไปด้วย น่าจะเข้าใจได้ไม่ยาก เปิดใจหน่อยก้อดีนะคับ ปล..ลองอ่าน palimset ดูสิคับ ผมว่านั่นน่ะภาษาอ่านยากขอ งจิง
โดย ผมว่านะ [8 ก.ย. 2545 , 00:46:05 น.]

ข้อความ 9
บทสนทนาต่อไปนี้จะยาว..เช่นเคย เพราะผมจะเรียนรู้ ...โดยการเขียน ตามทัศนะของคุณวิน เลียววาริณท์ คนเก่งที่ทำให้คณะเราดูดีขึ้น การไม่รู้เรื่อง หรือไม่เข้าใจอะไร ที่อ่าน อันหนึ่งเป็นเพราะเราไม่สามารถโยงสิ่งนั้น กับประสบการณ์เดิมที่เราเคยรู้และเข้าใจ หรือไปสนใจสาระ-คำตอบที่เขาอาจเน้นที่ขบวนการ หรืออาจเกิดจากการไม่สนใจเรื่องนั้น..ขณะนั้น ฯลฯ ถ้า..เราไม่รู้เรื่อง แต่สนใจจะรู้..อะไรก็ได้ วิธีหนึ่ง(วิเคราะห์)..เราก็จะต้องแบ่งแยก ตัดตอน เลือกเอา ส่วนใดส่วนหนึ่ง ซึ่งอาจคนละเรื่อง ก็ได้ เพื่อโยงกันให้ได้กับประสบการณ์เดิม หรือสิ่งที่เราอยากรู้ การตอบโต้ แสดง ความคิดเห็นก็จะเกิดขึ้นได้ ...โดยสรุปนี่ คือการเรียนรู้อย่างหนึ่ง ซึ่งไม่ใช่วิธี การฝึกทักษะแก้โจทย์เช่นทางคณิตศาสตร์ คำตอบในเรื่องสถาปัตยกรรม ไม่ใช่เรื่องผิด-ถูก อาจเกิดจากการตั้งคำถามที่ยังไม่รู้เรื่อง แล้วค่อยไป วิเคราะห์ไปจนได้เรื่อง เหมือน การทำปัญหาแปลก ให้คุ้นเคย แล้วทำเรื่องที่รู้แล้ว ไม่ให้รู้เรื่องอีก (ทำปัญหาที่คุ้นเคยให้แปลกอีก..ตามวิธีการ synectic) พอใจถึงระดับไหนก็เอาคำตอบอันนั้นเป็นข้อยุติ นี่ถึง..จะเกิดความคิดสร้างสรรค์ในการออกแบบ สถาปนิกต้องสร้างคำถามเองของตนพร้อมการ ให้คำตอบด้วย ไม่ควรตอบคำถามของคนอื่นเสมอไป ผมสนใจเรียนรู้และพัฒนาการการเรียนรู้ ด้วยวิธีนี้ จึงชอบแสดงความคิดเห็นโดย ไม่จำเป็นต้องรู้เรื่องประเด็นที่เสนอมา หรืออาจ เปลี่ยนประเด็นไปเลยก็ได้ ถ้าทำให้เกิดความคิดได้ ผมคุยเฮฮากับเพื่อนสถาปนิกได้สนุกสนาน ทุกวันนี้ ก็เพราะไม่ใช่เน้นตรงคำถามหรือคำตอบ แต่เป็นขบวนการ ที่คุยแล้วทำให้สนุกสนาน โดยไม่ต้อง โกรธกัน ตีหัวกันเอง เพราะเถียงกันเรื่องถูก-ผิด การเน้นที่ "ขบวนการ" เป็นการพัฒนาเชิงจำนวนของ ความคิดจะได้จำนวนคำตอบ ไม่ใช่แสวงหาความคิดเดียว คำตอบเดียวที่เรานึกว่าเป็นคำตอบถูกต้องเดียว ... ซึ่งไม่มีในโลก...โดยเฉพาะในเรื่องสถาปัตยกรรม ผม..อ่านเรื่องที่ไม่รู้เรื่องที่สุดคือเรื่องปรัชญา บ้าๆบอ อะไรๆ ฯลฯ ที่ปวดหัวสุดคือเรื่องแนวคิดvsความจริง แต่ผมก็ทนอ่าน แล้วก็เลยชอบอ่านอยู่เรื่อย ทั้งๆ ที่ไม่รู้เรื่อง แต่บางทีนำหลายๆเรื่องที่ไม่รู้เรื่อง มารวมกัน กลับทำให้ได้เรื่องได้ราวบ้างเหมือนกัน อ่านอะไรอย่าด่วนตัดสิน เพราะความต้องการคือแค่ การอ่านในตอนนั้นพอ ท่านผู้รู้บอกว่า ให้จิตเราเริงระบำ ไปกับตัวอักษร นั่นและดี จับต้องตรงไหนได้ก็จับ จับไม่ได้ก็เต้นระบำไปเรื่อย ทีหลังไปอ่านอีกเล่ม ก็จะได้เรื่องได้ราวเพิ่มขึ้น...เขาว่าอย่างนั้น ..ผมเชื่อ เลยชอบอ่านและคิดในสิ่งที่ไม่รู้เรื่อง ให้รู้เรื่องให้ได้ แล้วก็ทำให้มันไม่รู้เรื่องอีก เพื่อจะได้รู้เรื่อง..อีกเรื่อง ผมว่า..นี่คือการเรียนรู้ให้คิด..ไม่เน้นให้จำ..จำ ส่วนใครจะว่า..คิดอะไรก็ควรคิดให้ได้เรื่อง (ด้วย) ก็ไม่ว่า..เพราะจริงๆแล้วมันก็ได้เรื่องทั้งนั้น เพียงว่าใครจะสนใจเอาเป็นเรื่องหรือป่าว? ความคิดสร้างสรรค์มักคิดมาจากเรื่องที่ไม่รู้เรื่อง แล้วทำให้เป็นความคิดนั้นกลายเป็นการคิดที่รู้เรื่อง กลับมาเรื่องที่ไปเสนอประเด็นในถ้ำ ก็มีหลายๆเรื่อง หนึ่งในนั้นคือ นักศึกษาโพ๊สต์มอร์เดิร์นกับการมีส่วนร่วม กับสังคมโดยรวม ซึ่งสงสัยโดยกลุ่มนักศึกษามอร์เดิร์น ว่าทำไม ไม่ "เริด" เหมือนพวกเขา ซึ่งผมว่าเรื่องนี้ คิดโต้คิดแย้งคิดร่วมได้มากมาย ผมชอบเรื่องที่ได้ยิน (ส่วนตัว)จากนักศึกษาโพ๊สต์มอร์เดิร์นคนหนึ่ง ที่ไม่ประสงค์ เขียนบอกในที่สาธารณะ เล่าประสบการณ์ว่าเคยช่วยเหลือ สุนัขบนทางด่วนให้ปลอดภัย ..ผมว่าเรื่องนี้น้อยคนจะทำได้ หรือจะทำให้กับสุนัขได้สะดวกใจเท่าทำให้สังคมหรือประชาชน ที่บางพวกชอบอ้างถึง แล้วทึกทักว่า ข้าคือผู้ช่วยเหลือสังคม ประชาชนเท่านั้น ..พวกสุนัขเอาไว้ทีหลัง รอก่อน ตายบน ทางด่วนไปก่อน ..ผมว่านี่เป็นการช่วยสังคมแบบจอมปลอม ที่เรากำลังสร้างเป็นนิสัยและประเพณีไปแล้ว (ทำให้นึกถึง คำสอนขงจื้อในทำนองที่ว่า ...จงจัดการตัวเองหรือครอบครัว ตัวเองให้ดีเสียก่อน แล้วจึงคิดไปจัดการคนอื่นหรือสังคมโดยรวม) เรื่องอย่างนี้ผมอยากฟังเสียงกันจริงๆ ..ไม่น่าจะเกรงใจกันจนเกินเหตุ จริงไหม? ครับ ป.ล. จะเกี่ยวกับการออกแบบสถาปัตยกรรมไหมเนี่ย? ..ผมว่า.เกี่ยวนะ อ่านกันดีๆ เลือกกันดีๆ อย่าเอาแต่หมั่นไส้ คนเขียนอย่างเดียว..เสียล่ะ..... อ้อ ช่วยขยาย palimset ให้ทราบด้วยซิ
โดย เพื่อนอาจารย์ [9 ก.ย. 2545 , 10:07:43 น.]

ข้อความ 10
แอบแวะเข้ามาทักทาย palimset เอ...รู้สึกจะไม่ได้สะกดอย่างนี้นี่นา เป็นหนังสือที่ จาร พรหมินทร์ ทำ มีออกมาสี่เล่ม คับ
โดย M&e [10 ก.ย. 2545 , 01:39:53 น.]

ข้อความ 11
เด๋วผมzerox ไปให้อ่านคับ หาซื้อไม่ค่อยมีคับ พิมพ์ทีพิมพ์น้อยคับ แต่ต้องแลกกะเบียร์เหยือกนึงนะคับ5555
โดย ไทแมน [10 ก.ย. 2545 , 03:17:22 น.]

ข้อความ 12
อืม... ผมอ่านของจานมานาน เพิ่งเข้าใจจานมากขึ้นจากกระทู้เนี้ย ตอนเรียนอยู่ฟังเรื่งหมาบนทางด่วนทีไรก็ขำในใจว่า เอาอีกละ จานเล่าอีกละ ไม่รู้จานจำได้ป่าวว่าเล่าให้ผมฟัง 3รอบละ
โดย เด็กหัดเดิน [10 ก.ย. 2545 , 06:50:23 น.]

ข้อความ 13
คุณรู้ไหม?...น่าจะรู้แน่นอน การสอนกันไปเรียนกันไปโดยไม่รู้ใคร เป็นศิษย์ใครเป็นอาจารย์ นั้นมันดี มันควร..ต้องเป็นการเรียนรู้ที่ถูกต้อง แน่นอน..ตอนผมหนุ่มๆเหมือนคุณ ผมก็แม่นอยู่มาก ชอบเตือนคนแก่กว่า พูดซ้ำๆซากๆเหมือนกัน พอถึงเวลาของตัว เองเข้า ก็เป็นแก่เหมือนกัน ...แล้วก็ไม่นานเกินรอ ก็จะพาลเล่าเรื่องเก่า เรื่องตัวเอง เข้าให้ทุกที โลกทัศน์มันเลยแคบสุด แต่ดันโง่นึกกว่ากว้าง มันน่าสมเพชจริงๆ ..ซึ่งผมก็พยายามแก้อยู่ ทั้งทั้งที่นักจิตวิทยาเตือนให้อ่านก่อนนานแล้ว ดันลืม สติแตกบ่อยๆ..ว่าแต่คุณก็เถอะ ระวังตอนแก่ตัว ก็อาจเดี้ยงได้ง่ายๆ ต้อง หมั่นลับสมองลับความคิดให้คมๆเข้าไว้นะครับ เพราะฉนั้นจงหมั่นคบหาคุยกินเบียร์กับเด็กๆ ให้บ่อย แต่อย่าดันไปหลงเด็กเพราะเรื่องอื่น เดี๋ยวจะยุ่งจนกลายพันธ์เป็นแย่ ขอบคุณ (มากกว่าการขอบใจ) ที่แวะเวียน มาสอนมาเรียนด้วยกัน...นี่แหละที่ พุทธศาสนาเขานิยามว่า..สังคมแห่งกัลยาณมิตร ..ล่ะคุณ
โดย เพื่อนอาจารย์ [10 ก.ย. 2545 , 19:00:25 น.]

ข้อความ 14
ผมว่าที่ปัจจุบันคนเรามีความเป็นส่วนตัว(อาจเรียกว่าตัวใครตัวมัน)มากขึ้น ทั้งๆที่เราอยู่ในโลกของการสื่อสารที่ก้าวหน้าไวมากๆ คิดจะโทรหาใครก็โทรหาได้ทันทีด้วยโทรศัพท์มือถือ ผมว่าเป็นเพราะเราได้พบปะผู้คน รับรู้ข้อมูลข่าวสารมากมาย จนสูญเสียความเป็นตัวตนของเราที่แท้จริงไป คอยตามกระแสไปวันๆ ขาดสติ ในการตัดสินใจชีวิตของตนเอง ทำให้เกิดความต้องการความเป็นส่วนตัวขึ้นมาต่อต้าน เหมือนที่มีกระแสของความเป็นท้องถิ่น ประมาณภูมิปัญญาท้องถิ่น หรือสถาปัตยกรรมท้องถิ่นขึ้นมาต่อต้านกระแสของโลกาภิวัฒน์ มีอยู่วันนึงผมคุยกับเพื่อนเรื่องบ้านอยู่ เขาก็พูดน่าข้อสังเกตข้อนึงขึ้นมาว่า บ้านในปัจจุบันในปัจจุบันชอบมีสนามหรือคอร์ทกลางบ้านมากขึ้น เป็นแบบมองเข้ามาข้างใน(look inward) ผมว่ามันมีผลมาจากการที่เราต้องการความเป็นส่วนตัวกันมากขึ้นน่ะครับ แล้วต่อไปบ้านเมืองจะเป็นอย่างไร มองไปทางไหนคงมีแต่กำแพง ผนังทึบรอบๆบ้าน ผู้คนพูดคุยกันเฉพาะเรื่องงาน เรื่องผลประโยชน์ของตัวเอง ผมว่าถ้าเราออกแบบบ้านที่มีสวนอยู่รอบๆบ้าน แล้วสวนของบ้านแต่ละหลังมาต่อกันจะเป็นยังไง ขอบบคุณครับที่อ่านความคิดของผม คิดยังไงกันบ้างครับ
โดย Chidora [17 ก.ย. 2545 , 12:36:27 น.]

ขอคำแนะนำสำหรับการฝึกงานค่ะ

แนะนำเรื่องอะไรก็ได้ค่ะ...ขอบคูณมาก
โดย อีกไม่นานก็ต้องฝึกกันแล้ว [14 พ.ย. 2545 , 20:24:13 น.]

ข้อความ 1
อยากฝึกงาน หรือต้องฝึกงานตามตารางสอน เรียนอะไร หรือรู้อะไร ถึงจะได้ไปฝึก
โดย ครูประชาบาล [14 พ.ย. 2545 , 23:35:04 น.]

ข้อความ 2
ตอนนี้ฝึกงานเขาได้เดือนละเป็นหมื่น ระวังโดนเอาเปรียบก็ละกัน
โดย mbk [20 พ.ย. 2545 , 14:15:22 น.]

ข้อความ 3
make coffee
โดย 5555555 [23 พ.ย. 2545 , 08:47:03 น.]

ข้อความ 4
การฝึกงาน ทางคณะฯคงมีนโยบายเพื่อให้นิสิตปีสี่ เตรียมตัวไปเป็นสถาปนิกโดยอาชีพ หลายคนมาคุยเรื่องนี้ บ้างขอความเห็นที่จะไปฝึกงานต่างประเทศ ผมว่าก็ดีครับ ที่สำคัญเราจะได้รู้จักการทำงานร่วมกับคนอื่น ทราบบทบาทและสภาพที่จะเกิดขึ้นในการทำงาน เมื่อต้องไปประกอบอาชีพต่อไป ตรงนี้ถ้าทางคณะฯเปิดโอกาสมากๆ ไม่เจาะจงฝึกในสำนักงานสถาปนิก ก็จะดี เช่น ผมอาจสนใจงานออกแบบหรืองานอาชีพโฆษณา เผอิญอีกที่ได้ฝึกงานในสาขานี้ ผมก็อยากทำ เพราะมารู้ตัวเอาในปีสี่ว่าเป็นนักโฆษณาสนุกดี ถ้าทำได้อย่างนี้ ก็จะสบายใจมากถ้าได้ทำ ในความเห็นผมการฝึกงาน เป็นการเริ่มเข้าไปเกี่ยวข้องกับสังคมรอบตัว ถ้าได้ร่วมงานในเรื่องต่างๆได้มาก ก็น่าจะเปิดโลกทัศน์ ได้มากกว่าการมุ่งฝึกงานในอาชีพสถาปนิก ซึ่งบางครั้ง โอกาศอาจอำนวยให้ได้ไม่มากนัก แต่นั่นแหละนี่เป็นความคิดแบบเดิมที่จะสอนคน ให้ไปทำงานตรงอาชีพที่กำหนดไว้ในการศึกษา ก็อาจเป็นอุปสรรคในการกลับตัวกลับใจ ที่จะทำอาชีพอื่นที่แต่ละคนอาจคิดได้ และอยากทำอยากรู้เรื่องสาขาอื่นในขณะนี้ อย่างไรก็ตามถ้าต้องไปฝึกงานในกฏเกณฑ์นี้ ก็ทนไปฝึกดู อาจเกี่ยวได้บ้างในเรื่องธุระกิจก่อสร้าง หรืออสังหาริมทรัพย์ หรือการบริหารโครงการก่อสร้าง ก็ถือว่าควรเป็นเรื่องที่น่าเข้าไปลอง ฝึกดู ทำตามที่เขากำหนดไว้ก่อน ก็ไม่น่าเสียหายอะไร ทำไปก่อนนะครับ ส่วนภายหลังค้นพบว่าเราชอบการขายก๋วยเตี๋ยว จบได้ปริญญาสถาปัตย์แล้ว ก็ค่อยตัดสินใจอีกที โลกนี้ ชีวิตนี้เป็นของเรา ก็ควรทำในสิ่งที่ตนเอง รักชอบ แล้วการดำเนินชีวิตก็จะเป็นสุขได้ ...นะครับ ขอให้โชคดีกันทุกคนละกัน
โดย เพื่อนอาจารย์ [25 พ.ย. 2545 , 10:06:46 น.]

ข้อความ 5
ขอบคุณค่ะ
โดย :) [25 พ.ย. 2545 , 18:40:46 น.]

อยากมีเพศสัมพันธ์ค่ะ

อยากมีเพศสัมพันธ์ค่ะ
โดย test [22 ธ.ค. 2545 , 18:46:07 น.]

ข้อความ 1
ถ่อยๆๆๆๆๆๆ
โดย landscaper [23 ธ.ค. 2545 , 08:43:55 น.]


