วันอังคาร, พฤษภาคม 08, 2550

ลองฟังความเห็นของคนอื่น ที่มีต่อสิ่งที่เราตัดสินว่าสวย ดูครับ


นานนานจะอ่านเจอ บทความที่น่าถกเป็นประเด็นสาธารณะ เกี่ยวกับสถาปัตยกรรมมั่ง น่าสนใจครับ เลยเอามาpostฝากเพื่อนอาจารยคับ เขียนโดย ชาตรี ประกิตนนทการ มหาวิทยาลัยศิลปากร

สะพานพระราม ๘ ทัศนะอุจาด ทำลาย "ประวัติศาสตร์" ของ "เมือง"-กรุงเทพฯ


หลังจากสะพานพระราม ๘ เปิดใช้งานอย่างเป็นทางการเมื่อวันที่ ๒๐ กันยายน ๒๕๔๕ ปฏิกิริยาที่เกิดขึ้นของคนส่วนใหญ่ต่อสะพานพระราม ๘ ล้วนเป็นไปในเชิงบวกแทบทั้งสิ้น


หลากหลายคำพูดจากคนทั่วไปและหลายต่อหลายบทความ ที่ปรากฏทางหน้าหนังสือพิมพ์หรือวารสารต่างๆ แม้กระทั่งความคิดเห็นในอินเตอร์เน็ต ต่างมีแนวโน้มไปในทิศทางเดียวกัน ไม่ว่าจะกล่าวถึงในแง่มุมใดๆ ก็ตาม อาทิ สะพานพระราม ๘ จะกลายเป็นสัญลักษณ์ใหม่ของกรุงเทพฯ สะพานพระราม ๘ มีรูปทรงที่สวยงาม สะพานพระราม ๘ เป็นสะพานข้ามแม่น้ำเจ้าพระยาที่แสดงออกซึ่งเอกลักษณ์สถาปัตยกรรมไทยที่งดงาม เป็นต้น


แต่หลายคนคงไม่ทราบว่ากว่าที่สะพานพระราม ๘ จะเสร็จสมบูรณ์ ปรากฏให้เราเห็นเช่นปัจจุบันนี้นั้น ได้เกิดความขัดแย้งทางความคิดที่หลากหลายมาก่อนอย่างมากมาย มีการวิพากษ์วิจารณ์ถึงข้อดีข้อเสียและข้อจำกัดต่างๆ มาไม่น้อย


แต่ที่น่าแปลกใจก็คือ ความคิดเห็นที่ขัดแย้งอีกด้านนั้นกลับไม่ได้กลายเป็นหัวข้อวิพากษ์วิจารณ์ที่กว้างขวางแต่อย่างใด ทั้งนี้มิได้หมายความว่าความเห็นแย้งเหล่านั้นเป็นสิ่งที่ถูกต้องเสมอไป เพียงแต่สงสัยว่าสังคมให้ความสนใจต่อประเด็นถกเถียงดังกล่าวน้อยไปหรือไม่ ให้ความสนใจกับข้อมูลจากอีกด้านหนึ่งอย่างวิเคราะห์วิจารณ์ดีเพียงพอแก่การตัดสินใจหรือไม่ ซึ่งคำตอบที่พบก็คือไม่


แน่นอนความคิดคัดค้านหลายประการอาจขาดน้ำหนักที่น่าเชื่อถือ แต่ก็มีหลายประเด็นเช่นกันที่สังคมน่าจะต้องนำมาขบคิดว่ามีเหตุผลเท็จจริงแค่ไหนอย่างไร แต่สังคมกลับมิได้ใส่ใจกับประเด็นโต้แย้งเหล่านั้นเท่าที่ควร ซึ่งส่วนหนึ่งน่าจะมาจากความไม่ใส่ใจต่อสิ่งที่เกิดขึ้นรอบๆ ตัว โดยเฉพาะอย่างยิ่งถ้าไม่ได้มากระทบกับตัวเองโดยตรง


แต่ในกรณีของสะพานพระราม ๘ นั้นมีปัจจัยเสริมที่ทำให้สังคมส่วนใหญ่ละเลยความเห็นแย้งต่างๆ อย่างเฉยชายิ่ง นั่นก็คือได้มีการสร้างภาพลวงตาหรือข้อเท็จจริงลวงที่เป็นเพียงภาพเสมือนจริงมากกว่าที่จะเป็นความจริง จากฝ่ายสนับสนุนโครงการนี้ เพื่อให้สาธารณชนทั่วไปเห็นภาพเฉพาะด้านที่ดีของโครงการ จนทำให้เพิกเฉยต่อข้อมูลจากอีกด้านหนึ่ง โดยพยายามป้อนข้อมูลเพียงด้านเดียวเข้ามาหาเราทุกวันๆ จนทำให้ภาพเสมือนจริงเหล่านั้นกลายเป็นความจริงในความรู้สึกของเราไปในที่สุด