ข้อความ 2
ไม่ว่าท่านเป็นหญิงจริง หรือชายแท้ ขอคุยเรื่องนี้กันดังต่อไปนี้ เมื่อเช้านี้ได้ข่าวจากสื่อว่า ..พวกนักเรียนสมัยนี้เรียกร้อง อยากได้ครูประเภทสรวมเสื้อสายเดี่ยว อายุไม่เกิน ๒๕ เพราะหากเรียนกับครูแก่ๆ ก็จะเหมือนโดนตา-ยาย คอยตามมาหลอกหลอนกันอีกถึงโรงเรียน นี่เป็นการ เรียกร้องเรื่องเพศ ...ใช่ไหม? อารมณ์ที่เกิด "อุปทาน" เช่นนี้ ถือเป็นเรื่องปกติทั้งหญิงทั้งชาย สำหรับคนในวัยเจริญพันธ์ คือ ผู้ยังมักฝักใฝ่อยู่กับ "ความเกิด" เพื่อการสืบต่อภพชาติ มากกว่าคนแก่ที่มักใฝ่กับ "ความดับ" ซึ่งก็เพื่อความเกิดอีกอยู่ดี ..แต่หากอยากตัดตอนวัฏฏะ หรือ การสืบต่อภพชาติเช่นนี้ ก็ต้องเจริญรอยตามคำสั่งสอน ขององค์ พระสัมมาสัมพุทธเจ้า ในพระพุทธศาสนา คำกล่าวจั่วหัวกระทู้เช่นนี้ ไม่ใช่เรื่องที่น่าละอายแต่อย่างไรเลย นะครับ ..ปุถุชนก็เป็นเช่นนี้กันทั้งนั้นแล ทีนี้ลองมาพิจารณาเพื่อการลดทอนเรื่องนี้ดูกันบ้าง ส่วนการแก้ปัญหาเฉพาะหน้านั้น ทางพุทธศาสนาเตือน ให้ลองลดการบริโภคเนื้อสัตว์ลงให้น้อยๆหน่อย เพราะการบริโภคอาหารนั้นจะสัมพันธ์กับอารมณ์ ที่เกิดขึ้นของมนุษย์ โดยเฉพาะอุปทานในเรื่องกามารมณ์ หรืออารมณ์ทางเพศ ที่เกินเลยปกติตามธรรมชาติ มนุษย์นั้นต่างจากสัตว์ในเรื่องนี้มากทีเดียว เพราะมีจิตที่ใหญ่โตกว่าสัตว์ เลยไม่ค่อยบันยี้บันยัง การสร้างอารมณ์ต่างๆเท่าไรนัก ..... ต่อไปนี้ค้นหามาจากเรื่องราวที่บันทึกในพระไตรปิฏกฯ และการอธิบายของผู้รู้ต่างๆ ..นะครับ ดูกร ภิกษุทั้งหลาย ก็อุปาทานเป็นไฉน? วัตถุแห่งความยึดของบุคคลนั้น พระพุทธองค์ทรงแสดงไว้ ๔ ประการ เรียกว่า อุปทาน ๑. กามุปาทาน ความยึดมั่นในกาม ๒. ทิฏฐุปาทาน ความยึดมั่นในทิฐิ ๓. สีลัพพตุปาทาน ความยึดมั่นในศีลและพรตหรือพิธีรีตองต่าง ๆ ๔. อัตตวาทุปาทาน ความยึดมั่นในตัวตน แต่..จะขอเน้นเฉพาะ กามุปาทาน ไม่งั้นจะยาว จนเบื่อแล้วไม่อยากอ่าน เลยยังไม่รู้อยู่อีกต่อไป อุปาทาน อธิบายเพิ่มเติมโดยท่านอาจารย์ วศิน อินทสระ เน้นย้ำเป็นดังนี้.. ------------------------------ โดยทั่วไปชีวิตมนุษย์เต็มไปด้วยความยึดมั่น เร่าร้อนอยู่ด้วยความต้องการ อันไม่มีขอบเขตไม่มีที่สิ้นสุด ถูกความอยากเผาลนให้เร่าร้อนอยู่ภายใน แม้สิ่งที่เขาเข้าใจว่าเป็นความสุขหรือความสนุกสนานเพลิดเพลิน ก็มีความทุกข์เจือปนอยู่ แต่มนุษย์ก็ยังต้องการ ๑. กามุปาทาน ความยึดมั่นในกาม กามแปลได้ ๒ อย่าง คือ ความใคร่อย่างหนึ่ง สิ่งที่น่าใคร่ น่าปรารถนาอย่างหนึ่ง อย่างหลังท่านเรียกว่า วัตถุกาม อย่างแรกเรียกว่า กิเลสกาม รูป เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะ อันน่าใคร่น่าปรารถนาน่าพอใจ นั่นเองเป็นวัตถุกาม คือ เป็นที่ตั้งแห่งกามเป็นสิ่งเร้าให้เกิดความ ใคร่ส่วนตัว ความใคร่เองท่านเรียกว่า กิเลสกาม มนุษย์ทั้งหลายได้ตกอยู่ภายใต้อำนาจครอบงำของกามทั้ง ๒ นี้ อย่างไร เห็น ๆ กันอยู่แล้ว มนุษย์และสัตว์ทั้งหลายยึดมั่นอยู่ว่า ความสุข ของเขาจะมีได้ก็ต้องอาศัยกาม คือต้องได้เห็นรูป ได้ฟังเสียง ได้ดมกลิ่น ได้ลิ้นรสและได้ถูกต้องสิ่งที่น่าใคร่iน่าปรารถนาน่าพอใจ ปราศจากสิ่งเหล่านี้เสียแล้วเขาจะมีความสุขไม่ได้ แม้ตัวความใคร่เอง ซึ่งมีสภาพเป็นสิ่งเร่าร้อนกระวนกระวาย ทำปัญญาให้มืดมน ทำจิต ให้ตกต่ำ เขาก็ยังเข้าใจผิดไปว่าเป็นบ่อเกิดแห่งความสุขของเขา ทั้งนี้ อาจเป็นเพราะ เขาไม่เคยได้รับความสุขใดที่เหนือกว่านี้หรือแปลกไปกว่านี้ เช่นความสุขอันเกิดจากความสงบ หรือเกิดจากคุณธรรม เหมือนเด็ก ที่พอใจแต่ในความสุขอันเกิดจากการเล่นทรายหรือโคลนตม แต่พอเขา เป็นผู้ใหญ่แล้ว เขาก็เลิกพอใจในความสุขอย่างนั้น แต่พอใจในความสุข ที่สะอาดกว่า ประณีตกว่า เขาจะไปจับต้องทรายหรือโคลนตมก็ด้วยความจำเป็นอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ เช่นเกี่ยวกับการงานเป็นต้น แล้วก็รีบล้างมือ ล้างตัวให้สะอาด ในทำนองเดียวกัน คนที่จิตใจยังเยาว์ยังไม่ได้รับการพัฒนาทางจิตใจ ย่อมพอใจหมกมุ่นมัวเมาอยู่ในกาม ด้วยความสำคัญผิดและยึดมั่นอยู่ว่า "กามนี้เท่านั้นเป็นบ่อเกิดแห่งความสุข" แม้ถูกหนามแห่งกามทิ่มแทงเอา ถูกไฟคือกามเผาลนเอาก็ยังไม่รู้สึก สำคัญผิดไปอีกว่าเป็นเพราะเหตุอื่นและโทษสิ่งนั้นสิ่งนี้ ที่แท้เป็นเรื่อง ของความใคร่ในกามคุณของตนเอง เป็นเรื่องความยึดมั่นของตนเอง ตัวอย่างเช่น ชายหนุ่มรักหญิงสาว ซึ่งโดยทั่วไปแล้วเป็นความใคร่ในกามคุณ เสียมากกว่าความรักแท้รักบริสุทธิ์ แต่เขายังเข้าใจผิดว่าความรักของเขาบริสุทธิ์ เขารักด้วยต้องการเชยชม รูป เสียง กลิ่น รสและผัสสะทางกายที่จะพึงได้จากหญิงนั้น แม้จะมีเรื่องคุณธรรมและความเห็นอกเห็นใจเจืออยู่ด้วยก็ตาม ข้อพิสูจน์ว่า เขารักใคร่ด้วยอำนาจกามคุณก็คือ ถ้าหญิงนั้นไปเกี่ยวข้องกับชายอื่นในแง่ เสน่หา เขาจะโกรธมาก อาจทำลายชีวิตของหญิงนั้นเสียก็ได้ นี่หรือรักแท้ รักบริสุทธิ์ ความจริงมันคือกามคุณที่เขาพากันเรียกเสียใหม่ว่า ความรัก เพราะความรักของเขาเต็มไปด้วยความยึดมั่น หวงแหน คับแค้น เร่าร้อน ริษยาและทำให้เกิดโทสะง่ายที่สุด ในกรณีที่หญิงสาวรักชายหนุ่ม ก็เหมือนกัน ในรายที่แต่งงานกัน จนมีลูกด้วยกันแล้ว ถ้าฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งไปรักคนอื่นอีก ก็ถือเป็นเรื่องเดือดร้อนมาก ความริษยา ความชิงชัง ความอาฆาตเคียดแค้น เกิดขึ้นอย่างสุดจะพรรณาได้ จนถึงกับทำร้าย ทุบตีและประหารชีวิตของ ฝ่ายหนึ่งเสียก็มี ความเคียดแค้นเหล่านั้น สืบเนื่องมาจากความใคร่ ความยึดมั่นในกาม ข้อพิสูจน์ก็คือ ในรายที่เรามิได้มีความใคร่ ความยึดมั่นในกามก็ไม่ทำให้ เราเดือดร้อนได้ ไม่ว่าเขาผู้นั้นจะไปทำอะไร อย่างไร กับใครที่ไหน การทำการแก้แค้น สร้างเวรสร้างกรรมจนเขาเสียชีวิตและตนเองต้องเป็น อาชญากรนั้นเป็นเกียรติยศนักหรือ ? ลูกของตนซึ่งมีพ่อหรือแม่ เป็น อาชญากรนั้นเป็นเกียรติยศนักหรือ ? การต้องไปติดคุกติดตาราง ถึง ๒๐ - ๓๐ ปี นั้นเป็นเกียรติหรือ ? ถ้ามองชีวิตในระยะยาวจะเห็นว่าไม่ควรทำ เมื่อเหตุกราณ์อย่างนั้นเกิดขึ้นก็ควร จะละอุปาทานในกามเสีย และถือเป็นโอกาสปลีกตนออกจากกาม ซึ่งเป็นของร้อน เข้าหาความสงบเย็นในธรรม หรือการบำเพ็ญคุณงามความดีให้สูงขึ้นไปจน ใจพ้นจากความยึดมั่นและจะเห็นคุณค่าของการทำอย่างนี้ด้วยตนเอง อย่างไรก็ตาม กามคุณนี่แหละ คือเสน่ห์ของโลก เพราะมันเป็นเหยื่อของโลก (โลกามิส) ทำนองเดียวกับเหยื่อที่ติดอยู่กับเบ็ดหุ้มเบ็ดอยู่ นั้นแหละคือ เสน่ห์ของเบ็ด ปราศจากเหยื่อแล้วจะไม่มีปลาตัวใดติดเบ็ด เพราะเหยื่อปลาจึงติดเบ็ด ได้กินเหยื่อเพียงนิดเดียว กลืนเบ็ดเข้าไปด้วย ปลาโง่ จึงถูกพรานเบ็ดลากไปได้ตามปรารถนา และวัดขึ้นบกต้องทุรน ทุราย ทุกข์ทรมานไปจนกว่าจะสิ้นชีวิตและเป็นเหยื่อของพรานเบ็ดนั่นเอง ลองนึกดูเถิดว่าคนในโลกที่พอใจติดเหยื่อของโลกแล้วต้องทนทุกข์ทรมานอยู่ใน โลกนี้มีประมาณเท่าใด น่าสงสารเพียงใด น่าช่วยเหลือเพียงใด อย่างน้อย ช่วยให้เขาได้รู้ว่าเหยื่อนั้นมีเบ็ดเกี่ยวอยู่ด้วย ขอให้กินเหยื่อด้วยความระมัดระวัง ถ้าฉลาดขึ้นก็จะกินแต่เหยื่อได้โดยไม่ติดเบ็ด ทำให้พรานเบ็ดต้องเก้อ ยกเบ็ดขึ้นดูบ่อย ๆ เห็นแต่เบ็ด เหยื่อหายไป แต่จะมีใครสักกี่คนเล่าในโลกนี้ ที่เป็นเช่นปลาฉลาด รอบรู้ และที่ฉลาดขึ้นไปกว่านั้น ก็สามารถรู้ได้ว่าเหยื่ออันใดมีเบ็ดเหยื่ออันใดไม่มีเบ็ด เลือกกินเฉพาะเหยื่อที่ไม่มีเบ็ด ก็จะสามารถรักษาตัวให้ปลอดภัยโดยตลอด ความกำหนัดในกามเป็นอาสวะ (สิ่งหมักดอง) อย่างหนึ่ง ซึ่งหมักหมมอยู่ใน จิตสันดานของสัตว์โลก ยากที่จะละหรือปลดเปลื้องได้ ทั้งนี้เพราะมีความสุข เล็ก ๆ น้อย ๆ คอยเป็นเหยื่อล่อให้หลง เป็นหลุมพรางให้ก้าวขึ้นไป เมื่อติด หล่มคือกามแล้ว ก็ยากที่จะถอนตนขึ้นมาแล้วก้าวให้พ้นไปได้ สำหรับผู้สำเนียกรู้ถึงโทษของกามแล้วพยายามออกจากกาม แต่ยังออกไม่ได้ ด้วยเหตุใดเหตุหนึ่ง เช่นพันธกรณีเกี่ยวกับความรับผิดชอบ หรือกำลังใจยัง ไม่พอเป็นต้น ก็ไม่น่าวิตก เพราะถึงอย่างไรคนพวกนี้ จะต้องออกไปได้ วันหนึ่งเมื่อพันธกรณีสิ้นสุดลง หรืออบรมจิตและปัญญาจนกำลังใจและกำลังปัญญาเพียงพอแล้ว แต่คนที่ไม่เคยสำเนียกรู้ถึงโทษของกามเลย ศึกษาเรียนรู้แต่เรื่องคุณของกาม ได้ยินได้ฟังแต่กถาอันเป็นเหตุให้ความกระหายในกามเริงแรงขึ้น มี กิจกรรมอันยั่วยุกามารมณ์อยู่ไม่เว้นวัน การศึกษา การทำงาน และการเกี่ยวข้องในสังคมล้วนมุ่งเอาความสำเร็จ ทางกามเป็นผลที่มุ่งหมาย ในฐานะเป็นความสำเร็จของชีวิต ถ้าอย่างนี้แล้ว เขาจะออกจากกามได้อย่างไร คงจะต้องยึดมั่นเอากามารมณ์เป็นจุดหมาย ปลายทางของชีวิตเป็นแน่แท้ ในขณะที่กำลังแสวงหาอยู่นั้น ดวงจิตของเขาก็จะถูกเฆี่ยนด้วยแส้ คือ ความผิดหวัง ระทมขมขื่น โชกด้วยน้ำตาครั้งแล้วครั้งเล่า ถึงกระนั้น เขาก็ยังคงกระเสือกกระสน แสวงหากามอยู่นั่นเอง เพราะอานุภาพของ กามุปาทาน คือยึดมั่นว่ากามนี่แหละเป็นบ่อเกิดแห่งความสุขอันแท้จริง กามในฐานะเป็นบ่วงที่พระพุทธเจ้าทรงเรียกว่า "กามปาสะ" หรือ กามบาสนั้น มีลักษณะคล้องและผูกมัดสัตว์ทั้งหลายไว้ในภพให้ เวียนว่ายตายเกิดในสังสารวัฏแห่งกามภพนี้ การผูกมัด มีลักษณะที่ผูกหย่อน ๆ ก็จริง แต่แก้ได้ยากมากทีเดียว ผู้ต้องการแก้จะต้องใช้กำลังใจมาก ใช้กำลังสมาธิอย่างแรง เพราะ แก้ไม่ได้ด้วยวิธีธรรมดา เหมือนปมบางอย่าง ที่แก้ได้ยาก มันยุ่งไปหมด ต้องใช้ดาบฟัน ซึ่งภาษาอังกฤษเรียกปมชนิดนี้ว่า Gordian Knot* อย่างที่พระเจ้าอเลกซานเดอร์มหาราชทรงทำ กามคุณในฐานะเป็นพวงดอกไม้ของมาร มารคือสิ่งที่ล้างผลาญคุณความดี และทำให้เสียคนได้ง่าย มารอาศัยพวงดอกไม้ทั้ง ๕ คือ รูป เสียง กลิ่น รสและสัมผัสทางกายนี่แหละเที่ยวยั่วยวนมนุษย์และสัตว์ในกามโลกทั้งมวล ให้หลงเพลิดเพลินเดินเข้าไปสู่หลุมพรางของตนแล้วกักขังห้ำหั่นย่ำยีเอาได้ ตามใจปรารถนา การควบคุมอินทรีย์ คือ ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ การทำจิตให้มั่นคงด้วยกำลัง สมาธิ และการพัฒนาปัญญาให้รุ่งเรือง จนสามารถมองเห็นโทษของกามคุณ อย่างชัดเจนอยู่เสมอ ๆ ทางนี้แหละจะสามารถเอาชนะกามกิเลสได้ไม่กลับ มาเวียนว่ายตายเกิดในกามโลกนี้อีก ความเร่าร้อนทางใจอันมีกามคุณเป็นเหตุนั้น ปรากฏให้เห็นอย่างชัดเจน ในที่ทั่วไป ทั้งที่เกิดขึ้นแก่ตนเองและเกิดแก่ผู้อื่น น่าจะเป็นสังเวควัตถุ (เรื่องชวนสังเวชสลดจิต) เพื่อถอนใจออกไปจากกามุปาทานได้ สำหรับผู้มีปัญญาจักษุดำเนินชีวิตอยู่ในทางสว่าง แต่สำหรับผู้ไร้ปัญญา จักษุเดินอยู่ในทางมืดและไร้ประสบกราณ์ก็คงมองไม่เห็นอะไรอยู่นั่นเอง --------------------------------- *Gordian Kno เล่ากันว่าเป็นปมที่กษัตริย์กอรดิอุส (Gordius) แห่งไฟรเกีย (Phrygia) ผูกไว้ในสมัยโบราณ กล่าวกันว่าใครแก้ปมนี้ได้จะได้เป็นใหญ่ในเอเชีย อเลกซานเดอร์มหาราช ทรงใช้ดาบของพระองค์ตัดปมนี้ ดังนั้นคำว่าตัด "กอรเดียน น้อท" จึงกลายเป็นสำนวนหมายความว่า การแก้ปัญหายุ่งยากโดยฉับพลันด้วยการใช้กำลัง อธิบายนี้จาก พจนานุกรมอังกฤษฉบับของ A.S. Hornby หน้า ๕๓๙ คัดลอกมาโดยคุณ : mayrin [ 13 ธ.ค. 2545 / 14:50:16 น. ] ในเว็บบอร์ดห้องสมุดของพันทิพย์ ผมเลยไม่ทราบว่าอยู่ในหนังสือเล่มไหนของท่าน ผมขอแถมท้ายเรื่องที่พระอานนท์จดจำพระพุทธพจน์ ดังอ้างบันทึกไว้พระไตรปิฎกไว้ด้วยนะครับ ..จะได้ขลัง ขึ้นอีกหน่อย แล้วอุปทานของพวกเราก็จะลดลงได้บ้าง เมื่อรู้เหตุปัจจัยของการเกิดอุปทานในเรื่องกาม (4) เล่มที่ ๒o [๑] ข้าพเจ้าได้สดับมาแล้วอย่างนี้- สมัยหนึ่ง พระผู้มีพระภาคประทับอยู่ ณ พระวิหารเชตวัน อารามของท่านอนาถบิณฑิกเศรษฐี ใกล้พระนครสาวัตถี ณ ที่นั้นแล พระผู้มีพระภาคตรัสเรียกภิกษุทั้งหลายว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย ภิกษุเหล่านั้นทูลรับพระดำรัสของพระ ผู้มีพระภาคแล้ว พระผู้มีพระภาคได้ตรัสว่าฯ [๒] ดูกรภิกษุทั้งหลาย เราย่อมไม่เล็งเห็นรูปอื่นแม้อย่างหนึ่ง ที่จะครอบงำจิตของบุรุษตั้งอยู่เหมือนรูปสตรีเลย ดูกรภิกษุทั้งหลาย รูปสตรีย่อมครอบงำจิตของบุรุษตั้งอยู่ฯ [๓] ดูกรภิกษุทั้งหลาย เราย่อมไม่เล็งเห็นเสียงอื่นแม้อย่างหนึ่ง ที่จะครอบงำจิตของบุรุษตั้งอยู่เหมือนเสียงสตรีเลย ดูกรภิกษุทั้งหลาย เสียงสตรีย่อมครอบงำจิตของบุรุษตั้งอยู่ ฯ [๔] ดูกรภิกษุทั้งหลาย เราย่อมไม่เล็งเห็นกลิ่นอื่นแม้อย่างหนึ่ง ที่จะครอบงำจิตของบุรุษตั้งอยู่เหมือนกลิ่นสตรีเลย ดูกรภิกษุทั้งหลาย กลิ่นสตรีย่อมครอบงำจิตของบุรุษตั้งอยู่ฯ [๕] ดูกรภิกษุทั้งหลาย เราย่อมไม่เล็งเห็นรสอื่นแม้อย่างหนึ่ง ที่จะครอบงำจิตของบุรุษตั้งอยู่เหมือนรสสตรีเลย ดูกรภิกษุทั้งหลาย รสสตรีย่อมครอบงำจิตของบุรุษตั้งอยู่ฯ [๖] ดูกรภิกษุทั้งหลาย เราย่อมไม่เล็งเห็นโผฏฐัพพะอื่นแม้อย่างหนึ่ง ที่จะครอบงำจิตของบุรุษตั้งอยู่เหมือนโผฏฐัพพะของสตรีเลย ดูกรภิกษุทั้งหลาย โผฏฐัพพะสตรีย่อมครอบงำจิตของบุรุษตั้งอยู่ฯ [๗] ดูกรภิกษุทั้งหลาย เราย่อมไม่เล็งเห็นรูปอื่นแม้อย่างหนึ่ง ที่จะครอบงำจิตของสตรีตั้งอยู่เหมือนรูปบุรุษเลย ดูกรภิกษุทั้งหลาย รูปบุรุษย่อมครอบงำจิตของสตรีตั้งอยู่ฯ [๘] ดูกรภิกษุทั้งหลาย เราย่อมไม่เล็งเห็นเสียงอื่นแม้อย่างหนึ่ง ที่จะครอบงำจิตของสตรีตั้งอยู่เหมือนเสียงบุรุษเลย ดูกรภิกษุทั้งหลาย เสียงบุรุษย่อมครอบงำจิตของสตรีตั้งอยู่ฯ [๙] ดูกรภิกษุทั้งหลาย เราย่อมไม่เล็งเห็นกลิ่นอื่นแม้อย่างหนึ่ง ที่จะครอบงำจิตของสตรีตั้งอยู่เหมือนกลิ่นบุรุษเลย ดูกรภิกษุทั้งหลาย กลิ่นบุรุษย่อมครอบงำจิตของสตรีตั้งอยู่ฯ [๑๐] ดูกรภิกษุทั้งหลาย เราย่อมไม่เล็งเห็นรสอื่นแม้อย่างหนึ่ง ที่จะครอบงำจิตของสตรีตั้งอยู่เหมือนรสบุรุษเลย ดูกรภิกษุทั้งหลาย รสบุรุษย่อมครอบงำจิตของสตรีตั้งอยู่ฯ [๑๑] ดูกรภิกษุทั้งหลาย เราย่อมไม่เล็งเห็นโผฏฐัพพะอื่นแม้อย่างหนึ่ง ที่จะครอบงำจิตของสตรีตั้งอยู่เหมือนโผฏฐัพพะบุรุษเลย ดูกรภิกษุทั้งหลาย โผฏฐัพพะของบุรุษย่อมครอบงำจิตของสตรีตั้งอยู่ ฯ จบวรรคที่ ๑ อ่านมาจนจบ ก็ยังไม่อยากปลงใจอยู่ดีนะครับ รสกามใครเคยได้ยิน หรือเคยลองลิ้มแล้ว ก็ยากที่จะลืมได้ จริงป่าว?
โดย เพื่อนอาจารย์ [23 ธ.ค. 2545 , 12:46:06 น.]


ข้อความ 3
ความจริงแล้วการมีเพศสัมพันธ์ก็เป็นปัจจัยที่พูดได้ว่าขาดมิได้ของมนุษย์ ซึ่งดูไงๆก็ยังเป็นสัตว์พันธุ์หนึ่ง แต่สังคมเรามิยอมรับขับสู้ในเรื่องนี้สักเท่าใดนัก ทั้งที่พอกลับบ้านไปก็...กันทุกคน คนเราทุกคนมีพลังงานทางเพศอยู่แล้ว แล้วแต่ว่าใครจะระบายออกทางไหน(ฟรอยด์เรียกวิธีการนี้ว่าSublimation-การทำให้สูงส่งขึ้น) โดยรู้หรือไม่ ว่าจิตรกร นักเขียน สถาปนิก ที่เก่งมากๆนั้น คือเหล่าปัจเจกที่มี'sex' จัดทั้งนั้น แต่เขาแปลพลังทางเพศนั้นมาในรูปผลงานอันยิ่งใหญ่ ดังนั้น ยิ่งคุณมีเพศสัมพันธ์บ่อยเท่าหร่าย ก็ยิ่งไร้พลังสร้างสรรค์ในด้านอื่นๆมากเท่านั้น เป็นปฏิภาคกัน จะยอมแลกไหมล่ะ? เฉกเช่นมิยาโมโต้ มุซาชิ ยังต้องระเห็จหนีหญิงสาวอันเป็นที่รักถึงสิบกว่าปี เพียงเพื่อจะค้นพบ'มรรค'แห่งดาบ เขารู้ดีว่า พลังอันรุนแรงแห่งเขานั้นมิควรไปใช้ปลดปล่อยฟุ่มเฟือยกับหญิงสาวหรือสิ่งบันเทิงเริงรมณ์ต่างๆ แถมเขายังเป็นศิลปินและประติมากรที่เก่งเอามากๆด้วยน้า ในขณะที่มะตะฮาจิ เพื่อนของมุซาชิ ผู้เอาแต่'มีอะไร'กับสาวๆ ก็จบลงอย่างไร้ซึ่งสิ่งใด แต่โดยส่วนตัวแล้ว ก็ไม่เห็นว่ามันจะ'ถ่อยๆๆๆๆๆๆ'อะไรมากมาย อย่างDaliยังเทิดทูนเรื่องเพศและนำมาเป็นconceptในpaintingsของเขาได้อย่างสวยงามเลย คนที่ประณามเรื่องเพศว่าถ่อย ก็คือคนที่ยังมิรู้อะไรนี่เอง เพราะสูงสุดย่อมกลับสู่สามัญ คนที่รู้มากเกินขอบเขตทางกายภาพหลอนๆลวงๆของสังคม จะเข้าใจถึงพฤติกรรมสามัญราวสัตว์ป่าต่างๆของมนุษย์ได้ และมองมันอย่างสวยงาม เพราะความน่าเกลียด เท่ากับ ความสวยงาม
โดย จญิมโณเภดัย๒ [24 ธ.ค. 2545 , 20:28:27 น.]


ข้อความ 4
ปกติมนุษย์เรานั้นมักรู้ในสิ่งที่เห็นและสัมผัสในแง่ของมิติทั่วไป ที่เราเองรับรู้จากประสบการณ์เท่านั้น น่าจะยังมีความรู้ในมิติอื่นๆ ที่เราอาจยังไม่เคยสัมผัส หรือยังไม่เจอประสบการณ์ใหม่ๆ เพราะ คนเรานั้นมีความต่างจากสัตว์ที่มีจิตซึ่งใหญ่โตกว่า มีความ หลากหลายกว่า และสามารพัฒนาการได้สูงกว่าอีกด้วย ถ้าคิด จะพัฒนากัน เช่น ความเป็นภิกษุในสาวกของพุทธศาสนา เป็นอีกมิติหนึ่ง ที่ผู้ปฏิบัติตนจะพบความสุขที่เหนือจากความเป็นธรรมดา โดยเฉพาะเรื่องการอบรมเพื่อระงับอุปทานในเรื่องกามารมณ์ หรือการมีเพศสัมพันธ์ตามธรรมชาติ ที่มนุษย์เองสามารถควบคุม สิ่งเหล่านี้ได้ เพราะได้พบปัญญาที่พึงได้รับเป็นลักษณะของวิมุตติ หรือ "ความหลุดพ้น" เช่นพระสุปันโนหลายรูปในเมืองไทย ซึ่งมีมากในการครองตนลักษณะนี้ ..เราจึงไม่ควรปฏิเสธ ในประสบการณ์ที่เรายังไม่เคยลองรู้ในสิ่งเหล่านี้ ตัวอย่างเช่นเมื่อวานนี้ ผมได้หนังชีวิตดี (ในรศนิยมผม) มาเรื่องหนึ่งชื่อ the simple life of Noah Dearborn มีดาราผิวหมึก ที่ผมชอบคือ Sidney Poitier แสดงนำ เป็นเรื่องราวของคนที่ใช้ ชีวิตแสนเรียบง่าย ทำงานในสิ่งที่ตนชอบและรัก มีความเอื้อ อาทรต่อผู้อื่นเสมอ ทำให้มีชีวิตที่ยืนยาวและดูหนุ่มกว่าวัย เพราะตัดเรื่องอื่นๆที่ไร้สาระออกจากการเป็นคนเช่นปกติธรรมดา รวมทั้งเรื่องเซ็กส์ คล้ายชีวิตของภิกษุที่มุ่งแต่การเจริญจิตและการ ภาวนาเป็นสำคัญ อาจเป็นตัวอย่างของการดำเนินชีวิตในมิติอื่น ที่เราอาจมองข้ามคุณค่าดีๆของมันไป ดังเช่นคุณค่าของสังคมชนบท ในเรื่องภูมิปัญญาของคนท้องถิ่น ที่สังคมสมัยใหม่พยายามตามไป เบียดเบียนให้เปลี่ยนแปลงไปในทางที่คนสมัยใหม่เองก็ไม่รู้จริง ในสิ่งที่ตนทำ โดยเฉพาะนักพัฒนาสมัยใหม่ทั้งหลาย ลอง หาหนังเรื่องนี้มาดูกันนะครับ ..แต่ไม่รับรองว่าพวกคุณจะอิน เหมือนผมหรือป่าว? ผมเองนั้นเชื่อว่า การดำเนินชีวิตที่มีความสุขจริงนั้น คือ ความเป็นธรรมดาและเรียบง่าย และควรไปไกลเกินมิติที่เรา เคยรับรู้ได้จากสังคมปัจจุบัน ซึ่งมักเป็นสิ่งเรากลัวหรือไม่กล้าลอง เราเลยง่วนอยู่กับสิ่งที่เคยชินและอาจทำแต่เรื่องไร้สาระมากเกินไป คือทั้งที่รู้และทำอะไรได้มากมาย แต่ก็ไม่รู้จริงก็เลยทำอะไรไม่ได้ ผลดีมากนัก เช่นมัวเอาแต่ตอแหลเล่นลิ้นกันในเรื่องพิธีการบ้าๆบอ ซึ่งเห็นกันเกลื่อนกลาดในสังคมปัจจุบัน เลยไม่มีเวลาเจริญปัญญากันเต็มที่ การคิดทำงานสร้างสรรค์จึงไม่ประสบผลในความเป็นจริงเท่าไรนัก การออกแบบสถาปัตยกรรมหรือทำอะไรให้ดีให้งามนั้น เหนืออื่นใด จิตใจของสถาปนิกจะต้องมีความสมบูรณ์ถูกต้องในเรื่องความดีงามก่อน คือต้องมีจิตใจที่ดีมีความเอื้อาทรในตัวเองก่อน จึงจะทำให้การดำเนินชีวิตมีได้ อย่างมีความสุข แล้วก็จะถึงการผลิตงานการต่างๆออกมาอย่างมีคุณค่า ได้จริง ซึ่งการประเมินคุณค่างานในลักษณะนี้ ต้องไปไกลเกินมิติที่เราพึง รับรับรู้ได้จากสังคมที่เราพบเห็น หรือต่างบรรทัดฐานกันในปัจจุบัน ซึ่งผมว่าส่วนมากที่รับรู้กันในปัจจุบันนั้น เป็นบรรทัดฐานสำหรับ ของเทียม ไม่เป็นจริงแทบทั้งสิ้น ว่างๆลองทบทวนการดำเนินชีวิต ที่ต่างจากมิติที่เรากำลังเป็นกันอยู่บ้างนะ บางทีเราอาจได้พบปัญญาในการรู้ทุกข์ เห็นทุกข์ และสามารถแก้ทุกข์ ทั้งหลายได้ในที่สุดก็ได้นะครับ .ขอให้ถือเสียว่า.เป็นการฝึก การพัฒนา ความคิดสร้างสรรค์ในอีกระดับหนึ่งแล้วกันนะ ... แหมพล่ามเสียยาวเลย
โดย ขออีกที [25 ธ.ค. 2545 , 12:27:53 น.]


ข้อความ 5
อืม..... มีเมื่อพร้อมดีกว่ามั๊ย....คู่ที่ดี ความหวังถึงอนาคตที่ดี...แล้วก็ความสามารถในการดูแลตัวเองคนอื่นรวมถึงลูกของคุณ.... ....ง่ายๆครับการมีเพศสัมพันธ์.....ยากยิ่งกว่านั้นคือการรับผิดชอบต่อวิ่งที่ตามมาได้..... ....ง่ายๆครับมีคนที่หย่ากันเพราะมีอะไรกันในขณะที่ไม่พร้อม เหลือลูกไว้อยู่ แล้วก็ความรู้สึกที่ยังไงๆก็แก้ไม่หายสักที...ระวังใจตัวเองนะครับ...โชคดีครับ
โดย ใครหว่า [25 ธ.ค. 2545 , 17:49:52 น.]