ดังนั้นบทความนี้จึงมุ่งที่จะเข้าไปศึกษาคำโฆษณาชวนเชื่อเหล่านั้นอย่างวิเคราะห์วิจารณ์ให้มากขึ้น พยายามเข้าไปตรวจสอบคำกล่าวอ้างต่างๆ ที่เกิดขึ้นกับสะพานแห่งนี้ ว่ามีข้อเท็จจริงตามคำโฆษณานั้นมากน้อยแค่ไหนอย่างไร หรือเป็นเพียงการกล่าวความจริงเพียงครึ่งเดียวเพื่อให้เห็นเพียงด้านที่ดีด้านที่เป็นบวกเท่านั้น อีกทั้งมีผลเสียใดๆ เกิดขึ้นบ้างตามมาหลังจากสะพานพระราม ๘ ได้เปิดใช้งานอย่างเป็นทางการ


แต่ด้วยข้อจำกัดในความรู้ของตัวผู้เขียน ทำให้เป้าหมายแห่งการตรวจสอบของบทความนี้จึงจำกัดอยู่เฉพาะเรื่องผลกระทบที่เกิดขึ้นจากรูปแบบสถาปัตยกรรมของสะพานพระราม ๘ ที่ส่งผลต่อเมืองและอาคารทางประวัติศาสตร์ต่างๆ ที่อยู่ใกล้เคียง และวิเคราะห์วิจารณ์เรื่องความมีเอกลักษณ์ไทยบางอย่างในตัวสะพานเท่านั้น โดยศึกษาถึงกระบวนการสร้างภาพมายาให้แก่รูปแบบตัวสะพาน ตลอดจนการสื่อสารต่อสาธารณชนทั่วไปผ่านบทความต่างๆ หรือคำกล่าวอ้างที่เราได้ยินกันจนชินหู ซึ่งบทความนี้ได้มุ่งประเด็นความสนใจในคำกล่าวอ้าง ๓ ประการหลักๆ ดังต่อไปนี้


๑. สะพานพระราม ๘ มีรูปแบบที่สวยงาม ดังนั้นจึงไม่เป็น "ทัศนะอุจาด" ของเมือง

๒. สะพานพระราม ๘ จะทำหน้าที่เป็นสัญลักษณ์ใหม่ของกรุงเทพมหานคร

๓. สะพานพระราม ๘ เป็นสถาปัตยกรรมที่สะท้อนเอกลักษณ์ไทย ดังนั้นจึงไม่ขัดแย้งกับบริบทแวดล้อมของเมืองเก่า


ทั้ง ๓ ประเด็นข้างต้นถึงแม้อาจจะไม่ได้มีการกล่าวตรงๆ ดังว่านี้ก็ตาม แต่คำพูดต่างๆ ที่ได้ยินได้ฟังและได้พบมานับตั้งแต่สะพานแห่งนี้เปิดใช้จนถึงปัจจุบันส่วนใหญ่แล้วก็ไม่หนีจากความเชื่อ (ที่ยังไม่ได้รับการตรวจสอบอย่างจริงจังเลย) ดังกล่าวทั้ง ๓ ประการข้างต้นนี้แทบทั้งสิ้น


นอกจากนี้ทั้ง ๓ ประเด็นข้างต้นล้วนเป็นประเด็นทางวัฒนธรรมที่น่าสนใจ และต่างก็ได้รับคำโฆษณาเพียงด้านเดียวจากฝ่ายผู้รับผิดชอบโครงการ


ดังนั้นผู้เขียนจึงอยากที่จะนำเสนอข้อมูลอีกด้านเพื่อให้สังคมในวงกว้างเป็นผู้ตัดสินใจ ทั้งนี้มิใช่ว่าผู้เขียนมีเจตนาที่จะฟื้นฝอยหาตะเข็บ ติในสิ่งที่แก้ไขไม่ได้แล้ว หรือสิ่งที่ผู้เขียนกล่าวจะต้องเป็นความจริงทั้งหมดแต่อย่างใด เป็นแต่เพียงอยากที่จะนำเสนอความคิดเห็นที่แตกต่างและตั้งเป็นประเด็นข้อคิดเห็นเล็กๆ เอาไว้ เพื่อที่ว่าการตัดสินใจใดๆ ต่อโครงการในอนาคตข้างหน้าที่จะต้องมีอย่างแน่นอนนั้น จะได้มีการเปิดเป็นเวทีสาธารณะอย่างกว้างขวางมากกว่าที่เป็นอยู่ และให้โอกาสภาคประชาชนเข้าไปตรวจสอบมากขึ้น อย่าคิดเพียงว่าโครงการเช่นนี้เป็นเรื่องเฉพาะทางเฉพาะกลุ่ม เช่น พวกวิศวะ หรือสถาปนิก หรือเฉพาะแวดวงผู้รับผิดชอบโดยตรงเท่านั้น แต่โครงการเช่นสะพานพระราม ๘ นี้ เป็นโครงการที่ส่งผลกระทบทางสังคมมากกว่าที่คาดคิดกัน และเป็นประเด็นทางวัฒนธรรมมิใช่เรื่องทางเทคนิคเพียงอย่างเดียว

โดย ไทแมน [3 มี.ค. 2546 , 22:44:30 น.]



ข้อความ 1

http://www.matichon.co.th/art/art.php?select_date=2003/02/01&index=&show=2&selectid=0606010246 ขอโทดคับ มันยาวมากpost ไม่หมด ลองตามอ่านดูละกันนะคับ

โดย ต่อคับ [3 มี.ค. 2546 , 22:51:38 น.]

ข้อความ 2

ขอขอบคุณ ไทแมน เช่นเคยนะ ที่ยังคิดถึงกันอยู่ ว่าแต่..ยังอยู่ที่ต่างจังหวัดหรือที่กทม.กันแน่ แวะเวียนมาเยี่ยมน้องๆที่เพิ่งจบไปหรือป่าว? ปีนี้ มีมือคอมเสนองานหายห่วง เล่นเอางงๆ ใน"ความสวย" จนเพลินเลี่ยงดู "นิสัย" ของงาน ไปบ้างตามสมควร เมื่อกี้เพิ่งกลับมาจากประชุม ในเรื่องนี้ มีข้อสังเกตุให้พึงระวังว่า ต่อไปจะเกิด อาชีพทำงานคอมให้กับงานวิทยานิพนธ์กันแน่ ถ้าไม่พึงระวังให้ดีๆ มีงานในกลุ่มผมเขียนด้วยมือ อ่อน"ความสวย" ไปหน่อย ปรากฏเกือบเดี้ยง


ที่เกริ่นมาเรื่อง "ความสวย" นั้น น่าจะใกล้ เคียงข้อพิพาทเรื่องสะพานพระราม ๘ ที่ฝากมา ให้อ่าน..เท่าทีสังเกตทัศนะคติของพวกเรา มัก ไม่เป็นที่น่ายอมรับของสังคมส่วนใหญ่เท่าไรนัก เริ่มกันในสามกรณีใหญ่ที่แล้วมาเป็นต้น เช่น เรื่องสร้างทางรถไฟฟ้า ทำถนนเรียบแม่น้ำเจ้าพระยา และการคิดขุดเจ้าพระยา ๒ ก็มีการคัดค้านจากพวกเรา กันตรึม อันที่สำเร็จฝ่าการคัดค้านไปได้ คือ รถไฟฟ้า ในกทม. หากไปถามประชาชนทั่วไป เหมือนกรณี สะพานพระราม ๘ ขณะนี้ ผมว่าไม่มีใครเห็นด้วยกับที่เคยแย้งของพวกเรา มากนัก เพราะทั้งสองกรณีมันช่วยสนองตัณหา เรื่องการจราจรให้กับพวกเขามาก คนเรานั้น ขณะกำลังดิ้นรนหรืออดยากกัน เรื่องความงาม หรืองานศิลปะ ดูจะเป็นทางเลือกทีหลัง แต่เมื่อ ไรสะบายปากสะบายท้องกันแล้ว ก็จะร้องหา ความสุขอื่นต่อไป โดยเฉพาะตัณหาทางศิลปะ