ข้อความ 7
ขอฝอยต่ออีกหน่อยนะ เพราะนับถือคำกล่าวของครูประชาบาล ที่ตอบได้รวบรัดและได้สาระดีแท้ เผอิญเมื่อคืนอ่านหนังสือที่เกี่ยวกับการศึกษา เพราะโดนบังคับแบบยินยอมให้ไปช่วยระดมความคิดกันในเร็วๆนี้ ในหนังสือพิมพ์แจกเรื่อง การศึกษาฉบับง่าย ของท่านเจ้าคุณพระธรรมปิฏกฯ มีความตอนหนึ่ง ท่านพูดเรื่อง "กินอย่างไรให้เป็นไตรสิกขา" มีสาระสอดคล้องกับที่ครูประชาบาลกล่าวไว้ข้างต้น การกินนั้นต้องมีความสัมพันธ์กับสภาพแวดล้อม ภายนอก (คือศีลหรือพฤติกรรม..สิกขาที่ ๑) เพราะ ถ้าไม่สัมพันธ์กันก็เกิดโทษจากการกิน หรือการเสพ ใดๆรวมทั้งเรื่องเพศด้วย ในขณะที่กิน ยังขึ้นอยู่กับจิตใจ (หรือสมาธิที่เป็นสิกขาที่ ๒) คือจะมีความพอใจหรือไม่พอใจ เป็นสุขหรือเป็นทุกข์ และอื่นๆต่างๆนาๆ สรุปก็คือกินไปต้องทำโยนิโสมนสิการ หรือคิดไตร่ตรองตามไปด้วย เพื่อให้เกิดปัญญารู้ ได้ในการกิน (คือเป็นสิกขาที่ ๓) ว่าควรกินอย่างมี ความสุขนั้นเป็นอย่างไร ตรงตามความมุ่งหมาย เพื่อให้มีสุขภาพดี หากถ้าไม่คิด กินเพื่อสนองความ พอใจหรืออารมณ์อื่น ความพอใจหรือความสุขก็เป็น ไปอีกแบบหนึ่ง ตัวปัญญารู้จึงมาเป็นเหตุปัจจัย หรือนำทางให้เกิดความสุขหรือความทุกข์ได้ในการกินไปด้วย ด้วยสาระที่ย่นย่อมานี้ พอจะสรุปได้ว่า การศึกษา คือการเรียนรู้ชีวิตที่ต้องเป็นไตรสิกขา ทั้งสามด้าน คือ ศีลหรือพฤติกรรม สามธิหรือจิตใจที่ผ่องใส นำไปสู่ปัญญาคือการรู้ความจริง ที่แสนเป็นธรรมดา และเป็นธรรมชาติที่เป็นอยู่แล้วเช่นนั้น การเรียนรู้วิชาอะไรๆนั้น ต้องเกี่ยวข้องกับการ ดำเนินชีวิตที่ควรตรงกับความเป็นจริง เป็น ธรรมดา และเป็นตามธรรมชาติ แนวคิดนี้ พวกฝรั่งกำลังปรับปรุงกันในเรื่องการศึกษา โดยเฉพาะวิธีการสอนของครู ซึ่งท่านเจ้าคุณ อ้างไว้ว่าเป็นงานของพระพุทธเจ้า การสอนคือ การช่วยให้ศึกษา (ให้ครบไตรสิกขา) เพื่อสร้าง ทางชีวิต (หรือมรรค) ในการดำเนินชีวิตของเรา ทุกๆคน ครูต้องสอนเด็กให้เรียนรู้ครบไตรสิกขา เมื่อเด็กรู้การกินนั้นควรเป็นอย่างไร ครั้นพอกินอยู่เป็นแล้ว..ก็คิดเป็นเอง และคิดถูกตามความเป็นจริง เป็นธรรมดา และเป็นตามธรรมชาตินั่นเอง ที่สำคัญคือผู้สอนต้องเลียนแบบพระพุทธเจ้า ให้ได้ก่อน จึงจะทำงานเยี่ยงพระพุทธเจ้าได้ครับ แหม..ผมเกือบจบไม่ลงแล้วซินะ
โดย ขออีกที [5 ม.ค. 2546 , 09:47:16 น.]

ครูกับศิษย์

ครูกับศิษย์ ที่ออเดนกล่าวไว้ถึงการสอนเด็กนั้น แม้จะเป็นวาทะของฝรั่ง ซึ่งหยั่งไม่ถึงพุทธธรรม แต่ก็มีความหมายอย่างสำคัญ ดังคำของเขาแปลออกไปเป็นไทยได้ดังนี้คือ "สำหรับครูที่จะมีคุณค่าที่แท้สำหรับลูกศิษย์นั้น เขาต้องเป็นคนที่เติบโตเต็มที่ และเหนือไปจากนี้ก็ตรงที่เขาต้องเป็นคนมีความสุข ให้เยาวชนได้รับความรู้สึกว่า ชีวิตของผู้ใหญ่นั้นน่าตื่นเต้นยิ่งกว่าชีวิตของเขายิ่งนัก ครูต้องพร้อมที่จะให้ อำนาจทั้งหมดในทางความรัก และความเข้าใจในทางจินตนาการแก่ศิษย์ เมื่อเขา ต้องการสิ่งนั้น พร้อมกันนั้นครูก็ควรลืมศิษย์เสียให้หมดเมื่อถึงเวลาที่พวกเขาจากครูไป โดยไม่ติดยึดกับศิษย์ในทางส่วนตัว และท้ายที่สุด ครูต้องไม่วุ่นในเรื่องสั่งสอนศีลธรรม ไม่ตั้งระเบียบวินัยว่าเด็กดีต้องเป็นเช่นนั้นๆ ครูต้องไม่ตกใจในอะไรๆที่ก่อเกิดจากศิษย์ หากครูควรมีความอดทน ที่จะเข้าใจในสาระของพฤติกรรมแต่ละอย่างที่เกิดจาก ทัศนคติของศิษย์ โดยไม่ยึดทัศนคติของตนเป็นที่ตั้ง เพื่อจะได้เห็นว่าเจ้าวานร ตัวน้อยนี้กำลังเปลี่ยนแปลงไปอย่างน่าสังเกต และพยายามเฝ้ามองเพื่อขจัด อุปสรรคที่ขัดขวางการเติบโตให้ศิษย์ หากต้องใช้อุบายอย่างแยบคายที่สุด เพื่อไม่ให้เป็นการไปก้าวก่ายวิถีชีวิตของศิษย์" นี่ว่าถึงสถานะของครูกับผู้เยาว์ ส่วนครูกับศิษย์ที่มีอายุมากแล้วนั้นเล่า น่าจะวางตัวอย่างเป็นกัลยาณมิตรกัน หรืออย่างอุปัชฌาย์อาจารย์กับ ลัทธิทธิวิหาริกอันเตวาสิก ดังตอนขอบวช บรรพชาเปกขะกล่าวว่าอะไร เป็นภาระของพระเถระ นั่นย่อมเป็นภาระของข้าพเจ้า และอะไรเป็นภาระ ของข้าพเจ้า นั่นย่อมเป็นภาระของพระเถระ หรืออะไรในทำนองนี้ กล่าวคือ ครูกับศิษย์ต้องเตือนกันและกันได้ ให้ไม่ติดยึดในความเห็นแก่ตัว (จากความตอนหนึ่งของ...อาจารย์ สุลักษณ์ .ศิวรักษ์ ได้ให้เกียรติร่วมแสดงปาฐกถา ณ ที่ทำการแห่งใหม่ของมหาวิทยาลัยเที่ยงคืน เชียงใหม่ วันเสาร์ที่ ๒๐ กรกฎาคม ๒๕๔๕ เวลา ๐๙.๓๐ น...ดูทั้งหมดใน..บทความมหาวิทยาลัยเที่ยงคืน ลำดับที่ 201)
โดย ของฝาก..วันหยุด [22 ก.ย. 2545 , 15:36:07 น.]

ข้อความ 1
จะชอบหรือไม่ก็ตาม.. ครูกับศิษย์ในเวอร์ชั่นใหม่สุด คือ.. ครู..ในยุคสมัยของข่าวสารข้อมูลที่ล้นเหลือ (Information Gut) หลากหลาย มากมาย นี้ จะไม่ใช่ผู้มีอำนาจควบคุมข้อมูลเหมือน พ่อมดหรือหมอผี เช่นในอดีตอีกต่อไปแล้ว บทบาทหนึ่ง..ที่น่าจะเป็นคือ "คนจ่ายตลาด" ไปเลือกสรร คัดสรร แยกแยะข้อมูลที่มากหลาย ในตลาดข้อมูล ศูนย์การค้าข้อมูล หรือ WWW. เอามาจัดทำให้เป็นหมวดหมู่ กักตุนไว้พร้อมปรุงกัน ในร้านเช่น "สถาปัตยกรรม" เพื่อการบริการแบบ อาหารตามสั่งให้บรรดาศิษย์ที่นั่งคอยหิวในร้านนี้ ส่วนศิษย์จะเข้ามาร่วมปรุงกันเองเพื่อการลิ้มรส หรือจะรอนั่งกินอย่างเดียว ก็ขึ้นอยู่กับร้านนั้นว่า จะหวังเพิ่มอาชีพพ่อครัว หรือฝึกบ๋อยเดินอาหาร ? ความล้นเหลือในข้อมูลที่แพร่ขยายไปทั่วโลก มันสร้างความสับสนและซับซ้อนในความรู้ ที่จะใช้ในการแยกความดีออกจากความชั่ว แยกสถาปัตยกรรมที่ควร ออกจากสิ่งที่ไม่สมควร แต่ละประเด็นมันต่อสู้กันด้วยความเชื่อมโยง และสัมพันธ์ในแต่ละกลุ่ม มันกลายเป็นเรื่อง "ขบวนการ" มากกว่าผลที่ปรากฏเช่นแต่ก่อนๆ ปิดเรื่องการรับ-ส่งข้อมูลกันเมื่อไร ก็หมดสิ้นความรู้ หมดสิ้นการแสวงหา และก็หมดสิ้นชีวิตในที่สุด โลกของการศึกษาในอนาคต ทุกคนจึงต้อง เป็นนักเดินทาง นักท่องเว็บ ฯลฯ แบกถังไปด้วย เพื่อเก็บเพื่อกักข้อมูลที่ล่องลอยเต็มไปทั่วเหมือน อากาศที่เราต้องใช้หายใจกันอยู่ จับมันไว้ได้แล้ว ก็เอา มาคัด มาเลือก มาปรุง มาแต่งกันและกัน เป็นองค์ความรู้ เพื่อใช้เป็นแนวทางของการดำเนินชีวิตในแต่ละคนต่อไป แต่ถ้า..กลัวความเหงา..ศิษย์ก็ไปพบครู หรือครูก็ไปพบศิษย์ ไปเจอกันที่ "ร้าน" เช่น ร้านสถาปัตยกรรม ดังกล่าวแล้ว นั่งคุยกันฉันท์มิตร เล่นอวดของกันในถัง แลกเปลี่ยนให้กัน และกัน ก่อนที่ของเล่นเหล่านั้นจะ บูดเน่า แล้วก็กลายเป็น ขยะความรู้ไปในที่สุด โลกอนาคต..ครูกับศิษย์..มันคงจะเป็นเช่นนี้ละมัง?..ครับ
โดย เพื่อนอาจารย์ [25 ก.ย. 2545 , 11:15:17 น.]

อยากทราบวิธีเรียนคณะนี้

เวลาทำโปรเจคควรจะทำตามที่เราคิดและอยากให้เป็นหรือตามแนวทางที่อาจารย์ต้องการครับ?ความสวยคืออะไรครับ?DesignFund???หรือควรจะเป็นความสวยแบบงานA???
โดย อวิชชา [30 ธ.ค. 2545 , 03:43:00 น.]

ข้อความ 1
ผมขอถือวิสาสะและบังอาจตอบในความคิดของผมนะครับ ว่า น่าจะทำตามที่ใจเรียกร้องดีกว่า ดูสิครับ ถ้าลองลากโยงอะไรก็ได้ไปเป็นลูกโซ่ซึ่งสัมพันธ์กันในลักษณะเหตุ-->ผล,เหตุ-->ผล,เหตุ-->...แบบฝนเอยทำไมจึงตก-->เพราะกบมันร้อง-->กบเอยทำไมจึงร้อง-->...อะไรประมาณนี้ จะพบว่าสุดสายปลายโซ่ของทุกสรรพสิ่งไม่ว่าจะเป็นphysicalหรือmetaphysicalก็ตาม ย่อมจบลงที่ใจคนเสมอ ผมมิค่อยจะชอบระบบการเรียนแบบนกแก้วนกขุนทองนักหรอก ซึ่งผมเชื่อว่าอาจารย์ส่วนมากก็เช่นกัน แต่อันนี้ก็เนื่องมาจากเด็กอย่างเราๆยังโง่งมกันอยู่ ท่านก็ไม่สามารถจะfreestyleได้ เดี๋ยวจะเข้าข่ายควายเซ็นเตอร์ซะก่อน ผมว่านะ การที่เราเรียนแบบผีดิบ อาจจะจบไปได้Aรวด แต่คนพวกนี้ก็ไม่สามารถแปรเปลี่ยนสังคมได้หรอก คนที่จะทำให้สังคมเปลี่ยนแปร คือเหล่าคน"แหกคอก"แต่พองามตะหาก ผมนะเห็นเพื่อนบางคนมาคณะส่งงาน กินข้าว กลับบ้านทำแบบ มาคณะส่งงาน กินข้าว...ยังกะเครื่องจักรแว่นหนาเตอะ ฟาดAไปกระจาย อย่างผมเนี่ย Aบ้างBบ้างCบ้าง แต่ผมได้เดินกินลมลมวิว ชื่มชมสรรพสิ่งอยู่บ่อยๆ แกลเลอรี่ผลงานจิตรกรรมก็ไปดูไปชมมิได้ขาด(ทั้งที่อยู่ตรงข้ามฟากถนนถาปัด แต่มีบางคนมิเคยจะคิดข้ามไปเชยชม) ดนตรีก็ฝ์กก็เล่นอยู่เสมอ รู้จักร้านอาหารดีๆเยอะแยะ กาแฟอร่อยๆ มีเวลาอ่านหนังสือ จิตวิทยา นิยาย บลาๆๆ เป็นที่สนุกสนาน สุดท้ายนะ ผมเชื่อว่า ไม่ว่าจะเป็นสถาปนิก จิตรกร นักดนตรี นักคณิตศาสตร์ นักวิทยาศาสตร์ etc. สุดท้ายก็วัดกันที่ความคิดที่เป็นปัจเจกแห่งบุคคลนั้นๆแล (แต่เพื่อนๆบางคนยังยกอะไรดาษๆก็ไม่รู้มาเป็นconcept ธรรมชาติ วิวดี ลมเย็น การเล่นระดับ หูย ไม่greatเรยครับ ยามที่ผมได้รู้แนวความคิดของเหล่าgreat 'tect มันทำให้ผมขนลุกได้เลย เหมือนฟังorchestraตอนจังหวะบรรเลงหนักๆน่ะ มันจะเหวอครับ เหวอออออ) ลองดูสิ สถาปัตยกรรมโมเดิร์นแบบCorbusianมีให้เห็นเต็มเมือง แต่กระนั้นมันกลับดูโง่เง่าอับเฉาเบาปัญญาลดค่าสังคม เพราะมันเป็นความคิดของCorbusier ต่อสังคมของเขา โดยผ่านปัญญาแห่งเขาเพียงคนเดียว เขาถึงได้ยิ่งใหญ่ค้ำฟ้า เพราะเขาเป็นบุตรแห่งการปฏิวัติ ก่อนหน้าเขาไม่เคยมีstyleเช่นเขามาก่อน เขาคือคน"แหกคอก"ที่ยิ่งใหญ่ คน"แหกคอก"นั้น ไม่ยิ่งใหญ่ค้ำฟ้า ก็ตายอย่างหมาข้างถนน นั่นคือสิ่งที่คนไทยและสังคมโดยรวมไม่กล้าแลกมา ยังสอนสั่งแต่การเอาตัวรอด ตามกระแสต่อไป ก็ตามไปต่อก็ละกัน ผมก็ขอพูดแบบin trendๆเลยว่า "ไม่จ๊าบเล้ย ขอบอก" ส่วนด้านการออกแบบ ผมมิเห็นความต่างระหว่างความสวยกับน่าเกลียดเลย(Deconstruction) dsgn fundของคณะเราน่ะ ก็ใช้หลักสูตรของGestalt Psychologyแทบจะทุกอย่างแหละ เพราะสอนแบบBauhausๆ ซึ่งจิตวิทยาก็เป็นเพียงศาสตร์ที่พยายามจะทำความเข้าใจจิตใจของคน แล้วทำไมเราไม่ใช้ไอ้จิตใจของเรานั่นเป็นตัววัดซะเลยเล่า ยามใดที่ไม่แน่ใจในตัวเอง ยามนั้นค่อยกลับมาพึ่งวิชาตำรา ความสวยวัดกันที่ไหนครับ? ในศิลปะนั้น ไม่มีคำว่าสวย-ไม่สวย เหมือนจริง-ไม่เหมือน ถูก-ผิด หรอกครับ มีแต่คำว่าชีวิต จิตใจ พลัง สะเทือนจิต อันนี้ผมตีความมาจากคำของศ. ชลูด นิ่มเสมอ อีกที ซึ่งผมเห็นด้วยอย่างยิ่งยวด คำว่าสวย เป็นแค่subsetของสุนทรียภาพเท่านั้นนะครับ
โดย จญิมโณเภดัยขอบังอาจ [30 ธ.ค. 2545 , 20:58:19 น.]

ข้อความ 2
คำกล่าวข้างต้น น่าคิดน่านับถือครับ ผมขอคุยเพิ่มดังนี้ ...นะครับ ความสวยนั้น เป็นเรื่องการปรุงแต่งที่เกิดในจิต ความสวยตามหลักธรรมนั้น จะเกิดขึ้นได้ ต้อง เกิดจากจิตที่บริสุทธิ์ผ่องใส จิตที่เกิดโดยการ ปฏิบัติในทางธรรม เกิดรู้จากปัญญาในสิ่ง ที่ตรงความเป็นจริง คือ มีลักษณะของไตรลักษณ์ เป็นอนิจจัง เป็นทุกข์ และเป็นอนัตตา บังคับ บัญชาเอาเองไม่ได้ เช่นความเกิด แก่ เจ็บ ตาย แต่ปรมัตต์ธรรมเช่นนี้ เอามาใช้ทางสมมติบัญญัติ อาจไม่เหมาะสม หากจะหวังโลภที่คะแนนจากครู นอกจากแปลงความสวยให้ตรงกับที่ครูรู้ครูพอใจ ครูได้ความสุขปิติ ถ้าทำให้ครูเกิดปัญญารู้ทุกข์ได้อีก การสนองความสวยนั้น ก็เป็นกุศลกับครูและผู้อื่น เราทุกคนมักแสวงหาความบริสุทธิ์ผ่องใสของจิต กันทุกคน แต่เผอิญเราต่างก็ไม่รู้ ไม่เชื่อ และไม่มีปัญญา พอจะเข้าใจความจริงในสิ่งที่จะทำให้จิตเราเกิดความ บริสุทธิ์และผ่องใส หลายคนจึงยังวนเวียนค้นหามัน จากเหตุปัจจัยที่มีความโลภ ความโกรธและความหลง เพราะไม่เชื่อว่าการสร้างสรรค์ความสวยที่ปราศจาก เหตุปัจจัยดังกล่าวนั้น ไม่มี เพราะติดที่ความเคยชินมา นานมีมาหลายภพหลายชาติที่ความเป็นมนุษย์เรานั้น เวียนว่ายตายเกิดกันอยู่ สิ่งที่เราเรียนรู้กันทางโลก จึงเป็นเรื่องการปรุงแต่ง เป็นเรื่องของสมมติบัญญัติทั้งสิ้น Design Fundamental ยุคนี้สมมติและบัญญัติกันเป็นยังไง ก็คงต้องถือความสวยจาก หลักเกณฑ์ที่เรายึดกันดังนั้น เพื่อให้เกิดความเข้าใจหรือสื่อ ถึงกันได้ระหว่างครูและศิษย์ ส่วนจะก้าวกระโดดต่อไปนั้น เป็นเรื่องของการแสวงหาร่วมกัน ถ้าเห็นพ้องกันก็ถือว่า เป็นกัลยาณมิตรแก่กันและกัน ยิ่งถ้าเป็นไปในแนวทาง ของกุศลธรรม ก็ช่วยพัฒนาให้จิตของแต่ละคนเกิดความ เจริญในความบริสุทธิ์ผ่องใสยิ่งขึ้น ผลมันจะสนองใน สิ่งที่เป็นคุณแก่ชีวิตมากมาย ไม่ใช่ความสวยที่เราคิดกัน อยู่ขณะนั้น แต่มันเป็นความสวยที่ครอบคลุมไปทุกส่วน ของชีวิตที่เรากำลังดำเนินอยู่ เพราะวิทยาศาสตร์ใหม่กำลังก้าวไปในความรู้ของ ความจริงหรือความเป็นองค์รวม ความเชื่อมโยงกัน ของทุกสรรพสิ่งที่เราสมมติเป็นชีวิตหรือจักรวาล จึงมีคำกล่าวที่ว่า เด็ดดอกไม้กระทบถึงดวงดาวบน ท้องฟ้า ความสั่นสะเทือนที่เกิดจากผีเสื้อขยับปีกใน สถานที่หนึ่ง อาจโยงไปถึงความสะเทือนของแผ่นดิน ในสถานที่แห่งอื่นๆ เป็นต้น คตินี้ให้ข้อเตือนใจที่ว่า ถ้าใครคนหนึ่งทำชั่ว สร้างสิ่งเลวเป็นอกุศลแล้ว ผล เสียก็จะเกิดแผ่ขยายไปทั่ว รวมกันมากเข้าก็เป็นหายนะ ให้กับชีวิตและจักรวาลของเราทุกคนได้ ตรงข้ามถ้า ทำดี เป็นกุศล ผลดีก็จะเกิดขยายไปทั่วเช่นกัน แบบหลัง เชื่อว่าน่าทำให้ชีวิตและจักรวาลของเราเกิดสันติสุข มีอายุการคงอยู่และสมดุลป์ยืนยาวขึ้นอีกหน่อย ใน ทางสมมติเขาจัดไว้ในชั้นของสวรรค์แดนสุขาวดี ไม่ใช่แดนนรก ในสถานที่ซึ่งมีเวลาของสรรพสิ่งใน แต่ละแห่งต่างกัน ดังนั้น บนความสัมพันธ์ของการเรียนรู้ระหว่างครูกับศิษย์ ก็ต้องสร้างความเป็นกุศลกันไว้เรื่อยๆตั้งแต่แรกพบจนต้อง จากกัน ความสวยก็จะงอกงามกันไปเรื่อยๆ คือเกิดความ บริสุทธิ์และผ่องใสของจิตใจในแต่ละคนนั่นเอง ผมว่า.. นี่เป็นความสวยแบบยั่งยืนถาวร ไม่ใช่ความสวยจากการ ปรุงแต่งชั่วครู่ชั่วยาม เพื่อได้คะแนน A แค่นั้น เพราะ A เป็นเรื่องของบัญญัติสมมติขั้นต่ำเอามากๆ ยิ่งถ้าเป็นไป เพื่อความโลภ ยิ่งแล้วใหญ่ เพราะไม่เป็นความรู้ที่ได้เพื่อ สร้างปัญญาให้เราๆรู้ทุกข์ได้เลยในชาติภพนี้ สรุปก็ต้องบอกว่า เรียนเอาใจเพื่อตัวเราและก็เพื่อครูด้วย จิตเรานั้นสามารถเนรมิตให้เกิดได้ผลทั้งสองอย่าง ไม่ จำเป็นต้องเป็นอย่างเดียวเสมอไป สร้างกุศลนั้นช่วย ทุกคนให้ก้าวพ้นโลกสมมติไปได้ ส่วนอกุศลช่วยใครๆ ไม่ได้เลย ทั้งตัวเราและครู มันจะดึงลงเหวลงนรกกัน ในที่สุดเท่านั้นเอง อย่าถามนะ...สูตรหรือวิธีทำดังว่าที่ชัดๆนั้นเป็นอย่างไร เพราะสัจจธรรมในเรื่องนี้นั้น เป็นเรื่องทางใครทางมัน จริงๆ แม้จะมีแนวทางที่มีผู้ค้นพบให้มาแล้วก็ตาม ..แต่ใคร จะไปเชื่อ...มรรคแปดคืออะไร ทุกข์คืออะไร ก็ยังไม่กันรู้เลย ผมเอง..ก็ยังไม่รู้ ..แค่พล่ามมาให้งงๆกัน ก็แค่นั้นเอง
โดย เพื่อนอาจารย์ [31 ธ.ค. 2545 , 12:54:14 น.]

ความฝันเด็กหายไป

ผมว่าเด็กเมืองกรุง ฝันไม่ค่อยเป็น ต่างจากเด็กต่างจังหวัด ทั้งๆที่โอกาสทุกอย่างอำนวยมากกว่าเยอะ ผมวิเคราะห์ว่า เพราะอยู่กับ คอนกรีตมากไป ไม่ค่อยเห็นฟ้าใหญ่ๆ ภูเขาเขียวๆ น้ำใสๆ อย่างน้องผม...
โดย ธุลีscape [8 ม.ค. 2546 , 23:51:43 น.]