ทั้งศิลปะและความจำเป็น (ไม่ใช่ความต้องการ) นั้นมีคุณค่าสำหรับมนุษย์เสมอ เพียงแต่ต้อง ตระหนักให้ดีว่า อะไรคือคุณค่าที่แท้จริงของ ศิลปะและความจำเป็นนั้น เพราะถ้าเกินเลยไป ก็ จะเป็นเรื่องของตัณหาทั้งนั้น ..ในทางพุทธฯ กล่าวถึงเรื่อง "ความงาม หรือความสวย" ที่ไกล ต่างจากที่พวกเราเชื่อกันหรือเรียนกัน บางครั้ง เราเองก็โดนเสี้ยมสอนให้รับรู้ ที่ไม่มีเหตุผล แข็งแรงพอเพียง ผมเองพักหลัง..ลดเรื่องเหล่านี้ ไปเยอะ ไม่ใช่ไม่เห็นด้วยกับความงามที่เราเรียนกัน แต่เพราะไม่แน่ใจว่าการ"สัมผัส" ความจริงพรรค์นี้ ตรงกับของชาวบ้านหรือเปล่า บางครั้งก็กลัวกลาย เป็น"พวกนอกคอก" สำหรับสังคมสถาปนิกไทย ไปเลย เช่นเรื่องการอนุรักษณ์ ผมก็ยังหาคำอธิบาย ไม่ค่อยได้จุใจนัก เลยบางครั้งกลายเป็นคนหา กำพืดตัวเองไม่เจอ ..แต่พอเรื่องศาสนาพุทธแล้ว ชักจะสนใจว่า น่าจะเป็นรากเหง้าที่คนไทยควรศึกษา แล้วเอามาอธิบายหรือหาทางออกของการโต้แย้ง เรื่องดังที่ ไทแมน ฝากมา บางทีจะลดอัตตา หรือ ความกังวลใจไปได้บ้างนะครับ ผมมีคำอธิบาย ความงามในแง่พุทธศาสนาที่เก็บไว้พอสมควร รู้สึกเคยเอามาอ้างและโพสต์ไว้บ้างแล้ว โดย เฉพาะคำอธิบายของท่านเจ้าคุณพระธรรมปิฎกฯ นับว่าทันสมัยกว่าใคร ...ว่างจะกลับไปทบทวน เรื่องนี้อีกที


อาชีพของพวกเราถ้าจะขยายขอบเขตไปจากที่ เรียนรู้กันในคณะ น่าจะต้องเอาใจใส่กับทรรศนะ ของมวลชนเหมือนกัน ไม่งั้นพวกเราก็จะกลายเป็นพวก "เว่อ" ในสายตาของคนไทยส่วนมาก เหมือนในขณะนี้ ว่างๆ..บางทีอาจต้องกลับคืนสู่ "สามัญ" กันเสียบ้าง ก็น่าจะดี...นะครับ


ฝอยกันแค่นี้ก่อนนะ ...ดีใจที่ยังมาเจอกันอีก คิดหาหญิง "ชาวบ้าน" แต่งเมียหรือยัง? เอาที่ เชยๆแหละดี ..เพราะมีคู่แข่งน้อยกว่าหญิงเว่อ เรื่องนี้..คือสุดยอดของความสวยความงาม ยิ่งใหญ่กว่ากรณีการโต้แย้งเรื่องสะพานพระราม ๘ จริงๆ..นะครับ..จะบอกให้

โดย เพื่อนอาจารย์ [4 มี.ค. 2546 , 18:28:23 น.]

ข้อความ 3

อยู่เกาะครับอาจารย ปลีกตัวเขียนหนังสือเป็นงานหลัก tect เป็นงานรอง ถ้ามีสนพ .ไหนยอมพิมให้แล้วจะเอามาอวดครับผม

โดย ไทแมน [7 มี.ค. 2546 , 13:52:47 น.]

ข้อความ 4

ส่งมาให้อ่านบ้างสิ เผื่อจะเอาไปให้เขาพิมพ์ ว่าแต่ว่าเรืองความสวยความงามของพวกเรา คงต้องพูดกันเป็นเรื่องเป็นราว มีเหตุมีผล มีข้อพิสูจน์ มากกว่า บรา บรา บรา เพราะศาสตร์เรา ไม่ใช่เรื่องส่วนตัว แต่เป็นสิ่งสาธารณะ

โดย ครูประชาบาล [9 มี.ค. 2546 , 10:19:51 น.]

ข้อความ 5

หลายเรื่องก้อได้ความคิดมาจากตอนที่นั่งคุยกับครูหลายหลายหนแลัวก้อจดจดมาขยายความน่ะคับ ต้องขอบคุณครูประชาบาลไว้ล่วงหน้าเลยคับ ที่ช่วยให้ความคิดทั้งทางตรงและทางอ้อม ไว้เกลาเสร็จเมื่ไหร่จะส่งไปให้ดูแนนอนคับ

โดย ไทแมน [13 มี.ค. 2546 , 14:10:53 น.]