ข้อความ 1
...มันถามผมว่าจะ ent อะไรดี อ้าวชิบหาย แล้วกูจะรู้มั้ย พยายามจะพูดยังไง ก็ไม่รู้ จะพูกยังไงดี คือมันเป็นตัวอย่าง ของเด็กสมัยนี้ได้ดี คือเรียนเก่งนะ แต่ผมสังเกต วงจรชีวิต มันคือ เรียนๆๆๆให้สอบได้ดีๆ อ่านหนังสือสอบตลอด หนังสือ นิยาย วรรณกรรมเยาวชน ไม่เคยอ่าน ก็เป็นเรื่องดี แต่เครียดมาก วันๆตอนเย็นอยู่ตามสถานที่กวดวิชาชื่อดังต่างๆ พอว่างที่ก็ ออกไป shopping สยาม แต่งตัวสวยๆ อย่างนี้แล้วจะรู้อะไรหล่ะ ทุกอย่างที่ชีวิตเด็ก ม.ปลายเห็นคือ รร.กวดวิชา entrance กับข้อสอบย้อนหลังกี่ปี ที่pattern ข้อสอบออกมาคล้ายๆกันทุกปี ข้อสอบ ent นี่ก็แปลก ออกคล้ายๆแนวเดิมๆ เด็กที่ทำข้อสอบ ย้อนหลังมาเยอะๆก็ต้องสอบได้อยู่แล้ว แทนที่จะทำความเข้าใจทฤษฎี แล้วในข้อสอบให้ apply ใช้ วันๆมุ่งแต่เอนทรานซ์ แล้วมันจะรู้ได้ไง ว่าอยากทำอะไร เป็นอะไร ชอบอะไรเกลียดอะไร แล้วเป็นปัญหาลูกโซ่นะ เช่น ครู ที่ไม่มีฝัน แล้วบังเอิญเรียนมาทางนี้ เพราะสอบติด ก็เลยมาเป็นครู แล้วใครจะแนะแนวเด็กหล่ะ เด็กก็ไม่รู้ จะทำอย่างไร เห็นอะไร แต่ในตำราใน รร. ค่านิยม ent ผมว่าอย่างเรื่องหนังสือนอกเวลา โรงเรียนให้ความสำคัญน้อยมาก ทั้งๆที่มันเป็นตัวจุความฝัน ท้องฟ้า ภูเขา แผ่นน้ำ ไว้ในนั้น
โดย ธุลีscape [9 ม.ค. 2546 , 00:08:45 น.]



ข้อความ 2
....เป็นตัวที่เด็กกรุงเทพจะ เห็นความฝัน หรือใกล้กับธรรมชาติมากขึ้น .... อย่างความรู้หนังสือนอกตำรา รร.ผมว่ามันเป็นความรู้ที่เหนือกว่าใน รร.ซะอีก ผมอ่าน การ์ตูน ญี่ปุ่น เรื่องเกี่ยวกับ นักเรียนต่อยตีกันนี่แหละ ต่อยมันทั้งเรื่อง เป็นชีวิตเด็ ม.ปลายเหมือนกันนะ พอจะเรียนจบกัน ก็คุยกันว่า จบแล้วจะทำอะไร บางคนก็เรียนต่อบางคน ก็ เป็นช่างไม้ บางคนไปขายซุชิ แต่ที่ทุกคนพูดออกมา เค้าพูดแล้วยิ้ม แล้วพูดว่าเป็นสิ่งที่เค้าใฝ่ฝัน
โดย ธุลีscape [9 ม.ค. 2546 , 00:16:08 น.]



ข้อความ 3
หรือเป็นสิ่งที่เค้าชอบ มีความสุข ถ้าเป็นเด็กกรุงเทพ ถ้าเอามาพูดกันจริงๆก็คงหัวเราะกัน ดูซิ เค้าตัดสินใจกันเอง ทั้งๆที่มันต่อยกันทั้งวัน เค้าทำสิ่งที่ตัวเองชอบแม้มันไม่รวย แต่มีความสุข เด้ก ไทยม.ปลาย ใกล้จบ กลับถามกันว่า มึ งจะ เอน อะไรวะ(โดยเฉพาะ รร. มีชื่อเสียง เด็ก ครอบครัวมีฐานะ พ่อแม่คาดหวัง เรียนเพื่อพ่อแม่ เอนไม่ติดอายเพื่อน พวกนี้ เพื่อนดีก็ดี ไป ไม่ดีก็แย่เลย เพราะ ไม่มีความเป็นตัวของตัวเอง ไม่มั่นใจไม่มี ฝัน ไม่รู้ว่าชอบอะไร) คิดดู ถ้าทุกคนมีฝัน ก็จะไม่ต้อง แย่งกัน ent ไม่ต้องมีคนโดดตึก มีแต่คนอยากเรียนจริงๆ เข้ามาเรียน จะไม่มีพวก แบบเอนเข้ามาก็ไม่ทำวิชาชีพนั้น มหาลัยก็จะน่าอยู่คน กำลังดี พวกที่เรียนจริงๆ จบไปก็จะได้ไปพัฒนาประเทศชาติ เพราะพวกที่เรียนไปงั้นแล้วจบมาไม่รู้ทำอะไร ก็ทำเหมือนที่เรียนมา แล้วมันก็ทำไม่ค่อยดี เพราะไม่ได้ชอบ ทำไปกันตาย มันก็เลยมี แต่พวกโกงกิน พวกนี้ไม่มีความฝันหรอก เด็กๆมีฝันกัน ก็จะไม่ได้ยิน เด็ก สถาปัตย์ไป เป็นดารา เข้ามาบอกเอนเข่า ถาปัด เพราะอยากเล่นละคอน คณบดี ลมแทบใส่ อ้าวก็ไปเข้า อักษรละคอนนู่น ดูสิ มั่วกันไปหมด คนอยากเรียนก็ไม่ได้เรียน กรณีนี้ก็มีฝันนะ แต่เข้าใจผิดไปแล้ว
โดย ธุลีscape [9 ม.ค. 2546 , 00:29:01 น.]



ข้อความ 4
ในสมัยก่อนคุณเกิด ความต่างอาจเป็นมากระหว่าง คนกรุงกับคนบ้านนอก แต่ปัจจุบันลดน้อยลง จนถือได้ว่าดีเลวพอๆกัน เพราะเทคโนฯของสื่อมันส่งถึงไปทั่วทุกจังหวัด ความสกปรกหรือความสะอาด มันเลยปนเปไปทุกความคิด ธรรมชาติโดนทำลาย เสื่อมพอๆกับคอนกรีตในเมือง อยู่ในธรรมชาติที่บ้านนอกก็ไม่ค่อยต่างอยู่ห้องแถวในกรุงนัก ส่วนจะให้ต่างแบบเป็นชาวเขานอนกอดธรรมชาติแบบเดิมๆ ก็ไม่มีทางสอบเข้าเรียนที่คณะสถาปัตย์ได้ สรุปว่า คนกรุงคิดดีคิดเป็นกุศลมีมาก คิดชั่วทำชั่วเป็นอกุศลก็มี ส่วนคนบ้านนอกก็เช่นกัน บ้าๆก็มีมาก มารวมตัวก่อกรรม ทำชั่วในกรุงก็มาก บางคนยังบ้าไม่พอกลับไปทำชั่วที่บ้านเกิดก็มี ที่เป็นกันดังนี้เพราะไม่มีปัญญารู้ชั่วรู้ดีนั้นเป็นอย่างไร ความดีความชั่วที่แบ่งแยกกันไว้นั้น อาจตัดสินกันลำบาก หากจะยึดมาตรฐานของคนที่จะตัดสินก็ต้องระวังไว้ว่า ตัวเองนั้นมีมาตรฐานที่เป็นจริงดีจริงหรือป่าว? ส่วนคุณ.. การจะทำตัวเป็นเปาบุ้นจิ้น พึงต้องระวังไว้มากๆ .. ผมเองตอนเป็นหนุ่มมีไฟแรงและมีความคิดดุเดือดเลือดพล่าน มักคิดว่าตัวเองเป็นพระเอกหนังจีนกำลังภายใน เห็นคนอื่นที่ไม่ตรงมาตรฐานคิดของตัวเอง มักจัดเป็นมารที่ต้องขจัดเสียให้สิ้น เพราะมักเห็นใครอื่น(นอกจากตัวเอง)เป็นคนเลวไปหมด เช่นนี้ ถ้าทำได้จริงก็จะต้องเป็นพวกฆาตกร เป็นครูทำไม่ได้คงได้แต่คิดเท่านั้น ซึ่งเป็นการคิดที่ไม่ดี เพราะทำให้เกิดจิตวุ่นวายไปทุกขณะ เกิดลมปราณภายในสับสน แม้ขณะกำลังยืนปลดทุกข์อยู่ในส้วมทุกส้วม ในคณะนี้ ..นี่เป็นสิ่งเกิดขึ้นตอนที่เป็นนิสิตในช่วงเวลานั้น จนกระทั่งถึงวัยที่ระดับฮอโมนทางอารมณ์ลดลงตามลำดับ และเมื่อได้รับคำเตือนจากพระ ..สอนให้อย่าหยุดพิจารณาเพียงแค่สิ่งที่มองเห็น หรือสิ่งคิดได้ขณะนั้น ต้องทบทวนไตร่ตรอง สาวลึกต่อไปว่า เหตุปัจจัยอันเป็นที่มาของปรากฏการณ์ที่พบเห็นนั้น มีความเชื่อมโยงเป็นองค์รวมกันอย่างไรบ้าง คือมีความเป็นมาของเหตุ (cause) นั้นเป็นอย่างไร และอยู่ในสภาวะการณ์ หรือ สืบเนื่อง (condition) บนเงื่อนไขเช่นใด จึงได้ส่งผลออกมา (affect) ให้เราพบเห็นและขุ่นเขืองใจ เมื่อเราได้ไตร่ตรองดังนี้ ด้วยจิตที่สงบและสำรวมดีแล้ว ก็จะเกิดปัญญา ได้ซาโตริที่ว่า.. อ๋อ..มันเป็นเช่นนี้เอง..หรือเพราะเหตุนี้เอง มันถึงไม่รู้ว่าจะเอ็นคณะฯใดดี ทำไมมันจึงบ้าเรียนกันขนาดนี้ ทำไมต้องแข่งขันกัน แย่งกันกินจนแทบไม่สนใจจะเหยียบใครตายบ้าง ถึงที่สุดของเหตุ ก็คือความโลภ ความกลัว กลัวตาย กลัวอด นั่นเอง เลยต้องคิดเรียน หาทรัพย์เก็บไว้มากๆ ซึ่งถ้าเรารู้ได้ถึงเหตุปัจจัยของความเป็นสรรพสิ่งที่เรารับรู้ เราก็จะพบธรรมชาติของความเป็นไปเช่นนี้เอง .. ที่ภาษาพระ ท่านเรียกว่า "อิทัปปจจยตา" ..ครับ ความฝันความคิดอะไรต่างๆนั้น ทั้งของตัวเราเองและของใครอื่น ล้วนเป็นเรื่องสมมุติบัญญัติทั้งสิ้น (เช่นชื่อ สถาปัตย์ แพทย์ วิศวะ อักษร ฯลฯ) ที่ดีขึ้นไปหน่อยก็อาจเป็นชั้นสมมุติสัจจะ (เช่น ดิน น้ำ ลม ไฟ ที่เป็นองค์ประกอบของวัตถุธาตุต่างๆรวมทั้งตัวเรา) จนอาจถึงฝันที่จริงแท้คือถึงชั้น ปรมัตถ์สัจจะ (เช่น ความเกิด แก่ เจ็บ ตาย อันเป็นกฏแห่ง ความเปลี่ยนแปลง ตั้งอยู่ถาวรไม่ได้ และก็ควบคุมไม่ได้เลย ในทุกสรรพสิ่งที่ปรากฏในจักรวาลนี้) ความเป็นสถาปนิก นักจัดรายการ หรือนักการละคอน จึงไม่มีจริง เป็นเพียงสมมุติ บัญญัติ กันไว้เพื่อจะฝืนให้มีเท่านั้น แต่ก็ควบคุมไม่ให้เปลี่ยนสลับกันไปมา ก็ทำไม่ได้เลย ผมกลับดีใจมาก หากคนจบสถาปัตย์แล้วไปมีอาชีพอะไรได้มากมาย ชนิดเป็นได้ตั้งแต่ "สากกระเบือยันเรือรบ" เป็นจนถึงนายกรัฐมนตรี ถึงขอทานได้หมด เพราะถึงขั้นนี้ สมมุติบัญญัติเรื่องอาชีพหมดไป เกิดสมมุติสัจจะของการทำแต่สิ่งดีสิ่งที่เป็นกุศลไม่ว่าอาชีพไหนๆ และจนถึงระดับความเข้าใจชั้นปรมัตถ์สัจจะ ที่ทุกคนในทุกอาชีพ เทวดาทุกตำแหน่ง หรือห..มาทุกๆตัว ก็หนีไม่พ้น ความเกิด แก่ เจ็บ และตายลงทั้งนั้น เวียนว่ายสลับกันไปมั่วกันไม่รู้นานมาแล้วแค่ไหน และจะมีต่อไปอีกนานเท่าไร ถ้าคิดเสียว่าแต่ละคนเป็นอะไรต่ออะไรมาแล้วทั้งนั้น จะช่วยให้เราลดความต้องการเป็นนั่นเป็นนี่ไปได้มาก บางคนอาจสืบต่อความมีอาชีพสถาปนิกได้ บางคนย้อนไปสืบต่ออาชีพ ขอทาน บางคนดันระลึกได้เลยอยากสืบต่อเป็นนักแสดง หรือนักจัดรายการ ต่างๆนานา ซึ่งก็เป็นไปได้ทั้งนั้นครับ ลองคิดดูถ้าเรามีหลักสูตรเรียนสถาปัตย์ และทำให้จบไปประกอบอาชีพ อะไรอื่นก็ได้ และเป็นสุขได้ในสิ่งที่ตนเองอยากทำ แล้วทำได้ดี เป็นกุศลแก่ตนเองและผู้อื่น โดยไม่มองการมีทรัพย์วัตถุเพื่อการแบ่งแยกอาชีพกัน ไม่ทำกันเพื่อความโลภ ไม่แข่งขันแย่งกันกิน ไม่แย่งกันเป็น มีแต่คอยสร้างความเอื้อทรแก่กันและกัน กระทำได้เช่นนี้ พวกเราก็จะเป็นตัวอย่าง ของผลผลิตสัจจธรรมในการศึกษาของคนรุ่นใหม่ ที่จะมีฝันใกล้ความเป็นปรมัตถ์สัจจะมากขึ้น นี่เป็นการเทียบเคียงกันถึงขั้นหลักสูตรในพระไตรปิฎก กันเลยนะครับ ..คณบดีถ้าทำได้อย่างนี้ แล้วจะเป็นลมตายเพราะเกิด "ปิติ" นั้น ก็ไม่ต้องห่วง เพราะท่านจะได้รับงานต่อไปในชั้นสวรรค์ได้แน่นอน จึงต้องขอลงท้ายที่ว่า เรื่องความฝันนั้น ไม่มีวันหายไปไหนหรอกครับ ต้องมีกันอยู่ทุกวัยทุกเพศ เพราะจิตคนทั่วไปมันวุ่นวายอยู่เป็นเนืองนิจ อยากบอกว่าในเมื่อต้องฝันก็ขอให้ฝันแต่สิ่งที่ตรงกับความจริง เอาให้ถึงขั้นปรมัตถ์สัจจะกันนะครับ ค่อยๆฝึกฝันแบบนี้ไปเรื่อยๆ ก็จะช่วยลดความวุ่นวายของจิตได้ แต่ถ้ายังเอาแต่จะฝันแบบเฮงซวย เรื่องสมมุติบัญญัติแล้วถือเอาเป็นของจริงแท้ มุ่งสร้างไป เอาใจใส่มันไปมากขึ้นเรื่อยๆ ก็จะต้องปวดหัวมากขึ้นๆ จิตก็จะค่อยเสื่อมลงๆ จนกลายเป็น โรคความดัน หรือจนถึงลมปราณแตกซ่านในที่สุด ..แน่นอนครับ
โดย เพื่อนอาจารย์ [10 ม.ค. 2546 , 16:17:23 น.]



ข้อความ 5
ฮ่าๆ สาธุครับ เพื่อนอาจารย์ครับ ขอถามนิดนึงครับ เพื่อนอาจารย์ครับ ตอนหนุ่มเคยรู้สึกมั่งมั๊ยว่าอะไรๆยังไม่ลงตัวเท่าไรไม่ว่าจะเรื่องการงานเรื่องครอบครัวเรื่องอื่นๆจิปาถะ เพื่อนอาจารย์ทำอย่างไรครับ ...
โดย ผมว่านะ [11 ม.ค. 2546 , 10:44:05 น.]



ข้อความ 6
เวลามีเรื่องขัดใจ ไม่สบายใจ หรือเป็นทุกข์ ก็ต้องหยุดไตร่ตรองว่าเหตุปัจจัยมันอยู่ตรงไหน ถ้าพบก็แก้ที่ตรงนั้น แก้ยังไม่ได้ พรุ่งนี้เอาใหม่ ต้อง identify problem ให้ได้ อาจต้องถามกัลยาณมิตร หรือเพื่อนที่ดี หรือหาอ่านหนังสือโดยเฉพาะหลักธรรมของพุทธศาสนา ผมชอบอ่านแล้วนำมาฝึกใช้มาก ถ้ารู้ในของศาสนาอื่น ก็ต้องเอามาช่วยแก้ทุกข์เหมือนกัน แก้ปัญหาอะไรได้มากเข้า ..ก็เหมือน มั่นเล่นกล้าม ไม่นานกล้าม "ปัญญา" ก็โตขึ้นเรื่อยๆ กระทำได้ดังนี้ แม้จะลุ่มๆดอนๆบ้าง ก็น่าจะเป็นประโยชน์ในการดำเนินชีวิตที่ดี ได้แน่นอนครับ ..ทุกๆคนในโลกนี้ไม่ว่า จะอยู่ในฐานะสมมุติใดๆ เกิด แก่ เจ็บ ตาย และเป็นทุกข์กันทุกคน ใครจะแบกทุกข์ไว้ มากน้อยขึ้นอยู่กับกรรม และผลของกรรม หรือวิบากที่สะสมกันมา ไม่รู้กี่ร้อยชาติ ประมาณเป็นปีไม่ได้จริงๆ..ครับ สำหรับคุณธุลีsacpe อนาคตสดใสแน่นอน ขอเป็นกำลังใจให้พ้นทุกข์หรือลดทุกข์ให้ได้ นะครับ ...สวัสดีวันเด็กครับ
โดย เพื่อนอาจารย์ [11 ม.ค. 2546 , 16:35:36 น.]



ข้อความ 7
อยากหาลำธาร ป่าไม้ นกร้อง ว่างๆ ไปเดินสวนรถไฟดิ
โดย suburbGal [11 ม.ค. 2546 , 17:27:40 น.]



ข้อความ 8
เผอิญอีก..ได้เมลล์จากใครไม่รู้ เป็นการเกริ่นเพื่อการโฆษณา แต่เห็นเข้าท่า ในบทนำสวด เลยเอามาฝากไว้ที่นี่ ก่อนลบทิ้งไป จากตู้จดหมายของผม ..เป็นดังนี้ "หากพบกับความล้มเหลวไม่ได้หมายความว่าชีวิตคุณล้มเหลว เพียงแค่คุณยังทำมันไม่สำเร็จเท่านั้น เมื่อบางอย่างล้มเหลว อย่างน้อย เราก็ๆได้เรียนรู้บางอย่างจากสิ่งที่เราทำ เมื่อเราล้มเหลวไม่ได้หมายความว่าเราโง่ แต่เรามั่นใจและเต็มใจที่จะลองต่างหาก ความล้มเหลวไม่ได้บอกว่าเลิกซะเถอะ คุณไม่มีหวังหรอก มันแค่บอกคุณต้องลองหาทางใหม่ ๆ ความล้มเหลวไม่ใช่เครื่องบ่งชี้ว่าคุณต้องต่ำ มันแค่บอกว่าคุณไม่ใช่คนสมบูรณ์แบบ (ซึ่งก็เหมือนใครๆ ) ความล้มเหลวไม่ได้ทำให้คุณเสียเวลาไปเปล่า ๆ แต่เป็นเหตุผลที่ดีในการเริ่มต้นอะไรใหม่ ๆ ความล้มเหลวไม่ได้บอกให้คุณยอมแพ้ มันบอกกับคุณว่า พยายามให้มากขึ้น ความล้มเหลวไม่ได้บอกว่าคุณไม่มีทางทำได้ มันเพียงแต่บอกว่าต้องใช้เวลาหน่อย ทุกเช้าเมื่ออาทิตย์เริ่มจับขอบฟ้าในป่าอัฟริกา สิงโตรู้ว่ามันต้องวิ่งล่ากวางตัวที่วิ่งช้าที่สุด ขณะเดียวกัน กวางเองก็รู้ว่ามันต้องวิ่งให้เร็วที่สุด หรือไม่ก็ตาย จุดสำคัญไม่ได้อยู่ตรงที่ว่า คุณเป็นสิงโตหรือกวาง เพียงแต่วิ่งให้สุดกำลังของตน เมื่อถึงคราวก็พอ" **************เราหวังว่าคุณจะมีกำลังใจในการทำอะไร เพื่อวันข้างหน้ามากขึ้น**************
โดย เพื่อนอาจารย์ [12 ม.ค. 2546 , 10:36:13 น.]

อะไรคือExistentialism

รบกวนเพื่อนอาจารย์ช่วยขยายความทีนะครับ ขอบคุณครับ
โดย lyo [11 ม.ค. 2546 , 09:00:11 น.]

ข้อความ 1
ขอเวลาหน่อยนะครับ...ผม ต้องกลับไประลึก ทบทวน และค้นคว้าดู เคยอ่านหนังสือพวกปรัชญา รู้เรื่องบ้าง ไม่รู้เรื่องมามาก พอมาอ่านงานเขียน ของคุณสมัคร บุราวาส เข้าใจอะไร ได้มากขึ้น แล้วจะลอกมาให้อ่าน ระหว่างนี้ ถ้าคุณชอบสะสมหนังสือ ผมว่าแวะไปที่ร้านหนังสือ ลองพลิกดู หนังสือของท่าน ที่เขาเอากลับมาพิมพ์ ขายกันใหม่ คุณจะทึ่งท่านผู้รู้ท่านนี้มาก โดยเฉพาะฉบับรวมเรื่องปรัชญาตะวันตก ล้วนๆ (จำชื่อเต็มไม่ได้) เล่มหนา ราคา ประมาณ ๔๐๐ บาท ได้อ่านแล้วรับรอง รู้เรื่องปรัชญา "สิ่งมีอยู่" ของความคิด ตะวันตกนี้ได้เข้าใจแน่นอน ถ้าเป็นเรื่อง ในพุทธศาสนา ก็คือเรื่อง "อัตตา" ซึ่ง ละเอียดลึกซึ้งไปจนไม่อยากเชื่อกันเลย พูดไว้แค่นี้ก่อนนะ ..ถ้าไปอ่านตามที่ผมแนะนำ แล้วมาสอบถามคุยกัน ผมว่าจะสนุก คือผมก็จะ ได้เรียนรู้จากคุณด้วย..นะครับ เราทั้งหมดก็ จะทะลุมิติการเรียนของกันและกัน ชนิดไม่ธรรมดา เลยทีเดียว ผมขอฝากภาษิตหนึ่งของของการเรียนรู้ทิ้งไว้ดังนี้.. "Tell me, I forget. Show me, I remember. But let me participate, I understand." คุณว่าวิธีการสอนของคณะเราเป็นแบบไหน?
โดย เพื่อนอาจารย์ [11 ม.ค. 2546 , 09:34:50 น.]

ข้อความ 2
เผอิญตรงกับวันหยุด..วันเด็ก เลยขอถือโอกาสวันนี้ เริ่มกันเลยในเรื่องนี้ ...ขอเป็นกุศลธรรมสำหรับวันเด็ก ผมขอยึดถือในข้อเขียนของคุณสมัคร บุราวาศ นะครับ ในหนังสือของท่านเรื่อง "ปัญญา" จุดกำเนิดและ กระบวนการพัฒนาปัญญาของมนุษยชาติ จัดพิมพ์โดย สำนักพิมพ์ศยาม ...เรื่องนี้เป็นหัวเรื่องของบทที่ ๕ "ว่าด้วยความมีอยู่" หรือ Existence พอสรุปเนื้อความ ดังนี้คือ... ความรู้ใดที่เราต้องการ ต้องเป็นความรู้ใน..สิ่งมี ไม่ใช่ความรู้ใน..สิ่งที่ไม่มี พอกล่าวกันถึงตรงนี้ ก็เลยเกิดเรื่องราวว่า ความรู้จากสิ่งมีอยู่นั้นเป็นอย่างไร? จนเกิดวิชาการที่เรียกว่า ภววิทยา (Ontology) สอนกัน เรื่องปรัชญาสิ่งที่มี ...Existentialism นั่นเอง คำว่า ภวะ หรือ ภพ แปลว่า ความมีอยู่ ...Existence สิ่งที่มี (Being) คือสิ่งที่เป็นต้นเหตุแห่งผัสสะ ด้วย ..หู ตา จมูก ลิ้น กาย และใจ อะไรที่รับรู้ได้ ด้วยอวัยวะดังกล่าว ถือว่าเป็น สิ่งที่มี นักปรัชญาบางพวกสืบต่อไปเน้นเฉพาะใจ หรือผัสสะที่เกิดภายในของ จิต แย้งว่าสิ่งที่รับรู้ได้นั้น เป็น มโนภาพ หรือความคิด ของจิตที่ปรุงแต่งขึ้นมา (เช่นในวลี..I think, therefore I am ของเดค๊าทซ์) เกิดแนวคิดปรัชญาในเรื่องนี้คือ Idealism หรือ มโนภาพนิยม เน้นสิ่งที่มี "ภายใน" แยกออกมาจาก ปรัชญาของสิ่งที่มี "ภายนอก" คือ Materialism หรือ พวกสสารนิยม อันหลังเป็นวิทยาศาสตร์ที่เราเรียน กันในสิ่งที่มี ทางกายภาพหรือวัตถุ อันหลังเป็น วิทยาศาสตร์เชิงจิตวิทยา สิ่งที่มีภายในใจของคนเรา (ลองอ่านรายละเอียดในหนังสือของท่าน..นะครับ) สิ่งที่มี ..ของสถาปัตยกรรมรวมไว้ทั้งสองแนวทาง คือ อะไรที่เป็นสสาร หรือ matter และอะไรที่เป็น มโนภาพเกิดในใจ มีวิชาและแนวคิดในการออกแบบ เพื่อให้เป็น "สิ่งที่มี" เกิดขึ้นมากมาย เริ่มกันตั้งแต่ สิ่งที่มี ของวิทรูเวียส ที่คนแปลให้พวกเรารู้ว่า สถาปัตยกรรม คือ สิ่งที่มี ..ที่ต้องมีคุณลักษณะพร้อม ในสามอย่างคือ commodity firmness และ delight เป็นต้น (ควรไปตามอ่านใน "สรรพสาระทางทฤษฎี สถาปัตยกรรมตะวันตก" ของ ดร.ฐานิศวร์ เจริญพงศ์ ในเรื่องนี้ด้วย...นะครับ) ส่วนในธรรมะของพุทธศาสนา ความจริง หรือ สิ่งที่มี จะเป็นเรื่องพิศดารที่เหนือมิติวิชาการของโลก เพราะ จะละเอียดลึกซึ้ง จนคนส่วนมาก ไม่กล้ารู้ อาจกลัวจน หัวหด ก็ได้ เพราะ "สิ่งที่มี" แบ่งระดับการรับรู้ตาม สิติปัญญาของผู้อยากรู้ถึงสามระดับ คือระดับที่เป็นแบบ สมมุติบัญญัติ (ต่ำสุดที่เราเคยชินกัน) ระดับสองที่เป็น แบบสมมุติสัจจะ (เป็นเรื่องทฤษฎีที่ลึกซึ้งขึ้นหรือสัมมาทิฏฐิ) และระดับสูงสุดที่เป็น สิ่งที่มี แบบปรมัตถ์สัจจะ คือเป็น ความจริงสูงสุดที่ลึกซึ้งและสูงกว่า Ultimate Reality หรือ ความแท้จริงอันติมะของพวกนักปรัชญา Existentialism ทั้งหลาย (ต้องลองและมั่นศึกษาพุทธศาสนากัน..นะครับ) (.....ยังมีต่อครับ)
โดย เพื่อนอาจารย์ [11 ม.ค. 2546 , 16:15:30

ข้อความ 3
ลองทดสอบความรู้เรื่องนี้กันดู ..เป็นของกัลยาณมิตรทาง ธรรมของผมนะครับ ..ถ้าสนใจจริงจะแจ้งชื่อและแหล่งที่มา ให้ทราบ ..บันทึกนี้เกี่ยวกับเรื่องนี้จริงๆครับ ต้องอ่านกัน ด้วยสมาธิที่ตั้งมั่น ..แล้วตามไปรู้ในศัพท์ธรรมที่ไม่ได้บอกไว้ เริ่มกันเลยครับ.....(ผมขอใช้ตัวอักษรเน้นทั้งหมดนะครับ) โดยความจริงอันสูงสุด โดยความจริงแท้ๆ แล้ว(Absolute Truth หรือ 'ปรมัตถธรรม') สรรพสิ่งทั้งหลายทั้งปวงนั้น ไม่มีหรือไม่ใช่อะไรมากไปกว่า ๔ สิ่งต่อไปนี้ คือ (๑) จิต (๒) เจตสิก (๓) รูป (๔) นิพพาน จิตกับเจตสิกนั้นเป็นธรรมชาติที่จะเกิดร่วมกันดับพร้อมกันเป็นแต่ละ ขณะๆ ไป (คือจิตแต่ละดวงที่เกิด-ดับสืบต่อ จะมีเจตสิกเกิดร่วมกัน และดับไปร่วมกันเสมอ) บางครั้งก็จะได้ยินเรียกรวมกันว่าเป็น 'นาม' และนามหรือจิตกับเจตสิกนี้ ก็เป็น 'นามธรรม' รูปเป็นธรรมชาติอีกชนิดหนึ่ง รู้อารมณ์ไม่ได้ และมีสภาพเสื่อมสลายไป แตกดับไปอยู่ตลอดเวลา เช่นเดียวกันกับนาม รูปนี้ เป็น 'รูปธรรม' ทั้งจิต-เจตสิก-รูป เป็นธรรม (คือ เป็นสภาพธรรม เป็นสภาวธรรม เป็นธรรมชาติ) ฝ่ายโลกียะ (โลกียธรรม) ฝ่ายการเวียนว่ายตายเกิด ฝ่ายสังสารวัฏ ฝ่ายวัฏฏสงสาร เป็นธรรมฝ่ายทุกข์ ทั้งจิต-เจตสิก-รูป นี้ เกิดขึ้น-ตั้งอยู่-ดับไป สืบต่อกันไปเรื่อยๆ ตามแต่เหตุปัจจัย (คือ กิเลส-กรรม-วิบาก) (คำว่า 'วิบาก' ก็คือผล คือ ผลของกรรมนั่นเอง ส่วนคำว่า 'กรรม' นั้นแปลว่าการกระทำ กรรมจึงมีทั้งกรรมดี กรรมไม่ดีและกรรมกลางๆ หรือก็คือ กุศลกรรม อกุศลกรรมและอพยากตธรรม) กล่าวคือ เมื่อมีเหตุปัจจัยให้เกิด จิตกับเจตสิกนั้นๆ หรือรูปนั้นๆ ก็จะเกิด เมื่อหมดเหตุปัจจัย จิตกับเจตสิกนั้นๆ หรือรูปนั้นๆ ก็เสื่อมสลายดับไป แล้วก็จะมีจิตกับเจตสิกและรูปใหม่ๆ เกิดต่อเนื่อง เสมอไป กฏตายตัวของธรรมชาติทั้งปวงในวัฏฏสงสาร สรรพสิ่งสรรพสัตว์ทั้งปวงในวัฏฏสงสารหรือในธรรมชาติฝ่ายโลกียะ หรือในธรรมชาติฝ่ายทุกข์นั้น ล้วนตกอยู่ภายใต้กฏเหล็กแห่งธรรมชาติ กฏเหล็กนี้เป็นกฏธรรมชาติ ตายตัว ดิ้นไม่ได้ และปรากฏอยู่ตลอดเวลา ไม่ว่าจะมีพระพุทธเจ้ามาตรัสรู้คือได้เข้าไปเกิดปัญญารู้แจ้งแทงตลอด ธรรมชาติทั้งปวงอันรวมไปถึงกฏธรรมชาตินี้ด้วยหรือไม่ก็ตาม กฏเหล่านี้ก็ดำเนินอยู่ตลอดเวลาในโลก ในวัฏฏสงสาร ทำหน้าที่ อย่างเที่ยงแท้ที่สุด พระพุทธเจ้าทั้งหลายเป็นเพียงผู้เข้าไปตรัสรู้ หรือเข้าไปเกิดปัญญารู้แจ้งเห็นจริงเกี่ยวกับกฏนี้และเกี่ยวกับ ธรรมชาติทั้งปวง ทั้งยังทรงมีเมตตานำมาแสดงเปิดแผ่ให้สรรพสัตว์ ผู้มีปัญญาน้อย บารมีน้อย ไม่สามารถตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้าได้เอง ได้สามารถรู้เห็นประจักษ์ความจริงเหล่า กฏเหล็กเหล่านี้ ได้ด้วย ผ่านทางพระธรรมคำสั่งสอนและแนวทางปฏิบัติเพื่อการเกิดปัญญา สู่การพ้นทุกข์ที่ทรงให้ไว้นั่นเอง กฏธรรมชาตินี้ มีชื่อเรียกที่รู้จักกันทั่วไปว่า พระไตรลักษณ์ หรือ สามัญญลักษณะ คำว่า 'สามัญญลักษณะ' คือ ลักษณะที่มีเสมอกันหมดในธรรมชาติ (ฝ่ายโลก ฝ่ายโลกียะ หรือ ฝ่ายทุกข์) ทั้งปวง พระไตรลักษณ์ หรือ สามัญญลักษณะ มี ๓ ประการ คือ (๑) ไม่เที่ยง 'อนิจจัง' คือ ความเป็นของไม่เที่ยง ไม่คงทนถาวรอะไร (๒) เป็นทุกข์ 'ทุกขัง' คือ ล้วนคงทนอยู่ในสภาพเดิมตลอดไปไม่ได้ ต้องมีอันเสื่อมสลาย ต้องมีอันเปลี่ยนแปลงผันแปรหรือดับไป อย่างแน่แท้ (๓) ไม่ใช่ตัวตน ไม่ใช่ของๆ ใคร 'อนัตตา' กล่าวคือ ธรรมชาติฝ่ายทุกข์ทั้งปวงนั้น ไม่ใช่ตัวไม่ใช่ตนของใคร ไม่มีใครเป็นผู้สร้าง ไม่มีใครสามารถบงการ ชี้นิ้วหรือบังคับบัญชาให้เป็นอย่างนั้นอย่างนี้ได้เลย + + + + + + + + + + นี่เป็นแค่อธิบายแย้งปรัชญาของ Existentialism เล็กน้อยเท่านั้น (ลองเปรียบเทียบกับวิทยาศาสตร์ควอนทัมปัจจุบันด้วยนะครับ) เป็นไงบ้างครับ...ผมอยากสรุปไว้ว่า ธรรมะของพระพุทธเจ้า เป็นที่สุดของวิชาการทั้งหลาย ที่เกี่ยวข้องและเป็นประโยชน์ สำหรับชีวิตของมนุษย์ทั้งโลก ...ไม่ใช่แค่ จิตนิยม หรือวัตถุนิยม แต่สัมพันธ์กันเป็นองค์รวมของ ปัญญานิยม ..Wisdomism เมื่อเรามีปัญญาใหญ่ จิตใหญ่ สมองใหญ่ เรื่อง สิ่งที่มี ทางวิชา สถาปัตยกรรม ที่พวกเรากำลังศึกษาจะเป็นเรื่องง่ายที่จะรู้และเข้าใจ เพราะเป็นเรื่องของสิ่งที่มี (ซึ่งมักจะเป็นสิ่งไม่มี) ที่เล็กๆจิ๊บจ้อย ....จริงๆครับ
โดย เพื่อนอาจารย์ [11 ม.ค. 2546 , 16:17:33 น.]

ข้อความ 4
การมีอยู่จริงของความจริงเป็นเรื่องที่ไม่สามารถเข้าถึงได้ด้วยตรรกะ ซึ่งเป็นแนวทางของพุทธที่ให้เข้าถึงด้วยความรู้จากภายใน แต่การเข้าถึงความจริงตามตะวันตก มักตั้งสมมุติฐานแล้วใช้วลีหรือสัจพจน์เข้ามาอธิบายการมีอยู่ของความจริง
โดย lyo [15 ม.ค. 2546 , 05:09:17 น.]

ข้อความ 5
ผมได้อ่านหนังสือที่เพื่อนอาจารย์นำเสนอมาแล้วครับ แต่ที่ไม่เข้าใจก็คือแนวทางของลัทธิที่พยายามอธิบายสังคมและก่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลง หากเพื่อนอาจารย์มีหนังสือใดแนะนำช่วยชี้แนะด้วยครับ
โดย lyo [18 ม.ค. 2546 , 15:41:50 น.]

ข้อความ 6
ผมดูเหมือนจะเคยอ่านบทความ จุดเปลี่ยนความคิดของยุคสมัยอยู่บ้าง แต่ไม่ค่อยซีเรียดมากนัก ความคิด เลยมักหยิบโย่ง ไม่คอ่ยคงเส้นคงวาเท่าไร มีบทความที่มหาวิทยาลัยเที่ยงคืน นำมา เสนอในเว็บมาก เกี่ยวกับลัทธิละสังคม เช่น ทฤษฎีวิพากษ์(Critical Theory)ของกลุ่ม นักคิดแฟรงค์เฟริทสคูล ..ลองไปเลือกอ่านดู เข้าตรงของรายชื่อบทความได้ที่..url http://www.geocities.com/midnightuniv/articlepage1.htm ลองเริ่มที่บทความเพื่อเห็นภาพเคร่าๆก่อน แล้วค่อยเจาะไปที่รายละเอียดตามหนังสืออ้างอิง อาจช่วยสร้างกรอบรวมได้กว้างขึ้น การศึกษา อะไรนั้นผมมักใช้คติที่ว่า ..อย่าเชื่อและอย่าปฏิเสธ หรือหลักกาลามสูตรของพระพุทธศาสนานั่นแหละ การรู้จักตั้งคำถามแล้วสืบเสาะหาคำตอบ ถือเป็นลักษณะของนักปรัชญาแล้วนะครับ
โดย เพื่อนอาจารย์ [20 ม.ค. 2546 , 09:00:44 น.]


วันอังคาร, มกราคม 20, 2552

พิพิธภัณฑ์เด็กกับการเปลี่ยนแปลงของสังคมไทย



หายไปเกือบอาทิตย์ครับอาจารย์ผมไปดูพิพิธภัณฑ์เด็กของชาวบางกอกมาหลังจากที่ไปด้อมๆมองๆมาหลายที รู้สึกว่าถ้าเป็นเด็กกว่านี้คงจะรู้สึกสนุกมากกว่านี้(ตอนนี้แก่แล้วไม่สามารถที่จะปีนไปที่เครื่องเล่นได้ กลัวเด็กคนอื่นจะโทษว่าทำเครื่องพัง) ทราบมาว่าอาจารย์เคยเป็นที่ปรึกษาของงานวิทยานิพนธ์หัวข้อพิพิธภัณฑ์เด็กของนิสิตอยู่เหมือนกัน อยากรู้ว่าอาจารย์คิดเห็นยังไงกับสิ่งเราควรออกเพื่อเพื่อเด็ก..เช่นว่า...รูปทรงทางสถาปัตยกรรมอาจจะไม่จำเป็นต้องเป็นของเครื่องเล่นสีสันสดใสเท่านั้นที่จะทำให้เด็กรู้สึกสนใจเมื่อเด็กมอง...อาจจะออกแบบเป็นdeconstructionเพราะรู้สึกน่าสนใจกว่า....อะไรแบบนี้น่ะครับ ส่วนตัวแล้ว(ด้วยความด้อยทางปัญญาของผม)ผมคิดว่าในเรื่องของพื้นที่ภายในพิพิธภัณฑ์มันดูเรียบร้อยเกินไป(ผมมองในแง่การออกแบบแล้วนำไปสร้างจริงน่ะครับ)อาจจะด้วยงบประมาณหรือแง่ความสามารถของช่างก็แล้วแต่ ผมดูแล้วยังไม่สนุกเหมือนกิจกรรมข้างนอกที่เป็นกิจกรรมสันทนาการ อาจจะเพราะด้วยเป็นการจัดนิทรรศการที่อ้างอิงความเป็นสาระของหลักสูตรการเรียนการสอนเลยต้องการให้เด็กได้ความรู้มากกว่ากระมังในความเป็นจริงแล้วผมว่าน่าจะเป็นการออกแบบพร้อมกับพื้นที่ไปด้วย อยากให้อาจารย์ลองนึกถึงพิพิธภัณฑ์ guggenheim ที่ออกแบบโดย แฟรงค์ ลอย ไรด์ ที่คำนึงถึงความต่อเนื่องกันระหว่างการดูรูปกับการเดิน...ลักษณะอย่างนี้ผมอยากให้เกิดขึ้นกับการออกแบบสำหรับเด็กในบ้านเราครับ รบกวนท่านอาจารย์และท่านอื่นๆเสนอความเห็นด้วยครับ
โดย นกฮูก 33 [14 ต.ค. 2546 , 11:53:14 น.]

ข้อความ 1
ผมเพิ่งอ่านเรื่องการออกแบบด้วยจินตนาการ เข้าใจว่าจะเกี่ยวกับ scandinavian minimalist น่าสนใจดี และอาจเหมาะกับพิพิธภัณฑ์สำหรับเด็ก จะโพสต์ใส่ไว้ที่เว็บของผม ในอีกสองสามวันนี้ ลองไปอ่านดูนะ แล้วจะบอก url มาให้ทีหลัง นะครับ
โดย อาจารย์ [16 ต.ค. 2546 , 02:47:29 น.]

ข้อความ 2
ขอบคุณมากครับ อยากให้มีเวบที่รวมบทความแบบเวบอาจารย์อีกจังครับ
โดย นกฮูก33 [16 ต.ค. 2546 , 13:44:56 น.]

ข้อความ 3
ลองเข้าไปดูก่อนนะครับที่นี่...... http://www.anderssonart.com/texts/luennot/ottawa/ottawa1.html ฉบับบแปลยังอัปโหลดลงไปไม่ได้ เนื้อหาเป็นการเสนอความคิดในการออกแบบเน้นเรื่องราว (text) ซึ่งมัก เป็นนิยายที่ได้จากสถานที่ แล้วสร้างรายละเอียด ในส่วนอาคารต่างๆให้ตอบสนองเรื่องนิยายนั้นๆ รูปทรงเลือกเอาจากธรรมชาติ หรือสิ่งของที่ คุ้นๆในวัฒนธรรมของสังคมนั้นๆ เป็นงานที่ รวมเอาศิลปินและสถาปนิกทำงานร่วมกัน เน้นที่ศิลปะประยุกต์เป็นสำคัญ ผมว่า น่าจะเหมาะกับ พิพิธภัณฑ์เด็ก นะครับ
โดย อาจารย์ [16 ต.ค. 2546 , 20:15:52 น.]

ข้อความ 4
พอดีกำลังทำทีสิสนี้อยู่ค่ะ ก็ได้ไปคุยกับพี่ๆที่พิพิธภัณฑ์ ที่คุณพี่นกฮูกบอกเรื่องพื้นที่ ก็เห็นด้วยค่ะ ว่าเหมือนออกแบบแยกกัน ระหว่างอาคารกับนิทรรศการ พี่ที่พิพิธภัณฑ์เค้าก็บอกว่า ต้องมาปรับเปลี่ยนเยอะอยู่ แต่มันก็เป็นข้อดีอย่างนึงนะคะ ที่อยู่ชั้นไหนก็มองเห็นกันได้ ทำให้เค้าไม่มีปัญหาเรื่องความปลอดภัยนัก จะมีก็พวกมุมบันไดแหลมๆที่ต้องเอานวมหุ้มไว้ ส่วนเรื่องชุดนิทรรศการที่พี่นกฮูกพูดถึง ได้ยินแล้วพี่อาจจะตกใจ เพราะพี่ที่พิพิธภัณฑ์เค้าบอกว่า ก็สถาปนิกนี่แหล่ะที่เป็นคนคิด ออกแบบ แต่มีน้อยคนเหลือเกิน ประมาณว่าในเมืองไทยนี้ยังไม่ค่อยมีใครทำหน่ะคะ แบบใช่ว่าจะออกแบบเฉยๆเหมือนใครๆก็ทำได้ แต่ออกแบบแล้วเล่นได้จริงรึปล่าว สร้างได้จริงรึป่าว ช่างทำได้รึป่าว มันก็น่าแปลกใจนะคะที่ไม่ค่อยมีคนทำงานนี้เหรอ หรือหนูแปลกใจอยู่คนเดียว... แต่จริงๆแล้วตอนหนูไปเล่น ก็สนุกดีนะคะ
โดย เด็กในกลุ่มอาจารย์ [21 ต.ค. 2546 , 18:02:36 น.]

ข้อความ 5
คุณเด็กในกลุ่มอาจารย์ครับ ผมว่าบางทีสถาปนิกเราก็ไม่มีโอกาศออกแบบลงลึกถึงรายละเอียดได้ทุกๆจุดดังนั้นเราจึงน่าจะออกแบบให้ตัวอาคารสอดคล้องกับตัวชิ้นนิทรรศการในทีเดียวเลยเพื่อเป็นแนวทางให้คนอื่นๆที่เป็นมืออาชีพพอจะสานต่อความคิดได้แต่ก็เหมือนปัญหาโลกแตกน่ะครับยิ่งทำงานกับหลายคนยิ่งมีปัญหาตามมามากมาย.....กรณีพิพิธภัณฑ์เด็กผมไม่กล้าฟันธงว่าทางผู้ออกแบบเขาคิด/ไม่คิดเรื่องพวกนี้บางทีเขาอาจจะเจตนาดีว่าอยากให้เด็กที่เข้าไปแล้วรู้สึกเหมือนบ้านที่เขาอาศัยอยู่ก็เป็นได้......คิดแล้วเป็นใบ้ครับไม่รู้จะไปบอกใครต่อ..แต่ยังไงก็ขอบคุณครับที่แสดงความเห็น ถามถึงวิทยานิพนธ์บ้าง ตอนนี้ทางคุณถึงไหนแล้วครับ ถ้ามีโอกาศอยากจะขอความร่วมมือทางข้อมูลและเรื่องอื่นๆด้วยจะเป็นพระคุณอย่างยิ่ง..แหะ แหะ เพราะตอนนี้ผมเข้าขั้นวิกฤตแล้วครับผม ap_arch@hotmail.com ปล.อาจารย์ครับเวบที่อาจารย์linkมาให้คงมีปัญหาอะไรซักอย่างแน่ๆเลยครับผมเข้าไปดูไม่ได้
โดย นกฮูก33 - [24 ต.ค. 2546 , 16:01:59 น.]

ข้อความ 6
มาแวะถามอีกทีครับว่า มีหนังสืออะไรน่าสนใจเกี่ยวกับเด็ก+การออกแบบสำหรับเด็กมั่งครับ ตอนนี้อ่านเรื่อง มิติที่ซ่อนอยู่สำหรับเด็กที่อาศัยอยู่ในบ้าน ของอ.กวิน อยู่น่าสนใจมากครับ
โดย นกฮูก33 [24 ต.ค. 2546 , 17:47:57 น.]

ข้อความ 7
ผมเพิ่งลองเข้าไปอีก ...ก็ได้นี่ครับ ยังไงลองไปอ่านเรื่องแปลในเว็บผมนะ ในหัวข้อเรื่อง สถาปัตยกรรมจินตนาการ ส่วนเรื่องสถาปัตยกรรมพอเพียง กำลังเพิ่มเรื่องของ Ando และ Pawson คงเปลี่ยนเติมในเว็บได้เร็วๆนี้....นะครับ ผมไม่แน่ใจว่าเป็นโครงการเดียวกัน กับที่เคยเห็นที่บริเวณสวนจตุจักร ถ้าใช่พิพิธภัณฑ์เด็กที่พูดถึงกัน ผมว่าก็งั้นๆแหละครับ เป็นจินตนาการของผู้ใหญ่มากกว่า ผมคิดว่า จะเป็นสถาปนิกให้ดี ต้องกล้าและใจถึง คิดแปลกแยกให้ได้ บางทีเรียนเป็นสถาปนิกจากโรงเรียน มันทำให้จินตนาการที่เคยมีฝ่อลง ดูอย่าง Ando ไม่เคยเรียนและรับรู้อะไรจากสถาปนิกอื่น เลยกล้าคิดกล้าทำจนสถาปนิกอื่นเห็นแล้วอ้าปากค้างกันทั่ว กรณีเช่นนี้ทำให้ผมแน่ใจว่า ระบบการศึกษาสถาปัตยกรรมต้องทบทวนวิธีการสอนทั้งหมด ไม่งั้นก็น่าจะเลิกเรียนเลิกสอนกันไปเลยนะ
โดย อาจารย์ [26 ต.ค. 2546 , 23:27:54 น.]

ข้อความ 8
เห็นด้วยอย่างแรงครับอาจารย์ ที่ผมวิจารณ์ตั้งแต่ต้นคือพิพิธภัณฑ์เด็กที่อาจารย์เห็นนั่นแหละครับ คือว่าผมเคยได้ยินมาจากหลายคนครับ ว่าสถาปนิกที่เก่งที่สุดคือสถาปนิกที่ไม่ดูแมกกาซีน(magazine)จริง/ไม่จริงมิอาจทราบได้ แต่เท่าที่เรียนมา(จนแก่)ผมสังเกตุปรากฎการณ์บางอย่าง กับนักศึกษาสถาปัตยกรรม(เท่าที่ได้เคยเห็นงานในคณะนะครับ)งานที่คนออกแบบบอกว่าฉีกแล้วหลุดออกจากกรอบเดิมๆแล้วแต่ไม่รู้ทำไมยังมีกลิ่นอายของmagazine architectหลายคน(เช่น ปีเตอร์ ไอเซนแมน,ริชาร์ด ไมเออร์,ซาฮ่า ฮาดิด,ทาดาโอะอันโดะ)ถึงแม้ว่าจะถามผู้ออกแบบแล้วว่าลอกมารึเปล่าก็ได้คำตอบที่น่าพอใจว่าไม่ได้มาจากการลอกงานแน่ๆ..แต่เหมือนกับว่าบางทีสิ่งที่เราคิดว่ามันเป็นoriginalแล้ว แต่กลับมีคนที่คิดมาก่อนเรา(ตั้งนานแล้ว)อันนี้ไม่แน่ใจว่าผมด่วนตัดสินคนอื่นเกินไปรึเปล่า.....แต่เวลาคนอื่นบอกผมว่าเหมือนงานของคนโน้นคนนี้ผมก็รู้สึกแบบนี้ทุกครั้งเลยครับ
โดย นกฮูก33 [27 ต.ค. 2546 , 00:49:29 น.]

ข้อความ 9
เผอิญ ตั้งใจจะไปโหลดบทความแปลที่รวบรวม มาจากเว็บต่างๆ ที่เกี่ยวกับ mimimalist architecture โดยเฉพาะงานของ ando และ pawson แต่ยังขัดข้องอยู่ พอมาอ่านที่คุณนกฮูกคุยมา เลยขอโม้ต่อ ผมไม่แน่ใจว่า เราจะปิดรับการรับรู้เรื่องภายนอก จากสื่อ โดยเฉพาะหนังสือที่อวดงานของสถาปนิกต่างๆได้หรือไม่? การที่ถูกต่อว่า ว่างานของเราไปคล้ายกับงาน ที่โน่นที่นี่ ที่พวกเขารับรู้มา แม้เราไม่เคยเห็นก็ตาม ผมว่าอาจเป็นเพราะเราไม่เห็นมาก่อนก็ได้ เราเลยเสียเวลาเริ่มทำในสิ่งที่อาจมีคนอื่นทำมาแล้ว ผู้รู้เรื่องใดลึกซึ้งนั้น เขาต้องศึกษางานของคนอื่นมาก่อน สิ่งที่เหมือนในสิ่งที่ตนเองสนใจด้วยนะครับ ไม่งั้นจะสืบ ความรู้เรื่องนั้นๆไปไม่ได้ โดยสรุป ผมว่าเราต้อง ดูงานคนอื่นในหนังสือต่างๆเหมือนกัน เพียงแต่อย่าไปติดยึดในทั้งหมด อย่าเลือกเอา application ที่เขาตีความมาใช้ทั้งหมด สิ่งที่ควรกระทำ คือศึกษางานของเขาให้ลึกซึ้ง ว่าฐานความคิด ของเขาเหล่านั้นมาจากแหล่งไหน เช่น บน ฐานปรัชญาอะไร แล้วเราไปศึกษาที่ต้นตอของแหล่งนั้น การตีความในงานสถาปัตยกรรมของเรา ก็ อาจไม่เหมือน application ของเขาก็ได้ อย่างเช่นที่ผมคิดจะทำคือ การศึกษาเรื่อง minimalist architecture ซึ่งผมขอใช้คำว่า สถาปัตยกรรมพอเพียง ผมคิดว่า แนวคิดนี้ มาจากปรัชญาตะวันตก ของ reductionst philosophy เรื่องแนวคิดของความสันโดษ ""ทีนี้เราลองศึกษา เปรียบเทียบกันดูกับปรัชญาตะวันออก โดยเฉพาะ ปรัชญาทางพุทธศาสนา ซึ่งเราพอมีตำราหาอ่านได้ง่าย หรือไม่ก็นิกายพุทธอื่น เช่น ลัทธิเซน เราก็อาจ สร้างปรัชญาความพอเพียงของเราเองได้ แล้วก็สามารถนำไป apply กับแนวคิดทางสถาปัตยกรรมของเรา บางทีงานออกแบบของเรา ก็จะเป็นสิ่งใหม่ ให้ผู้อื่นสนใจก็ได้นะครับ ผมสังเกตว่า การเรียนรู้ของเรา ยังเกี่ยจคร้าน ที่จะสืบสาวหาต้นตอ แล้วสร้างองค์ความรู้ในเรื่องใด เรื่องหนึ่งให้เป็นของเราเองล้วนๆ งานออกแบบของพวกเรา เลยไม่ดัง หรือเป็นที่ประหลาดใจกับผู้อื่นได้มากนัก การเรียนรู้เพื่อให้ผู้เรียนบูรณาการความรู้ทั้งหลาย ให้เป็นองค์ความรู้ของผู้เรียนแต่ละคนให้ได้นั้น เป็นภาระและเป้าหมายที่สำคัญสูงสุดในวงการศึกษาบ้านเรา ภาระนี้เป็นของทุกๆคน ไม่ว่าจะเป็นศิษย์ หรือาจารย์ ....นะครับ
โดย อาจารย์ [29 ต.ค. 2546 , 15:12:12 น.]

ลองอ่าน,,Minimalist & Imaginative architecture

ในบล็อกนี้....ทบทวนดูนะ....โดย อาจารย์

วันพุธ, เมษายน 23, 2551

การเมืองกับสถาปัตยกรรม

สวัสดีปีใหม่ไทย(สงกรานต์)ล่วงหน้าอาจารย์นะครับ แล้วขออนุญาติรดน้ำดำหัว(ไม่รู้ว่าใช่คำผิดหรือเปล่า) อาจารย์ผ่านทางเว็บบอร์ดนี้ล่วงหน้าเลยนะครับ เพราะผมคงต้องกลับบ้านต่างจังหวัดอาจจะไม่ได้ใช้อินเทอร์เน็ตไปอีกสักระยะเลย ขอให้อาจารย์มีสุขภาพแข็งแรง อยู่เป็นที่ปรึกษาให้กับลูกศิษย์ลูกหา นานๆนะครับ

เข้าเรื่องดีกว่า

ไม่มีอะไรมากครับอาจารย์ อยากถามอาจารย์เล่นๆไว้ประดับความรู้ว่า....

อาจารย์คิดว่าที่ว่างในทางสถาปัตยกรรมนี่มันช่วยสงเสริมอำนาจบารมีให้กับผู้ใช้หรือเปล่าครับ คือลองคิดว่า ถ้าเราทำที่ว่าง ที่ว่างนึงให้คนไปชุมนุมประท้วงขับไล่(รักษาการ)นายก อาจารย์คิดว่าที่ว่างแบบไหนจะส่งเสริมให้กลุ่มผู้ชุมนุมมีพลังในการขับเคลื่อนมาก

หรือในทางกลับกัน ถ้า(รักษาการ)นายก ออกไปหา(ซื้อ)เสียง ที่ว่างแบบไหนที่ท่านจะสามารถพูดแล้วผู้คนเชื่อถือได้มากที่สุดครับ

แล้วก้ออีกว่าในสถานการ์บ้านเมืองแบบนี้ ที่ว่างแบบไหนที่ทำให้จิตใจคนไทยเย็นลงบ้างครับ ที่ๆนึงที่ผมคิดก้อคือ วัดแน่ๆ เพราะขนาดสนธิเข้าไปพูดในวัด พลังความเชื่อถือก้อเพิ่มมากขึ้นกว่าที่พูดข้างนอก เอ...มันเกี่ยวกับที่ว่างหรือสถาปัตยกรรมมั้ยครับ หรือมันเป็นเพราะคน
ก้อเลยอยากยกประเด็นนี้มาขอความเห็นจากอาจารย์นะครับ

ขอบคุณครับ โดย เด็กตึกแถว(เพิ่งฟื้นคืนชีพ) [28 มี.ค. 2549 , 10:56:08 น.]

ข้อความ 1

ขอขอบคุณในไมตรีจิตที่เรายังคงมีเหมือนเดิม

เพราะช่วยส่งเสริมให้ครูแก่ๆมีความสุขมากขึ้น เมื่อใดที่ได้ทราบว่ายังมีศิษย์หรือเพื่อนเก่ายังคิดถึงกันอยู่

มุทิตาจิตหรือพรใดที่เราส่งให้ผู้อื่น พระท่านบอกว่า มันมักส่งต่อกลับมาที่ตัวของเราเองเช่นกัน...ครับ

เรื่องที่คุยมา คือ...ที่ว่าง vs. พฤติกรรม(ทั้งทางกายและใจ) เป็นเรื่องที่น่าสนใจและน่าตรึกตรองสำหรับสถาปนิก อย่างยิ่ง

ผมเคยได้ยินคำสัมภาษณ์ของคนที่เคยทำงาน ในบริษัทชินคอร์ปคนหนึ่งพูดเรื่องที่ว่างในเชิงความ สัมพันธ์กับวิสัยทัศน์ในการทำงาน เขายกย่องคุณทักษิณ ว่าเป็นนายผู้ให้ที่ว่างทางความคิดแก่เขามาก จึงทำให้ เขานั้นมีความสุขในการทำงานอย่างยิ่ง เมื่อใดที่เขาใช้ที่ว่างนี้ หมดไปแล้ว เขาก็จะไปค้นหาเจ้านายใหม่อื่นที่ให้ที่ว่างมากกว่าต่อๆไป

ที่ว่างในเชิงทางความคิดนี้ เป็นประเด็นที่น่าสนใจ สำหรับอาชีพสถาปนิกนะครับ เช่นถ้าเราเจอครูที่ให้พื้นที่ว่างทางความคิดแก่ศิษย์มากๆ ศิษย์ส่วนมากก๊อาจมีความสุขในการเรียนมากขึ้น เช่นเดียวกัน ถ้าเราให้ที่ว่างมากพอกับคนที่ทำงานในสำนักงานสถาปนิกของเรา ลูกน้องเราก็น่าจะมีความสุขและสนุกในการทำงานช่วยเรา...นะครับ

ส่วนที่ว่างในเชิงปฎิสัมพันธ์ทางกายภาพ พวกเราคุ้นๆกันอยู่ เมื่อใดที่เกิดความพอดี ที่ว่างกายภาพนั้นก็เป็นคุณ ไม่ว่าจะเป็นที่ว่างเพื่อการชุมนุมหรือที่หาเสียงของนักการเมือง ..เช่นที่ว่างพอดีในระยะที่ยกมือไหว้หาเสียงแล้ว ชาวบ้านมองเห็นท่วงที่ที่น่าร๊าก..น่าสงสาร เป็นต้น

ความพอดี(ขนาดและจำนวน)ของที่ว่างในแต่ละกิจกรรมทั้งทางกายและใจ เป็นเรื่องที่สถาปนิกต้องแสวงหาอย่างไม่มีที่สิ้นสุด ตราบใดที่ยังมีอาชีพนี้ แต่..พึงอย่ามองข้ามภาษิตโบราณ ที่ว่า...คับที่อยู่ได้..คับใจอยู่บ่ได้...นะนาย

เหตุการณ์ทางการเมืองที่เกิดขึ้นในการชุมนุมเร็วๆนี้ ผมคิดว่าเรามีพัฒนาการเรื่องที่ว่างไม่แพ้ต่างชาติ คือเรามีความสมบูรณ์ทั้งทางกายภาพและจิตใจ(ทางความคิด) เช่น เวทีที่ใช้ประกอบการชุมนุมเพื่อให้ข่าวสารข้อมูลและบันเทิง ถ้าให้สาระของที่ว่างมากๆ(ข้อมูลที่เราไม่ทราบมาก่อน)คนมาชุมนุมก็จะมีมากขึ้น เช่นเดียวกัน กับการเปิดที่ว่างทางกายภาพรองรับให้พอดีกัน ลองนึกภาพถ้ามีเวทีห่วยๆไม่โก้มโหฬาร ผมว่า การชุมนุมน่าจะกร่อยและมีคนโหรงเหรงแน่นอน

เวทีชุมนุมทางการเมืองเดี๋ยวนี้....จึงต้องดูมโหฬารไม่ให้แพ้เวทีคอนเสริตพี่เบิร์ด...ด้วยประการฉะนี้แล

ผมโม้คุยมาเท่าที่จะคิดได้ตอนนี้ เรื่องที่คุณถามมา สามารถใช้ทำวิทยานิพนธ์ระดับปริญญาเอกได้..นะครับ

มีบทความของนิสิตสถาปัตย์ระดับ เอกในเรื่องที่ว่าง ที่เผยแพร่ในมหาวิทยาลัยเที่ยงคืน คุณลองไปหาอ่าน(ในหมวดรวมบทความ)ดูเพิ่มเติม...นะครับ

โดย เพื่อนอาจารย์ [10 เม.ย. 2549 , 01:22:16 น.]

ข้อความ 2

ขอบคุณอาจารย์มากครับ แต่ลองไปหาที่มหาวิทยาลัยเที่ยงคืน ไม่เจอหมวดนั้นอ่ะครับ มันต้องเป็นสมาชิกเว็บบอร์ดหรือเปล่าครับ ถึงจะเข้าไปได้ เพราะผมเจอแต่หัวข้อ 900 กว่าหัวข้อ ก้อพยายามศึกษา แต่เยอะเหลือเกินครับ

โดย เด็กตึกแถว [25 เม.ย. 2549 , 02:36:08 น.]

ข้อความ 3

ที่รวมบทความ http://www.geocities.com/midnightuniv/articlepage1.htm
หน้าหลัก http://www.geocities.com/midnightuniv/index.htm
ขอให้มีความสุขในการอ่านและศึกษา...นะครับ

โดย เพื่อนอาจารย์ [4 พ.ค. 2549 , 11:49:34 น.]

ข้อความ 4

อยู่ที่ลำดับ..123...ชื่อ..สถาปัตยกรรมปกติและที่ว่างที่ผิดปรกติ http://www.geocities.com/fineartcmu2001/newpage23.html

แรงบันดาลใจสู่พื้นที่ว่างทางสถาปัตยกรรม

การที่จะสร้างสิ่งหนึ่งสิ่งใด ให้เกิด ตั้งอยู่ แล้วดับไป ทุกอย่างล้วนแล้วแต่เกิดขึ้นจากสิ่งที่อยู่ภายในใจ แรงบันดาลใจสามารถสร้างสิ่งต่างๆให้เกิดขึ้นมากมายอย่างคาดไม่ถึง คุณมีความคิดอย่างไรกับการสร้างพื้นที่ว่างทางสถาปัตยกรรมจากแรงบันดาลใจ เชิญแสดงความเห็น


โดย ผู้ใคร่รู้ - [5 ส.ค. 2548 , 15:57:44 น.]

ข้อความ 1

คำถามยอด..ยาก..เพราะกำกึ่งกับเรื่องโลกุตระกับโลกียะ เรื่องของการออกแบบสถาปัตยกรรม สาระคือ.. ทำให้แรงบันดาลใจที่เป็นนามธรรมล้วนๆ ให้ปรากฏ ออกมาเป็นรูปธรรมของสถาปัตยกรรมที่จับต้องได้ ..ก็แค่นี้เอง ส่วนแรงบันดาลใจหรืออุปทานภายในของใครจะมากจะน้อย อย่างไรไม่ใช่ประเด็นการออกแบบ มีมากสวยหรูแต่ออกมาไม่สมเจตนาก็เยอะ มีน้อยแต่ออกมาเลอะๆเทอะๆก็มาก

มีแนวคิดเรื่องที่ว่างในทำนองอิงพุทธปรัชญา เช่น เซ็น มีสถาปนิกฝรั่ง เช่น มีส หรือพวกกลุ่มเมตาโบลิซึ่ม พยายามทำกันมาในยุคก่อนๆ..วัดพุทธนิกายเซ้นในญี่ปุ่น....ก้อมีแล้ว โดยส่วนตัวก็มีแรงบันดาลใจในเรื่องนี้อยู่บ้าง เช่น อยากศึกษาเรื่องสถาปัตยกรรมพอเพียง หรือ minimalism อิงหลักพุทธ(ที่ผมยังรู้แบบงูๆปลาๆขณะนี้)

แต่...แนวคิดทำนองนี้ ไม่น่าขายได้ในยุคทุนนิยมสุดๆขณะนี้หรอกครับ ..ก็แค่คิดแบบคนแก่ใกล้ตาย...เอามันเท่านั้น ไม่อยากแนะนำคนอื่น ซึ่งมีอุปทานมากน้อยต่างกัน อันเป็นไปตามกรรมของแต่ละคน โดยเฉพาะอย่างยิ่ง การเอาเรื่องสมมุติธรรมมาปนเปกับปรมัติธรรม มันจะยุ่งเหยิง และหาคำตอบคนละคำถาม....ไม่ได้หรอกครับ คิดไปบอกไป ก็เป็นการโม้หรือเพ้อเจ้อไปปล่าวๆ...นะครับ

โดย ผู้ยังไม่รู้ [7 ส.ค. 2548 , 11:21:51 น.]

รูปแบบชีวิต
อาจารย์เคยคิดไหมคะ ว่าทำไมชีวิตคนเมืองทุกคนถึงดูเป็นรูปแบบขนาดนี้ เกิด เรียนๆๆๆ จบแล้ว ทำงานๆๆๆๆ ออฟฟิศบ้าง งานตัวเองบ้าง พอมีฐานะ ก็แต่งงาน สะสมเงินทอง มีลูกหลาน แก่ ตาย... ทำไมมันถึงดูเป็นรูปแบบเดียวกันหมดคะ หรือว่ามันเป็นไปตามที่เคยมีคำสอนไว้ ว่าวัยไหนต้องทำอะไร หรือหนูคิดมากไปเอง...

โดย ฮาฮา [26 เม.ย. 2548 , 21:03:59 น.]

ข้อความ 1

คนเราเกิดมาแล้วต้องดำเนินชีวิตกันไปทุกคน จนกว่าจะถึงวันตาย แล้วก็เกิดเวียนเทียนต่อไป รูปแบบคงต้องมีความคล้ายคลึงกันตามวัยเพื่อ ความอยู่รอดปลอดภัย ...เหมือนๆสัตว์พันธ์อื่นๆ คน"ไม่ธรรมดา" มักมีความต่างกันในรูปแบบ เช่นพระพุทธเจ้า...ไม่ธรรมดา อยู่ดีๆไม่ว่ากลับ เปลี่ยนรูปแบบการดำเนินชีวิตเสียนิ..ต่างจาก วรรณะกษัตริย์ที่เคยเป็น อีกตัวอย่าง ที่อยากขอ..พระบรมราชานุญาต เอ่ยพระนาม คือ..สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯของเรา โลกของมนุษย์ทุกวันนี้ ต้องการความหลากหลายของ การดำเนินชีวิตกันมาก ..คนที่จะเลือกสร้างความหลากหลายได้ ต้องเป็นคน"ไม่ธรรมดา" คุณคิดจะเป็นไหมล่ะ ส่วนผมอยากลองเมื่อแก่...คือจากเคยหลอกเป็นอาจารย์มาแล้ว จะลองหลอกไปเป็นตาแก่...ขายกาแฟ..ดูบ้าง เพื่อส่งเสริมความหลากหลายของการดำเนินชีวิต ไงล่ะ...ครับ

โดย อาจารย์ ...ฮิฮิ [28 เม.ย. 2548 , 17:40:51 น.]

ข้อความ 2

หนูอยากเป็นคน "ไม่ธรรมดา"บ้างจังคะ แต่บางทีสังคมกับสิ่งแวดล้อมก็ทำให้หนูดำเนินชีวิต เป็นคน "ธรรมดา" จะแอบ"ไม่ธรรมดา" ก็บ้างในเวลานอกของตัวเอง ตอนนี้เพิ่งเรียนจบมา ก็ต้องสมัครงานหางานทำ อย่างคน"ธรรมดา" หรือกว่าที่หนูจะเป็นคน"ไม่ธรรมดา" ก็ต้องเมื่อหนูถึงจุดที่อยากทำไรก็ได้คะ... ทุกวันนี้ก็ยังไม่ได้ทำงาน เพราะอยาก "เป็นคนไม่ธรรมดา" อย่างที่ตัวเองพอใจ เพราะอยากทำงานที่ตัวเองรักจริงๆ... เลยยังไม่ได้ทำงานเลยคะ.... โอ้ว กว่าที่ใครสักคนจะรู้ว่าตัวเองรักที่จะทำอะไร บางทีหนูก็อิจฉาคนที่มีฝันที่ตัวเองอยากทำจริงๆ บางทีเห็นคนนั่งทำดนตรีที่ตัวเองรัก หนูยังอิจฉาเลยคะ เมื่อไรหนูจะเจอบ้าง พยายามลองไปเรื่อยคะ...อยากเจ้ออยากเจอ

โดย ฮาฮา [28 เม.ย. 2548 , 19:13:21 น.]

ข้อความ 3

ลองหาเวลาทบทวนดู...บ่อยๆ...อาจเจอ มันเหมือนเจอแฟนแล้วรู้สึก...ปิ้ง.. ปิ้งมาก...ปิ้งนาน ก็แสดงว่าเราชอบเข้าแล้ว ร่างกายก็หลั่งสารเอ็นโดฟิลออกมา มันช่างสุขนี่กระไร คนเจริญภาวนาถึงขั้น ก็จะเกิดปิติกับสมาธินั้นเหมือนกัน พระท่านเตือนว่า แต่ต้องพิจารณาต่อไป เพราะปิติ นั้นเป็นอนิจจังเหมือนกัน แต่สำหรับปุถุชนอย่างเราๆ ต้องเริ่มทำสมาธิก่อน แล้วจึงค่อยปล่อยวาง ...เพื่อปิติในขั้นสูงต่อๆไป การงานที่เราต้องเริ่มทำ...ก็เหมือนกัน หาก เจองาน นายจ้าง ฯลฯ ที่ทำให้เรา...ปิ้ง...ก็ถือเป็นการ เริ่มต้นชีวิตการงานที่ดีแล้ว ...ถ้าไม่ปิ้ง...ก็อย่าดัน ทุรังเพราะอยากได้เงิน เพราะอาจเจอทุกข์ใจเอาได้ด้วย การจะไม่เป็น "ธรรมดา" นั้น ก็เหมือนการ พิจารณาสุขที่เราพบแรก แล้วก็เจริญขึ้นต่อๆไป ว่างๆลองไปเยี่ยม.. http://kannikar.bravehost.com/arjarncha/cha1.htm ที่ผมทำไว้ให้เพื่อนๆร่วมรุ่นที่กำลังใกล้เข้าโรง กันแล้ว .....นะครับ ป.ล.กำลังปรับปรุงให้วิดีโอชัดขึ้น...เร็วๆนี้ครับ

โดย อาจารย์...แฮะ..แฮะ [30 เม.ย. 2548 , 00:59:56 น.]

ข้อความ 4

ขอบคุณมากคะ อาจารย์ ฮิ ฮิ แฮะแฮะ

โดย ฮาฮา [30 เม.ย. 2548 , 19:52:42 น.]

วันพฤหัสบดี, กุมภาพันธ์ 21, 2551

บันทึกที่เคยโม้..ของเพื่อนอาจารย์


เวลา..ของเพื่อนคนหนึ่ง.. อ.สมสิทธิ์ นิตยะ หมดลงในเทศะนี้แล้ว สิ่งที่หลงเหลือคือ ..สัญญา ..ในความทรงจำ เคยพานพบกันมา ..จู่ๆ ..ต้องห่างหายจากไป ทำให้นึกถึงบทกวีของใครบางคน ..เอ่ยถึง "ใบไม้ที่หายไป" เพราะต่างเคยประดับ เป็นใบชูชัน เสียดสี ทับเกย อวดสร้าง สีสรร ร่วมกันบนต้นไม้หนึ่ง..ในชุมชนสถาปัตยกรรม พลันเกิดช่องว่างของใบไม้ที่เหลือคาต้น ..ให้อ้างว้าง เดียวดาย ..แล้วอีกไม่นาน ทุกๆใบก็ต้องร่วงลงเช่นกัน .. เวลาของมวลใบไม้..ในเทศะนี้...มันช่างมีกันน้อยจริงๆ

โดย เพื่อนอาจารย์ [19 พ.ค. 2546 , 09:39:43 น.]


ฝากให้..ไทแมน ลองพิจารณาดู...นะครับ

ความงามกับการพัฒนาทางจิตวิญญาณ

ในความจริงมีความงาม ถ้าเข้าถึงความจริงของสรรพสิ่ง ก็จะประสบความงาม การประสบความงามทำให้เกิด ความสุข ในธรรมชาติของสรรพสิ่งมีความงามอยู่ทั่วไป ความสุขที่ได้สัมผัสกับความงาม พัฒนาจิตใจให้สูงและ เจริญขึ้น ..ความงาม ๑๐ ประการที่ประสบได้ในวิถีชีวิต

๑. ความงามของธรรมชาติและปรากฏการณ์ทางธรรมชาติ

๒. ศิลปะ เป็นความงามที่มนุษย์สร้างขึ้นควร เพื่อการลดกิเลส

๓. ความงามในงาน งานที่ทำอย่างประนีต ให้เกิดประโยชน์สำเร็จ

๔. ความงามในความรู้ รู้จริงรู้ทั่วรู้การเชื่อมโยงด้วยกันทั้งหมด

๕. ความงามของจิตใจ พัฒนาให้เจริญในพรมวิหารธรรม

๖. ความงามในวาจา ด้วยปิยวาจา ความจริง วจีสุจริต

๗. ความงามในการกระทำ ไม่เบียดเบียน มีศิลเป็นความงาม

๘. ความงามในความเป็นชุมชน การรวมตัวเอื้ออาทรกันตามโอกาส

๙. ความงามในสัญลักษณ์ทางศาสนา ส่งเสริมให้คุณค่าคำสอน

๑๐. ความงามในสติ(ศีล) สมาธิ และปัญญา เพื่อพัฒนาสู่สังคมแห่งความรู้

เรื่องงานของรัฐฯขณะนี้ ถ้ามองกันในแง่บวก ก็ต้องกล่าวว่าเป็นการสร้างขวัญกำลังใจ อย่าถือว่าจะเป็นเรื่องจริงจัง ที่ว่า "ท่าน" จะทำให้ความยากจนหายไปจากเมืองไทย ภายในหกปี ...เมื่อมีคนที่สมมุติว่ารวย ก็ ย่อมมีสมมุติว่าจนควบคู่กันไปเสมอแหละ ต้องยอมรับว่า "คนไม่รู้" ยังชอบความหวัง ลมๆแล้งๆกันอยู่เสมอ มักใช้เป็นยากล่อม ประสาททางใจ ไม่ต่างกับยาบ้าทางกายนัก เผอิญ..ยังไม่ถึงเวลาของอนาคต ที่จะมีใคร ฆ่าตัดตอนคนขายความหวังลมๆแล้งขณะนี้

การไม่ต้องติด "ยา" แบบนี้ มีทางเดียวที่แก้ คือสร้างความคิดที่เรียกว่า "สันโดษ" เท่านั้น คือหมายถึงความสุขในสิ่งที่ตนมี ซึ่งตรงข้ามกับ ความไม่สันโดษ คือความสุขในสิ่งที่ตนไม่มี แต่ ผู้มี "ปัญญา" นั้นต้องไม่สันโดษในการค้นหา ความ "เป็นจริง" ของโลกที่เป็นของเราขณะนี้ เช่นเดียวกับพระสัมมาสัมพุทธเจ้า "ครู" ที่ยิ่ง ใหญ่ของพวกเรา (ทุกศาสนา) ที่ไม่ยอมสันโดษ กับสิ่งที่ท่านบรรลุคือ "ฌาน" หรือเช่นความรวย ของคนที่แสวงกันอยู่ทุกวันนี้ ทั้งๆที่เป็นสุขที่ไม่จริง

ผมชอบความคิดที่ว่า "พระเจ้า" มักเป็นอะไรก็ได้ ในสิ่งที่เราคาดไม่ถึง แม้แต่ "คนยาม" ที่ยังนอน อยู่ในป้อมยามขณะนี้ ถ้าเผอิญเขานอนอย่างมี "ความสุข" เพราะเมื่อหลับแล้วก็คงไม่ต่างกันกับ คนนอนในที่ไหนๆ ลองพิจารณาตัวอย่างศาสดา ของพวกเรา มักเป็นพระเจ้าในรูปของผู้ยากไร้ เสมอ ...มีทัศนะคติอย่างนี้แหละที่ผมว่าเป็นการ พัฒนาตนไม่ให้เกิดการแบ่งแยกกันในทุกเรื่อง เข่นเดียวกับ ครู-ศิษย์ นั้นในความจริงไม่มี มีแต่ ในความสมมุติกันเท่านั้น ...เพราะ โง่-ฉลาดพอกัน ไม่แตกต่างกับ คนยาม-นายกฯ ฯลฯ ที่รวยจนพอกัน

ว่าแต่ "ความจริง" ของความฉลาดหรือความรวย ที่เรามีความหวังกันนั้น ..มันคืออะไรกันแน่?
อ่านจบ..งงกันไหม? ครับ


โดย เพื่อนอาจารย์ [28 ก.พ. 2546 , 09:37:01 น.]

ศาสดาในศาสนาอื่นมักไม่ใช่กษัตริย์ ก็ยังปฏิวัติอำนาจต่างๆได้ ตามในประวัติศาสตร์ ในกรณีของพระพุทธเจ้านั้น ท่านดำรง อยู่ใน "วิถี" ที่ต้องบรรลุพระสัมมาโพธิญาณ ดังนั้นในภพชาติสุดท้าย จึงต้องอยู่ใน "เงื่อนไข" หรือปัจจัย ที่จะต้องทำให้บรรลุ เป้าหมายที่ตั้งใจพระทัยไว้แน่นอน

เงื่อนไขในสมัยพุทธกาล ไม่เหมือนใน สมัยโรมัน หรือในจีน ที่ทำให้เกิด "ศาสดา" เช่นพระไครสต์หรือ เล่าจื้อ ขงจื้อ แต่พระองค์ เกิดอยู่ท่ามกลางความหลงผิดในแง่ความรู้ ในขณะนั้น เช่นลัทธิพระเวท ทั้งหลาย รวม ทั้งการแบ่งชั้นวรรณะ จึงเป็นการปฏิวัติกัน ทางความรู้ความคิดเป็นส่วนใหญ่ ก็คงเหมือน เช่นนักวิทยาศาสตร์หรือนักปรัชญาในยุคนี้ ที่ต้องมีการเรียนรู้วิชาทั้งหลายมาก่อน จึงจะปฏิวัติ หรือสร้างทฤษฎีใหม่ๆได้ ไม่งั้นการยอมรับก็ จะไม่เพรียบพร้อม กรณีของพระพุทธองค์ ถ้าย้อนศึกษาประสบการณ์ในอดีตแล้ว จะไม่มีข้อกังขาในสิ่งที่พระองค์ตรัสรู้ได้เลย เช่นยศฐาบันดาศักดิ์ หรือความร่ำรวยทั้งหลาย ที่สุดท้ายก็ต้องละ เพราะไม่เป็นความจริงที่ยั่งยืน หรือทำให้เกิดความ "หลุดพ้น" นั่นเอง ตัณหา อุปทาน และสุขในชีวิต คือความทุกข์ทั้งสิ้น จะพ้นความทุกข์ถึงขั้น "วิมุติ" นั้น ต้องเพื่อการละ ทั้งสิ้น ....เรื่องนี้ซับซ้อนจริงๆครับ ปัญญาที่ สะสมกันมาน้อยของพวกเราไม่พอ จำต้องอาศัย กุศลธรรม ที่ต้องสะสมกันต่อไปอีกนานครับ จึงจะเข้าใจ ..ขนาดเกิดมาในกาลที่พระพุทธศาสนา ยังปรากฏให้ศึกษากัน ..ก็ยังขยาดไม่ยอมรู้กันเลย

พูดหรือคิดกันเรื่องนี้แล้ว ...จะเหนื่อยเอาการจริงๆ แฮะ.......๕๕๕๕๕๕๕


โดย เพื่อนอาจารย์ [1 มี.ค. 2546 , 15:11:32 น

บนวัฒนธรรมไทยแบบเดิมๆในแง่ความงดงามนั้น ความเป็นส่วนตัวและส่วนรวมของครอบครัว มักแยกกันไม่ค่อยชัดเจนนัก หรือถือเป็นเรื่องเดียวกันก็ได้

การมีความสัมพันธ์ในแง่เซ็กส์ จึงต้องมีความสำรวม ไม่สะท้อนกันด้วยอารมณ์กันได้อย่างเต็มที่นัก ที่ว่างทางสถาปัตยกรรมที่สร้างเพื่อการร่วมอาศัยกัน จึงควบคุมสิ่งเหล่านี้ให้พอเหมาะพอควรได้บ้างนะ

แต่ในระยะหลังการออกแบบที่ว่างเปลี่ยนไป เน้นความเป็นส่วนตัวมากขึ้นเหมือนอย่าง ของวัฒนธรรมตะวันตก ความเอื้ออาทรทางสังคม หรือเครือญาติก็ลดทอนลงไป มีการอยู่กินกันแบบตัวใครตัวมัน มากขึ้น เดี๋ยวนี้เราสร้างบ้านกันใหญ่โตแต่อยู่กันแค่ไม่กี่คน ความสัมพันธ์ฉันท์เครือญาติหรือครอบครัวก็ลดลงไป ความเป็นส่วนตัวก็มากขึ้นจนเกินเลย ในที่สุด สถาบันครอบครัวก็เหือดหายไป พร้อมสาเหตุอื่นๆ

สังคมที่เน้นด้านจิตวิญญาณแต่เดิมกำลังถูกทดแทน ด้วยการเน้นวัตถุนิยมมากขึ้น จนชักจะเป็นเรื่องของวิกฤติ ในระดับมหาภาค ขณะนี้พวกนิวเอชกำลังจะดึงเรื่อง เหล่านี้กลับคืนมา เพื่อลดวิกฤติทางครอบครัวและสังคมกัน

ผมก็ไม่แน่ใจว่าจะได้หรือเปล่า แต่ก็หวังว่าน่าจะพยายาม เพราะเป็นหนทางหนึ่งที่จะสร้างความสมดุลป์ให้เกิดขึ้น รูปแบบสถาปัตยกรรมอาจกลับไปสู่อดีตได้ยาก แต่รูปแบบใหม่ที่เราคิดกัน ก็น่าคำนึงถึงรักษาคุณค่าเดิมๆที่งดงามไว้บ้าง นะครับ ..

สำหรับผมนั้นสนับสนุนเรื่องครอบครัว และเครือญาติมาก และชอบสถาปัตยกรรมแบบ เอื้ออาทรกัน จะเป็นระดับไหนๆก็เห็นด้วยทั้งนั้นครับ ..ยังรู้สึกนับถือเรื่องการจัดการเรื่องที่ว่าง ของคนไทยในอดีต ที่ใช้กันอย่าประหยัดและเป็น แบบพอเพียง และยังควบคุมพฤติกรรมอื่นๆได้อีกด้วย...ครับ


โดย เพื่อนอาจารย์ [22 ธ.ค. 2545 , 13:52:44 น.

ไม่ว่าท่านเป็นหญิงจริง หรือชายแท้ ขอคุยเรื่องนี้กันดังต่อไปนี้

เมื่อเช้านี้ได้ข่าวจากสื่อว่า ..พวกนักเรียนสมัยนี้เรียกร้อง อยากได้ครูประเภทสรวมเสื้อสายเดี่ยว อายุไม่เกิน ๒๕ เพราะหากเรียนกับครูแก่ๆ ก็จะเหมือนโดนตา-ยาย คอยตามมาหลอกหลอนกันอีกถึงโรงเรียน นี่เป็นการ เรียกร้องเรื่องเพศ ...ใช่ไหม?

อารมณ์ที่เกิด "อุปทาน" เช่นนี้ ถือเป็นเรื่องปกติทั้งหญิงทั้งชาย สำหรับคนในวัยเจริญพันธ์ คือ ผู้ยังมักฝักใฝ่อยู่กับ "ความเกิด" เพื่อการสืบต่อภพชาติ มากกว่าคนแก่ที่มักใฝ่กับ "ความดับ" ซึ่งก็เพื่อความเกิดอีกอยู่ดี ..แต่หากอยากตัดตอนวัฏฏะ หรือ การสืบต่อภพชาติเช่นนี้ ก็ต้องเจริญรอยตามคำสั่งสอน ขององค์ พระสัมมาสัมพุทธเจ้า ในพระพุทธศาสนา

คำกล่าวจั่วหัวกระทู้เช่นนี้ ไม่ใช่เรื่องที่น่าละอายแต่อย่างไรเลย นะครับ ..ปุถุชนก็เป็นเช่นนี้กันทั้งนั้นแล

ทีนี้ลองมาพิจารณาเพื่อการลดทอนเรื่องนี้ดูกันบ้าง ส่วนการแก้ปัญหาเฉพาะหน้านั้น ทางพุทธศาสนาเตือน ให้ลองลดการบริโภคเนื้อสัตว์ลงให้น้อยๆหน่อย เพราะการบริโภคอาหารนั้นจะสัมพันธ์กับอารมณ์ ที่เกิดขึ้นของมนุษย์ โดยเฉพาะอุปทานในเรื่องกามารมณ์ หรืออารมณ์ทางเพศ ที่เกินเลยปกติตามธรรมชาติ มนุษย์นั้นต่างจากสัตว์ในเรื่องนี้มากทีเดียว เพราะมีจิตที่ใหญ่โตกว่าสัตว์ เลยไม่ค่อยบันยี้บันยัง การสร้างอารมณ์ต่างๆเท่าไรนัก .....

ต่อไปนี้ค้นหามาจากเรื่องราวที่บันทึกในพระไตรปิฏกฯ และการอธิบายของผู้รู้ต่างๆ ..นะครับ
ดูกร ภิกษุทั้งหลาย ก็อุปาทานเป็นไฉน?

วัตถุแห่งความยึดของบุคคลนั้น พระพุทธองค์ทรงแสดงไว้ ๔ ประการ เรียกว่า อุปทาน

๑. กามุปาทาน ความยึดมั่นในกาม

๒. ทิฏฐุปาทาน ความยึดมั่นในทิฐิ

๓. สีลัพพตุปาทาน ความยึดมั่นในศีลและพรตหรือพิธีรีตองต่าง ๆ

๔. อัตตวาทุปาทาน ความยึดมั่นในตัวตน

แต่..จะขอเน้นเฉพาะ กามุปาทาน ไม่งั้นจะยาว จนเบื่อแล้วไม่อยากอ่าน เลยยังไม่รู้อยู่อีกต่อไป
อุปาทาน


อธิบายเพิ่มเติมโดยท่านอาจารย์ วศิน อินทสระ เน้นย้ำเป็นดังนี้..


โดยทั่วไปชีวิตมนุษย์เต็มไปด้วยความยึดมั่น เร่าร้อนอยู่ด้วยความต้องการ อันไม่มีขอบเขตไม่มีที่สิ้นสุด ถูกความอยากเผาลนให้เร่าร้อนอยู่ภายใน แม้สิ่งที่เขาเข้าใจว่าเป็นความสุขหรือความสนุกสนานเพลิดเพลิน ก็มีความทุกข์เจือปนอยู่ แต่มนุษย์ก็ยังต้องการ

๑. กามุปาทาน ความยึดมั่นในกาม

กามแปลได้ ๒ อย่าง คือ ความใคร่อย่างหนึ่ง สิ่งที่น่าใคร่ น่าปรารถนาอย่างหนึ่ง อย่างหลังท่านเรียกว่า วัตถุกาม อย่างแรกเรียกว่า กิเลสกาม

รูป เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะ อันน่าใคร่น่าปรารถนาน่าพอใจ นั่นเองเป็นวัตถุกาม คือ เป็นที่ตั้งแห่งกามเป็นสิ่งเร้าให้เกิดความ ใคร่ส่วนตัว ความใคร่เองท่านเรียกว่า กิเลสกาม

มนุษย์ทั้งหลายได้ตกอยู่ภายใต้อำนาจครอบงำของกามทั้ง ๒ นี้ อย่างไร เห็น ๆ กันอยู่แล้ว มนุษย์และสัตว์ทั้งหลายยึดมั่นอยู่ว่า ความสุข ของเขาจะมีได้ก็ต้องอาศัยกาม คือต้องได้เห็นรูป ได้ฟังเสียง ได้ดมกลิ่น ได้ลิ้นรสและได้ถูกต้องสิ่งที่น่าใคร่iน่าปรารถนาน่าพอใจ

ปราศจากสิ่งเหล่านี้เสียแล้วเขาจะมีความสุขไม่ได้ แม้ตัวความใคร่เอง ซึ่งมีสภาพเป็นสิ่งเร่าร้อนกระวนกระวาย ทำปัญญาให้มืดมน ทำจิต ให้ตกต่ำ เขาก็ยังเข้าใจผิดไปว่าเป็นบ่อเกิดแห่งความสุขของเขา ทั้งนี้ อาจเป็นเพราะ เขาไม่เคยได้รับความสุขใดที่เหนือกว่านี้หรือแปลกไปกว่านี้

เช่นความสุขอันเกิดจากความสงบ หรือเกิดจากคุณธรรม เหมือนเด็ก ที่พอใจแต่ในความสุขอันเกิดจากการเล่นทรายหรือโคลนตม แต่พอเขา เป็นผู้ใหญ่แล้ว เขาก็เลิกพอใจในความสุขอย่างนั้น แต่พอใจในความสุข ที่สะอาดกว่า ประณีตกว่า

เขาจะไปจับต้องทรายหรือโคลนตมก็ด้วยความจำเป็นอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ เช่นเกี่ยวกับการงานเป็นต้น แล้วก็รีบล้างมือ ล้างตัวให้สะอาด

ในทำนองเดียวกัน คนที่จิตใจยังเยาว์ยังไม่ได้รับการพัฒนาทางจิตใจ ย่อมพอใจหมกมุ่นมัวเมาอยู่ในกาม ด้วยความสำคัญผิดและยึดมั่นอยู่ว่า "กามนี้เท่านั้นเป็นบ่อเกิดแห่งความสุข" แม้ถูกหนามแห่งกามทิ่มแทงเอา ถูกไฟคือกามเผาลนเอาก็ยังไม่รู้สึก

สำคัญผิดไปอีกว่าเป็นเพราะเหตุอื่นและโทษสิ่งนั้นสิ่งนี้ ที่แท้เป็นเรื่อง ของความใคร่ในกามคุณของตนเอง เป็นเรื่องความยึดมั่นของตนเอง

ตัวอย่างเช่น ชายหนุ่มรักหญิงสาว ซึ่งโดยทั่วไปแล้วเป็นความใคร่ในกามคุณ เสียมากกว่าความรักแท้รักบริสุทธิ์ แต่เขายังเข้าใจผิดว่าความรักของเขาบริสุทธิ์ เขารักด้วยต้องการเชยชม รูป เสียง กลิ่น รสและผัสสะทางกายที่จะพึงได้จากหญิงนั้น

แม้จะมีเรื่องคุณธรรมและความเห็นอกเห็นใจเจืออยู่ด้วยก็ตาม ข้อพิสูจน์ว่า เขารักใคร่ด้วยอำนาจกามคุณก็คือ ถ้าหญิงนั้นไปเกี่ยวข้องกับชายอื่นในแง่ เสน่หา เขาจะโกรธมาก อาจทำลายชีวิตของหญิงนั้นเสียก็ได้

นี่หรือรักแท้ รักบริสุทธิ์ ความจริงมันคือกามคุณที่เขาพากันเรียกเสียใหม่ว่า ความรัก เพราะความรักของเขาเต็มไปด้วยความยึดมั่น หวงแหน คับแค้น เร่าร้อน ริษยาและทำให้เกิดโทสะง่ายที่สุด ในกรณีที่หญิงสาวรักชายหนุ่ม ก็เหมือนกัน

ในรายที่แต่งงานกัน จนมีลูกด้วยกันแล้ว ถ้าฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งไปรักคนอื่นอีก ก็ถือเป็นเรื่องเดือดร้อนมาก ความริษยา ความชิงชัง ความอาฆาตเคียดแค้น เกิดขึ้นอย่างสุดจะพรรณาได้ จนถึงกับทำร้าย ทุบตีและประหารชีวิตของ ฝ่ายหนึ่งเสียก็มี

ความเคียดแค้นเหล่านั้น สืบเนื่องมาจากความใคร่ ความยึดมั่นในกาม ข้อพิสูจน์ก็คือ ในรายที่เรามิได้มีความใคร่ ความยึดมั่นในกามก็ไม่ทำให้ เราเดือดร้อนได้ ไม่ว่าเขาผู้นั้นจะไปทำอะไร อย่างไร กับใครที่ไหน

การทำการแก้แค้น สร้างเวรสร้างกรรมจนเขาเสียชีวิตและตนเองต้องเป็น อาชญากรนั้นเป็นเกียรติยศนักหรือ ? ลูกของตนซึ่งมีพ่อหรือแม่ เป็น อาชญากรนั้นเป็นเกียรติยศนักหรือ ? การต้องไปติดคุกติดตาราง ถึง ๒๐ - ๓๐ ปี นั้นเป็นเกียรติหรือ ?

ถ้ามองชีวิตในระยะยาวจะเห็นว่าไม่ควรทำ เมื่อเหตุกราณ์อย่างนั้นเกิดขึ้นก็ควร จะละอุปาทานในกามเสีย และถือเป็นโอกาสปลีกตนออกจากกาม ซึ่งเป็นของร้อน เข้าหาความสงบเย็นในธรรม หรือการบำเพ็ญคุณงามความดีให้สูงขึ้นไปจน ใจพ้นจากความยึดมั่นและจะเห็นคุณค่าของการทำอย่างนี้ด้วยตนเอง

อย่างไรก็ตาม กามคุณนี่แหละ คือเสน่ห์ของโลก เพราะมันเป็นเหยื่อของโลก (โลกามิส) ทำนองเดียวกับเหยื่อที่ติดอยู่กับเบ็ดหุ้มเบ็ดอยู่ นั้นแหละคือ เสน่ห์ของเบ็ด ปราศจากเหยื่อแล้วจะไม่มีปลาตัวใดติดเบ็ด

เพราะเหยื่อปลาจึงติดเบ็ด ได้กินเหยื่อเพียงนิดเดียว กลืนเบ็ดเข้าไปด้วย ปลาโง่ จึงถูกพรานเบ็ดลากไปได้ตามปรารถนา และวัดขึ้นบกต้องทุรน ทุราย ทุกข์ทรมานไปจนกว่าจะสิ้นชีวิตและเป็นเหยื่อของพรานเบ็ดนั่นเอง

ลองนึกดูเถิดว่าคนในโลกที่พอใจติดเหยื่อของโลกแล้วต้องทนทุกข์ทรมานอยู่ใน โลกนี้มีประมาณเท่าใด น่าสงสารเพียงใด น่าช่วยเหลือเพียงใด อย่างน้อย ช่วยให้เขาได้รู้ว่าเหยื่อนั้นมีเบ็ดเกี่ยวอยู่ด้วย

ขอให้กินเหยื่อด้วยความระมัดระวัง ถ้าฉลาดขึ้นก็จะกินแต่เหยื่อได้โดยไม่ติดเบ็ด ทำให้พรานเบ็ดต้องเก้อ ยกเบ็ดขึ้นดูบ่อย ๆ เห็นแต่เบ็ด เหยื่อหายไป

แต่จะมีใครสักกี่คนเล่าในโลกนี้ ที่เป็นเช่นปลาฉลาด รอบรู้ และที่ฉลาดขึ้นไปกว่านั้น ก็สามารถรู้ได้ว่าเหยื่ออันใดมีเบ็ดเหยื่ออันใดไม่มีเบ็ด เลือกกินเฉพาะเหยื่อที่ไม่มีเบ็ด ก็จะสามารถรักษาตัวให้ปลอดภัยโดยตลอด

ความกำหนัดในกามเป็นอาสวะ (สิ่งหมักดอง) อย่างหนึ่ง ซึ่งหมักหมมอยู่ใน จิตสันดานของสัตว์โลก ยากที่จะละหรือปลดเปลื้องได้ ทั้งนี้เพราะมีความสุข เล็ก ๆ น้อย ๆ คอยเป็นเหยื่อล่อให้หลง เป็นหลุมพรางให้ก้าวขึ้นไป เมื่อติด หล่มคือกามแล้ว ก็ยากที่จะถอนตนขึ้นมาแล้วก้าวให้พ้นไปได้

สำหรับผู้สำเนียกรู้ถึงโทษของกามแล้วพยายามออกจากกาม แต่ยังออกไม่ได้ ด้วยเหตุใดเหตุหนึ่ง เช่นพันธกรณีเกี่ยวกับความรับผิดชอบ หรือกำลังใจยัง ไม่พอเป็นต้น ก็ไม่น่าวิตก เพราะถึงอย่างไรคนพวกนี้ จะต้องออกไปได้ วันหนึ่งเมื่อพันธกรณีสิ้นสุดลง

หรืออบรมจิตและปัญญาจนกำลังใจและกำลังปัญญาเพียงพอแล้ว แต่คนที่ไม่เคยสำเนียกรู้ถึงโทษของกามเลย ศึกษาเรียนรู้แต่เรื่องคุณของกาม ได้ยินได้ฟังแต่กถาอันเป็นเหตุให้ความกระหายในกามเริงแรงขึ้น มี กิจกรรมอันยั่วยุกามารมณ์อยู่ไม่เว้นวัน

การศึกษา การทำงาน และการเกี่ยวข้องในสังคมล้วนมุ่งเอาความสำเร็จ ทางกามเป็นผลที่มุ่งหมาย ในฐานะเป็นความสำเร็จของชีวิต ถ้าอย่างนี้แล้ว เขาจะออกจากกามได้อย่างไร คงจะต้องยึดมั่นเอากามารมณ์เป็นจุดหมาย ปลายทางของชีวิตเป็นแน่แท้

ในขณะที่กำลังแสวงหาอยู่นั้น ดวงจิตของเขาก็จะถูกเฆี่ยนด้วยแส้ คือ ความผิดหวัง ระทมขมขื่น โชกด้วยน้ำตาครั้งแล้วครั้งเล่า ถึงกระนั้น เขาก็ยังคงกระเสือกกระสน แสวงหากามอยู่นั่นเอง เพราะอานุภาพของ กามุปาทาน คือยึดมั่นว่ากามนี่แหละเป็นบ่อเกิดแห่งความสุขอันแท้จริง

กามในฐานะเป็นบ่วงที่พระพุทธเจ้าทรงเรียกว่า "กามปาสะ" หรือ กามบาสนั้น มีลักษณะคล้องและผูกมัดสัตว์ทั้งหลายไว้ในภพให้ เวียนว่ายตายเกิดในสังสารวัฏแห่งกามภพนี้

การผูกมัด มีลักษณะที่ผูกหย่อน ๆ ก็จริง แต่แก้ได้ยากมากทีเดียว ผู้ต้องการแก้จะต้องใช้กำลังใจมาก ใช้กำลังสมาธิอย่างแรง เพราะ แก้ไม่ได้ด้วยวิธีธรรมดา เหมือนปมบางอย่าง ที่แก้ได้ยาก มันยุ่งไปหมด ต้องใช้ดาบฟัน ซึ่งภาษาอังกฤษเรียกปมชนิดนี้ว่า Gordian Knot* อย่างที่พระเจ้าอเลกซานเดอร์มหาราชทรงทำ

กามคุณในฐานะเป็นพวงดอกไม้ของมาร มารคือสิ่งที่ล้างผลาญคุณความดี และทำให้เสียคนได้ง่าย มารอาศัยพวงดอกไม้ทั้ง ๕ คือ รูป เสียง กลิ่น รสและสัมผัสทางกายนี่แหละเที่ยวยั่วยวนมนุษย์และสัตว์ในกามโลกทั้งมวล ให้หลงเพลิดเพลินเดินเข้าไปสู่หลุมพรางของตนแล้วกักขังห้ำหั่นย่ำยีเอาได้ ตามใจปรารถนา

การควบคุมอินทรีย์ คือ ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ การทำจิตให้มั่นคงด้วยกำลัง สมาธิ และการพัฒนาปัญญาให้รุ่งเรือง จนสามารถมองเห็นโทษของกามคุณ อย่างชัดเจนอยู่เสมอ ๆ ทางนี้แหละจะสามารถเอาชนะกามกิเลสได้ไม่กลับ มาเวียนว่ายตายเกิดในกามโลกนี้อีก

ความเร่าร้อนทางใจอันมีกามคุณเป็นเหตุนั้น ปรากฏให้เห็นอย่างชัดเจน ในที่ทั่วไป ทั้งที่เกิดขึ้นแก่ตนเองและเกิดแก่ผู้อื่น น่าจะเป็นสังเวควัตถุ (เรื่องชวนสังเวชสลดจิต) เพื่อถอนใจออกไปจากกามุปาทานได้

สำหรับผู้มีปัญญาจักษุดำเนินชีวิตอยู่ในทางสว่าง แต่สำหรับผู้ไร้ปัญญา จักษุเดินอยู่ในทางมืดและไร้ประสบกราณ์ก็คงมองไม่เห็นอะไรอยู่นั่นเอง

*Gordian Kno เล่ากันว่าเป็นปมที่กษัตริย์กอรดิอุส (Gordius) แห่งไฟรเกีย (Phrygia) ผูกไว้ในสมัยโบราณ กล่าวกันว่าใครแก้ปมนี้ได้จะได้เป็นใหญ่ในเอเชีย อเลกซานเดอร์มหาราช ทรงใช้ดาบของพระองค์ตัดปมนี้

ดังนั้นคำว่าตัด "กอรเดียน น้อท" จึงกลายเป็นสำนวนหมายความว่า การแก้ปัญหายุ่งยากโดยฉับพลันด้วยการใช้กำลัง อธิบายนี้จาก พจนานุกรมอังกฤษฉบับของ A.S. Hornby หน้า ๕๓๙
คัดลอกมาโดยคุณ : mayrin [ 13 ธ.ค. 2545 / 14:50:16 น. ] ในเว็บบอร์ดห้องสมุดของพันทิพย์ ผมเลยไม่ทราบว่าอยู่ในหนังสือเล่มไหนของท่าน

ผมขอแถมท้ายเรื่องที่พระอานนท์จดจำพระพุทธพจน์ ดังอ้างบันทึกไว้พระไตรปิฎกไว้ด้วยนะครับ ..จะได้ขลัง ขึ้นอีกหน่อย แล้วอุปทานของพวกเราก็จะลดลงได้บ้าง เมื่อรู้เหตุปัจจัยของการเกิดอุปทานในเรื่องกาม

(4) เล่มที่ ๒o
[๑] ข้าพเจ้าได้สดับมาแล้วอย่างนี้- สมัยหนึ่ง พระผู้มีพระภาคประทับอยู่ ณ พระวิหารเชตวัน อารามของท่านอนาถบิณฑิกเศรษฐี ใกล้พระนครสาวัตถี ณ ที่นั้นแล พระผู้มีพระภาคตรัสเรียกภิกษุทั้งหลายว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย ภิกษุเหล่านั้นทูลรับพระดำรัสของพระ ผู้มีพระภาคแล้ว
พระผู้มีพระภาคได้ตรัสว่าฯ

[๒] ดูกรภิกษุทั้งหลาย เราย่อมไม่เล็งเห็นรูปอื่นแม้อย่างหนึ่ง ที่จะครอบงำจิตของบุรุษตั้งอยู่เหมือนรูปสตรีเลย ดูกรภิกษุทั้งหลาย รูปสตรีย่อมครอบงำจิตของบุรุษตั้งอยู่ฯ

[๓] ดูกรภิกษุทั้งหลาย เราย่อมไม่เล็งเห็นเสียงอื่นแม้อย่างหนึ่ง ที่จะครอบงำจิตของบุรุษตั้งอยู่เหมือนเสียงสตรีเลย ดูกรภิกษุทั้งหลาย เสียงสตรีย่อมครอบงำจิตของบุรุษตั้งอยู่ ฯ

[๔] ดูกรภิกษุทั้งหลาย เราย่อมไม่เล็งเห็นกลิ่นอื่นแม้อย่างหนึ่ง ที่จะครอบงำจิตของบุรุษตั้งอยู่เหมือนกลิ่นสตรีเลย ดูกรภิกษุทั้งหลาย กลิ่นสตรีย่อมครอบงำจิตของบุรุษตั้งอยู่ฯ

[๕] ดูกรภิกษุทั้งหลาย เราย่อมไม่เล็งเห็นรสอื่นแม้อย่างหนึ่ง ที่จะครอบงำจิตของบุรุษตั้งอยู่เหมือนรสสตรีเลย ดูกรภิกษุทั้งหลาย รสสตรีย่อมครอบงำจิตของบุรุษตั้งอยู่ฯ

[๖] ดูกรภิกษุทั้งหลาย เราย่อมไม่เล็งเห็นโผฏฐัพพะอื่นแม้อย่างหนึ่ง ที่จะครอบงำจิตของบุรุษตั้งอยู่เหมือนโผฏฐัพพะของสตรีเลย ดูกรภิกษุทั้งหลาย โผฏฐัพพะสตรีย่อมครอบงำจิตของบุรุษตั้งอยู่ฯ

[๗] ดูกรภิกษุทั้งหลาย เราย่อมไม่เล็งเห็นรูปอื่นแม้อย่างหนึ่ง ที่จะครอบงำจิตของสตรีตั้งอยู่เหมือนรูปบุรุษเลย ดูกรภิกษุทั้งหลาย รูปบุรุษย่อมครอบงำจิตของสตรีตั้งอยู่ฯ

[๘] ดูกรภิกษุทั้งหลาย เราย่อมไม่เล็งเห็นเสียงอื่นแม้อย่างหนึ่ง ที่จะครอบงำจิตของสตรีตั้งอยู่เหมือนเสียงบุรุษเลย ดูกรภิกษุทั้งหลาย เสียงบุรุษย่อมครอบงำจิตของสตรีตั้งอยู่ฯ

[๙] ดูกรภิกษุทั้งหลาย เราย่อมไม่เล็งเห็นกลิ่นอื่นแม้อย่างหนึ่ง ที่จะครอบงำจิตของสตรีตั้งอยู่เหมือนกลิ่นบุรุษเลย ดูกรภิกษุทั้งหลาย กลิ่นบุรุษย่อมครอบงำจิตของสตรีตั้งอยู่ฯ

[๑๐] ดูกรภิกษุทั้งหลาย เราย่อมไม่เล็งเห็นรสอื่นแม้อย่างหนึ่ง ที่จะครอบงำจิตของสตรีตั้งอยู่เหมือนรสบุรุษเลย ดูกรภิกษุทั้งหลาย รสบุรุษย่อมครอบงำจิตของสตรีตั้งอยู่ฯ

[๑๑] ดูกรภิกษุทั้งหลาย เราย่อมไม่เล็งเห็นโผฏฐัพพะอื่นแม้อย่างหนึ่ง ที่จะครอบงำจิตของสตรีตั้งอยู่เหมือนโผฏฐัพพะบุรุษเลย ดูกรภิกษุทั้งหลาย โผฏฐัพพะของบุรุษย่อมครอบงำจิตของสตรีตั้งอยู่ ฯ

จบวรรคที่ ๑

อ่านมาจนจบ ก็ยังไม่อยากปลงใจอยู่ดีนะครับ รสกามใครเคยได้ยิน หรือเคยลองลิ้มแล้ว ก็ยากที่จะลืมได้ จริงป่าว?

โดย เพื่อนอาจารย์ [23 ธ.ค. 2545 , 12:46:06 น

ปกติมนุษย์เรานั้นมักรู้ในสิ่งที่เห็นและสัมผัสในแง่ของมิติทั่วไป ที่เราเองรับรู้จากประสบการณ์เท่านั้น น่าจะยังมีความรู้ในมิติอื่นๆ ที่เราอาจยังไม่เคยสัมผัส หรือยังไม่เจอประสบการณ์ใหม่ๆ เพราะ คนเรานั้นมีความต่างจากสัตว์ที่มีจิตซึ่งใหญ่โตกว่า มีความ หลากหลายกว่า และสามารพัฒนาการได้สูงกว่าอีกด้วย ถ้าคิด จะพัฒนากัน

เช่น ความเป็นภิกษุในสาวกของพุทธศาสนา เป็นอีกมิติหนึ่ง ที่ผู้ปฏิบัติตนจะพบความสุขที่เหนือจากความเป็นธรรมดา โดยเฉพาะเรื่องการอบรมเพื่อระงับอุปทานในเรื่องกามารมณ์ หรือการมีเพศสัมพันธ์ตามธรรมชาติ ที่มนุษย์เองสามารถควบคุม สิ่งเหล่านี้ได้ เพราะได้พบปัญญาที่พึงได้รับเป็นลักษณะของวิมุตติ หรือ "ความหลุดพ้น" เช่นพระสุปันโนหลายรูปในเมืองไทย ซึ่งมีมากในการครองตนลักษณะนี้ ..เราจึงไม่ควรปฏิเสธ ในประสบการณ์ที่เรายังไม่เคยลองรู้ในสิ่งเหล่านี้

ตัวอย่างเช่นเมื่อวานนี้ ผมได้หนังชีวิตดี (ในรศนิยมผม) มาเรื่องหนึ่งชื่อ the simple life of Noah Dearborn มีดาราผิวหมึก ที่ผมชอบคือ Sidney Poitier แสดงนำ เป็นเรื่องราวของคนที่ใช้ ชีวิตแสนเรียบง่าย ทำงานในสิ่งที่ตนชอบและรัก มีความเอื้ออาทรต่อผู้อื่นเสมอ ทำให้มีชีวิตที่ยืนยาวและดูหนุ่มกว่าวัย เพราะตัดเรื่องอื่นๆที่ไร้สาระออกจากการเป็นคนเช่นปกติธรรมดา รวมทั้งเรื่องเซ็กส์ คล้ายชีวิตของภิกษุที่มุ่งแต่การเจริญจิตและการ ภาวนาเป็นสำคัญ อาจเป็นตัวอย่างของการดำเนินชีวิตในมิติอื่น ที่เราอาจมองข้ามคุณค่าดีๆของมันไป ดังเช่นคุณค่าของสังคมชนบท ในเรื่องภูมิปัญญาของคนท้องถิ่น ที่สังคมสมัยใหม่พยายามตามไป เบียดเบียนให้เปลี่ยนแปลงไปในทางที่คนสมัยใหม่เองก็ไม่รู้จริงในสิ่งที่ตนทำ โดยเฉพาะนักพัฒนาสมัยใหม่ทั้งหลาย ลองหาหนังเรื่องนี้มาดูกันนะครับ ..แต่ไม่รับรองว่าพวกคุณจะอิน เหมือนผมหรือป่าว?

ผมเองนั้นเชื่อว่า การดำเนินชีวิตที่มีความสุขจริงนั้น คือ ความเป็นธรรมดาและเรียบง่าย และควรไปไกลเกินมิติที่เรา เคยรับรู้ได้จากสังคมปัจจุบัน ซึ่งมักเป็นสิ่งเรากลัวหรือไม่กล้าลอง เราเลยง่วนอยู่กับสิ่งที่เคยชินและอาจทำแต่เรื่องไร้สาระมากเกินไป คือทั้งที่รู้และทำอะไรได้มากมาย แต่ก็ไม่รู้จริงก็เลยทำอะไรไม่ได้ผลดีมากนัก เช่น มัวเอาแต่ตอแหลเล่นลิ้นกันในเรื่องพิธีการพีธกรรมบ้าๆบอๆ ซึ่งเห็นกันเกลื่อนกลาดในสังคมปัจจุบัน เลยไม่มีเวลาเจริญปัญญากันเต็มที่ การคิดทำงานสร้างสรรค์จึงไม่ประสบผลในความเป็นจริงเท่าไรนัก

การออกแบบสถาปัตยกรรมหรือทำอะไรให้ดีให้งามนั้น เหนืออื่นใด จิตใจของสถาปนิกจะต้องมีความสมบูรณ์ถูกต้องในเรื่องความดีงามก่อน คือต้องมีจิตใจที่ดีมีความเอื้อาทรในตัวเองก่อน จึงจะทำให้การดำเนินชีวิตมีได้อย่างมีความสุข แล้วก็จะถึงการผลิตงานการต่างๆออกมาอย่างมีคุณค่าได้จริง ซึ่งการประเมินคุณค่างานในลักษณะนี้ ต้องไปไกลเกินมิติที่เราพึงรับรับรู้ได้จากสังคมที่เราพบเห็น หรือต่างบรรทัดฐานกันในปัจจุบัน ซึ่งผมว่าส่วนมากที่รับรู้กันในปัจจุบันนั้น เป็นบรรทัดฐานสำหรับของเทียม ไม่เป็นจริงแทบทั้งสิ้น

ว่างๆลองทบทวนการดำเนินชีวิต ที่ต่างจากมิติที่เรากำลังเป็นกันอยู่บ้างนะ บางทีเราอาจได้พบปัญญาในการรู้ทุกข์ เห็นทุกข์ และสามารถแก้ทุกข์ ทั้งหลายได้ในที่สุดก็ได้นะครับ .ขอให้ถือเสียว่า.เป็นการฝึก การพัฒนา ความคิดสร้างสรรค์ในอีกระดับหนึ่งแล้วกันนะ ... แหมพล่ามเสียยาวเลย
โดย ขออีกที [25 ธ.ค. 2545 , 12:27:53 น.]
ขอฝอยต่ออีกหน่อยนะ เพราะนับถือคำกล่าวของครูประชาบาล ที่ตอบได้รวบรัดและได้สาระดีแท้

เผอิญเมื่อคืนอ่านหนังสือที่เกี่ยวกับการศึกษา เพราะโดนบังคับแบบยินยอมให้ไปช่วยระดมความคิดกันในเร็วๆนี้

ในหนังสือพิมพ์แจกเรื่อง การศึกษาฉบับง่าย ของท่านเจ้าคุณพระธรรมปิฏกฯ มีความตอนหนึ่ง ท่านพูดเรื่อง "กินอย่างไรให้เป็นไตรสิกขา" มีสาระสอดคล้องกับที่ครูประชาบาลกล่าวไว้ข้างต้น

การกินนั้นต้องมีความสัมพันธ์กับสภาพแวดล้อม ภายนอก (คือศีลหรือพฤติกรรม..สิกขาที่ ๑) เพราะ ถ้าไม่สัมพันธ์กันก็เกิดโทษจากการกิน หรือการเสพ ใดๆรวมทั้งเรื่องเพศด้วย

ในขณะที่กิน ยังขึ้นอยู่กับจิตใจ (หรือสมาธิที่เป็นสิกขาที่ ๒) คือจะมีความพอใจหรือไม่พอใจ เป็นสุขหรือเป็นทุกข์และอื่นๆต่างๆนาๆ สรุปก็คือกินไปต้องทำโยนิโสมนสิการ หรือคิดไตร่ตรองตามไปด้วย เพื่อให้เกิดปัญญารู้ ได้ในการกิน (คือเป็นสิกขาที่ ๓) ว่าควรกินอย่างมี ความสุขนั้นเป็นอย่างไร ตรงตามความมุ่งหมาย เพื่อให้มีสุขภาพดี หากถ้าไม่คิด กินเพื่อสนองความพอใจหรืออารมณ์อื่น ความพอใจหรือความสุขก็เป็นไปอีกแบบหนึ่ง ตัวปัญญารู้จึงมาเป็นเหตุปัจจัย หรือนำทางให้เกิดความสุขหรือความทุกข์ได้ในการกินไปด้วย

ด้วยสาระที่ย่นย่อมานี้ พอจะสรุปได้ว่า การศึกษา คือการเรียนรู้ชีวิตที่ต้องเป็นไตรสิกขา ทั้งสามด้าน คือ ศีลหรือพฤติกรรม สมาธิหรือจิตใจที่ผ่องใส นำไปสู่....ปัญญา คือ การรู้ความจริง ที่แสนเป็นธรรมดา และเป็นธรรมชาติที่เป็นอยู่แล้วเช่นนั้น

การเรียนรู้วิชาอะไรๆนั้น ต้องเกี่ยวข้องกับการดำเนินชีวิตที่ควรตรงกับความเป็นจริง เป็น ธรรมดา และเป็นตามธรรมชาติ แนวคิดนี้ พวกฝรั่งกำลังปรับปรุงกันในเรื่องการศึกษา โดยเฉพาะวิธีการสอนของครู ซึ่งท่านเจ้าคุณอ้างไว้ว่าเป็นงานของพระพุทธเจ้า การสอนคือ การช่วยให้ศึกษา (ให้ครบไตรสิกขา) เพื่อสร้าง ทางชีวิต (หรือมรรค) ในการดำเนินชีวิตของเรา ทุกๆคน ครูต้องสอนเด็กให้เรียนรู้ครบไตรสิกขา เมื่อเด็กรู้การกินนั้นควรเป็นอย่างไร ครั้นพอกินอยู่เป็นแล้ว..ก็คิดเป็นเอง และคิดถูกตามความเป็นจริง เป็นธรรมดา และเป็นตามธรรมชาตินั่นเอง ที่สำคัญคือผู้สอนต้องเลียนแบบพระพุทธเจ้า ให้ได้ก่อน จึงจะทำงานเยี่ยงพระพุทธเจ้าได้ครับ

แหม..ผมเกือบจบไม่ลงแล้วซินะ


โดย ขออีกที [5 ม.ค. 2546 , 09:47:16 น.]

คำกล่าวข้างต้น น่าคิดน่านับถือครับ ผมขอคุยเพิ่มดังนี้ ...นะครับ

ความสวยนั้น เป็นเรื่องการปรุงแต่งที่เกิดในจิต ความสวยตามหลักธรรมนั้น จะเกิดขึ้นได้ ต้อง เกิดจากจิตที่บริสุทธิ์ผ่องใส จิตที่เกิดโดยการ ปฏิบัติในทางธรรม เกิดรู้จากปัญญาในสิ่ง ที่ตรงความเป็นจริง คือ มีลักษณะของไตรลักษณ์ เป็นอนิจจัง เป็นทุกข์ และเป็นอนัตตา บังคับ บัญชาเอาเองไม่ได้ เช่นความเกิด แก่ เจ็บ ตาย

แต่ปรมัตต์ธรรมเช่นนี้ เอามาใช้ทางสมมติบัญญัติ อาจไม่เหมาะสม หากจะหวังโลภที่คะแนนจากครู นอกจากแปลงความสวยให้ตรงกับที่ครูรู้ครูพอใจ ครูได้ความสุขปิติ ถ้าทำให้ครูเกิดปัญญารู้ทุกข์ได้อีก การสนองความสวยนั้น ก็เป็นกุศลกับครูและผู้อื่น

เราทุกคนมักแสวงหาความบริสุทธิ์ผ่องใสของจิต กันทุกคน แต่เผอิญเราต่างก็ไม่รู้ ไม่เชื่อ และไม่มีปัญญา พอจะเข้าใจความจริงในสิ่งที่จะทำให้จิตเราเกิดความ บริสุทธิ์และผ่องใส หลายคนจึงยังวนเวียนค้นหามัน จากเหตุปัจจัยที่มีความโลภ ความโกรธและความหลง เพราะไม่เชื่อว่าการสร้างสรรค์ความสวยที่ปราศจาก เหตุปัจจัยดังกล่าวนั้น ไม่มี เพราะติดที่ความเคยชินมา นานมีมาหลายภพหลายชาติที่ความเป็นมนุษย์เรานั้น เวียนว่ายตายเกิดกันอยู่

สิ่งที่เราเรียนรู้กันทางโลก จึงเป็นเรื่องการปรุงแต่ง เป็นเรื่องของสมมติบัญญัติทั้งสิ้น Design Fundamental ยุคนี้สมมติและบัญญัติกันเป็นยังไง ก็คงต้องถือความสวยจาก หลักเกณฑ์ที่เรายึดกันดังนั้น เพื่อให้เกิดความเข้าใจหรือสื่อ ถึงกันได้ระหว่างครูและศิษย์ ส่วนจะก้าวกระโดดต่อไปนั้น เป็นเรื่องของการแสวงหาร่วมกัน ถ้าเห็นพ้องกันก็ถือว่า เป็นกัลยาณมิตรแก่กันและกัน ยิ่งถ้าเป็นไปในแนวทาง ของกุศลธรรม ก็ช่วยพัฒนาให้จิตของแต่ละคนเกิดความ เจริญในความบริสุทธิ์ผ่องใสยิ่งขึ้น ผลมันจะสนองใน สิ่งที่เป็นคุณแก่ชีวิตมากมาย ไม่ใช่ความสวยที่เราคิดกัน อยู่ขณะนั้น แต่มันเป็นความสวยที่ครอบคลุมไปทุกส่วน ของชีวิตที่เรากำลังดำเนินอยู่

เพราะวิทยาศาสตร์ใหม่กำลังก้าวไปในความรู้ของ ความจริงหรือความเป็นองค์รวม ความเชื่อมโยงกัน ของทุกสรรพสิ่งที่เราสมมติเป็นชีวิตหรือจักรวาล จึงมีคำกล่าวที่ว่า เด็ดดอกไม้กระทบถึงดวงดาวบน ท้องฟ้า ความสั่นสะเทือนที่เกิดจากผีเสื้อขยับปีกใน สถานที่หนึ่ง อาจโยงไปถึงความสะเทือนของแผ่นดิน ในสถานที่แห่งอื่นๆ เป็นต้น คตินี้ให้ข้อเตือนใจที่ว่า ถ้าใครคนหนึ่งทำชั่ว สร้างสิ่งเลวเป็นอกุศลแล้ว ผล เสียก็จะเกิดแผ่ขยายไปทั่ว รวมกันมากเข้าก็เป็นหายนะ ให้กับชีวิตและจักรวาลของเราทุกคนได้ ตรงข้ามถ้า ทำดี เป็นกุศล ผลดีก็จะเกิดขยายไปทั่วเช่นกัน แบบหลัง เชื่อว่าน่าทำให้ชีวิตและจักรวาลของเราเกิดสันติสุข มีอายุการคงอยู่และสมดุลป์ยืนยาวขึ้นอีกหน่อย ใน ทางสมมติเขาจัดไว้ในชั้นของสวรรค์แดนสุขาวดี ไม่ใช่แดนนรก ในสถานที่ซึ่งมีเวลาของสรรพสิ่งใน แต่ละแห่งต่างกัน

ดังนั้น บนความสัมพันธ์ของการเรียนรู้ระหว่างครูกับศิษย์ ก็ต้องสร้างความเป็นกุศลกันไว้เรื่อยๆตั้งแต่แรกพบจนต้อง จากกัน ความสวยก็จะงอกงามกันไปเรื่อยๆ คือเกิดความ บริสุทธิ์และผ่องใสของจิตใจในแต่ละคนนั่นเอง ผมว่า.. นี่เป็นความสวยแบบยั่งยืนถาวร ไม่ใช่ความสวยจากการ ปรุงแต่งชั่วครู่ชั่วยาม เพื่อได้คะแนน A แค่นั้น เพราะ A เป็นเรื่องของบัญญัติสมมติขั้นต่ำเอามากๆ ยิ่งถ้าเป็นไป เพื่อความโลภ ยิ่งแล้วใหญ่ เพราะไม่เป็นความรู้ที่ได้เพื่อ สร้างปัญญาให้เราๆรู้ทุกข์ได้เลยในชาติภพนี้

สรุปก็ต้องบอกว่า เรียนเอาใจเพื่อตัวเราและก็เพื่อครูด้วย จิตเรานั้นสามารถเนรมิตให้เกิดได้ผลทั้งสองอย่าง ไม่ จำเป็นต้องเป็นอย่างเดียวเสมอไป สร้างกุศลนั้นช่วย ทุกคนให้ก้าวพ้นโลกสมมติไปได้ ส่วนอกุศลช่วยใครๆ ไม่ได้เลย ทั้งตัวเราและครู มันจะดึงลงเหวลงนรกกัน ในที่สุดเท่านั้นเอง

อย่าถามนะ...สูตรหรือวิธีทำดังว่าที่ชัดๆนั้นเป็นอย่างไร เพราะสัจจธรรมในเรื่องนี้นั้น เป็นเรื่องทางใครทางมัน จริงๆ แม้จะมีแนวทางที่มีผู้ค้นพบให้มาแล้วก็ตาม ..แต่ใคร จะไปเชื่อ...มรรคแปดคืออะไร ทุกข์คืออะไร ก็ยังไม่กันรู้เลย ผมเอง..ก็ยังไม่รู้ ..แค่พล่ามมาให้งงๆกัน ก็แค่นั้นเอง


โดย เพื่อนอาจารย์ [31 ธ.ค. 2545 , 12:54:14 น.]

ผมนั้น..เหมือนฟ้าลิขิต ให้ต้องไปใช้ชีวิต ที่บ้านนอกตั้งแต่เด็ก เรียนรู้ชีวิตจากการฟังคนพูดคุย กัน..ส่วนมากก็ในร้านกาแฟ เพราะเกิดใน ยุคข้อมูลที่แสนหายาก หนังสือมีน้อยและก็ หาอ่านได้ยากด้วย อีกทั้งต้องอยู่บ้านที่ตรงข้าม กับโรงหนังแหล่งบันเทิงเยี่ยมของคนสมัยนั้นและที่นั่น เลยดูหนังกันตะบันแทบทุกวันแทนการอ่านนิยาย หลายสิ่งหลายอย่างเรียนรู้และเลียนแบบพระเอกในหนัง เฉพาะการฟังคนแก่วัยคุยกันหรือทะเลาะกันนั้น ช่วยให้รู้ประสบการณ์ของคนสูงวัย เอามาปรับมาแต่ง มาเตือนชีวิตที่จะพึงอาจพบพานในภายภาคหน้า จึงทำให้ต้องกลายเป็นนิสัยคนช่างคิดช่างฝัน ช่างฟังและแน่นอนช่างพูดเมื่อมีโอกาสเช่นนี้ นี่ก็ยังขอบคุณสวรรค์ ที่กำหนดให้มีหน้าที่เป็นครู เลยสนุกใหญ่เพราะได้พูดสมใจ ใครจะฟังนั้น ไม่ถือว่าสำคัญที่ทำให้ต้องหยุดพูด ครั้นเมื่อแก่วัย ก็คงต้องจำยอมหยุดบ้าง แต่ก็หันมาเขียนแบบคุยให้ ตัวเองฟังบ้าง คิดเอาว่าเป็นแบบนี้แล้ว คงลดความรำคาญกับลูกและคนอื่นๆได้บ้าง

ต้องขอบคุณ (สวรรค์) ที่มีเท็คโนโลยีเว็บบอร์ด เกิดขึ้นขณะนี้ ดำรงความเป็นร้านกาแฟให้ได้ มีโอกาศฟังคนคุยกัน ในเรื่องที่ต้องการจะฟัง เห็นช่องว่างที่ทำให้แคบลงได้ระหว่างคนต่างวัย เป็นการบรรเทาในปัญหาหนึ่งที่ทำให้คนในสังคม มีปฏิสัมพันธ์กันน้อยได้บ้าง โดยเฉพาะระหว่าง ศิษย์-อาจารย์ คนแก่-คนหนุ่ม ได้เป็นเยี่ยงกระจก หนึ่งที่เห็นสภาพสังคมไทยที่เป็นอยู่ขณะนี้ แม้เป็นกระจกบานเล็ก แต่ก็ชัดในการมองบางสิ่ง ที่แต่ละคนสนใจ เรียนรู้อะไรต่างๆในชีวิต ที่เหลืออยู่จากคนอื่นได้ด้วย

โลกของการเรียนรู้อะไรต่างๆนั้นกำลังแปรรูป มหาวิทยาลัยกำลังไม่เป็นแหล่งสถิตวิชาแห่งเดียว แต่จะกลายเป็นความหลากหลายบนโลกของอินเทอร์เนท

ผมจึงอยากปรึกษาตรวจสอบกันกับคนรุ่นใหม่ว่า สิ่งนี้เป็นปรากฏการณ์ใหม่..ใช่หรือไม่? ทัศนะและความรอบรู้ของคนยุคใหม่จะเปลี่ยน ไปจากคนรุ่นเดิมอย่างผม ที่เคยเรียนรู้อะไร จากร้านกาแฟที่บ้านนอก..หรือไม่?

โลกของอินเทอร์เนท จึงเป็นฝันของผมที่อยาก สนับสนุนให้เกิดการเรียนรู้อย่างอิสระต่างจาก มหาวิทยาลัย ที่กำลังจะกลายเป็นตลาดการค้าเข้าไปทุกทีขณะนี้...นะครับ

เรียนรู้กันจากประสบการณ์ของกันและกันแล้ว ความต่างวัยต่างทิฐฐิกัน ก็จะลดน้อยหรือใกล้ชิดกันมากเข้า จนความแก่ความหนุ่มหรือความต่างวัย หมดสิ้นไปในสังคมไทย เมื่อนั้นเวลาก็จะมีความหมายน้อยลง.... จริงไหมครับท่าน?


โดย เพื่อนอาจารย์ [15 ต.ค. 2545 , 11:52:08 น.]