ข้อความ 6

ฝากให้..ไทแมน ลองพิจารณาดู...นะครับ


ความงามกับการพัฒนาทางจิตวิญญาณ


ในความจริงมีความงาม ถ้าเข้าถึงความจริงของสรรพสิ่ง ก็จะประสบความงาม การประสบความงามทำให้เกิด ความสุข ในธรรมชาติของสรรพสิ่งมีความงามอยู่ทั่วไป ความสุขที่ได้สัมผัสกับความงาม พัฒนาจิตใจให้สูงและ เจริญขึ้น ..ความงาม ๑๐ ประการที่ประสบได้ในวิถีชีวิต


๑. ความงามของธรรมชาติและปรากฏการณ์ทางธรรมชาติ

๒. ศิลปะ เป็นความงามที่มนุษย์สร้างขึ้นควร เพื่อการลดกิเลส

๓. ความงามในงาน งานที่ทำอย่างประนีต ให้เกิดประโยชน์สำเร็จ

๔. ความงามในความรู้ รู้จริงรู้ทั่วรู้การเชื่อมโยงด้วยกันทั้งหมด

๕. ความงามของจิตใจ พัฒนาให้เจริญในพรมวิหารธรรม

๖. ความงามในวาจา ด้วยปิยวาจา ความจริง วจีสุจริต

๗. ความงามในการกระทำ ไม่เบียดเบียน มีศิลเป็นความงาม

๘. ความงามในความเป็นชุมชน การรวมตัวเอื้ออาทรกันตามโอกาส

๙. ความงามในสัญลักษณ์ทางศาสนา ส่งเสริมให้คุณค่าคำสอน

๑๐. ความงามในสติ(ศีล) สมาธิ และปัญญา เพื่อพัฒนาสู่สังคมแห่งความรู้

โดย เพื่อนอาจารย์ [22 มี.ค. 2546 , 09:39:51 น.]

ข้อความ 7

ผมเชื่อว่า เราสามารถหาทฤษฎีมากมายเพื่อมา อธิบายในสิ่งที่เราทำขึ้นมา ดังนั้นความงามตามทฤษฎีที่มีมาก่อนก็ตาม หรือความงามที่ไม่เคยมีปรากฎตามทฤษฎีก็ตาม ล้วนแล้วแต่ต้องตรวจสอบด้วยความรู้สึกทั้งสิ้น ความรู้สึกจึงเป็นเหมือนประตูบานแรกแห่งการนำ ทางให้พบความน่ารื่นรมย์แห่งองค์ประกอบต่างๆ รูปร่างที่เราเห็นปรากฎเป็นเพียงผลที่ได้รับจาก การรู้สึกในเบื้องต้น คำถามที่ผมมักคุยกับลูกค้าคือ คุณรู้สึกอย่างไร เราอยากฟังสิ่งที่เขารู้สึกมากกว่า สิ่งที่เรารู้สึก เพราะคนที่เรียนโดยการครอบ ความคิดอย่างพวกเรา กับลูกค้ามักรู้สึกแตกต่างกัน แต่สิ่งที่เราค้นพบคือ ในโลกนี้ไม่มีอะไรที่สอดคล้อง อย่างแท้จริงหรือขัดแย้งอย่างถาวร


โดย สันต์57 [22 มี.ค. 2546 , 19:19:59 น.]

คุณคือใคร?...ใคร่อยากถาม


อยากทราบว่าเพื่อนอาจารย์กับครูประชาบาลคือใครในคณะเราหรือครับ เป็นความลับหรือเปล่าอยากู้จังเลยครับ

โดย เด็กโง่ [12 ธ.ค. 2545 , 06:22:53 น.]

ข้อความ 1

ผมเคยฟังรายการวิทยุ และติดใจนักจัดรายการสาว เพราะซุ่มเสียงเธอไพเราะมาก ช่างพูดสรรจำนรรจา เลยอยากใคร่ได้ยลโฉม แต่พอค้นหาจนเจอะเจอ อารมณ์สุนทรีย์ที่เคยมีมาลดหายไปเกือบหมด เพราะความจริงดันไม่ตรงกับอุปทานที่คิดฝันไว้

ขณะนี้ก็กำลังติดใจการสนทนาธรรมะกับนักปฏิบัติ สาวคนหนึ่งในเว็บบอร์ด คุยมานานซาบซึ้งใจมาก แน่ใจว่าเป็นกัลยาณมิตรทางธรรมที่ดีมากผู้หนึ่ง ฝันไว้ว่าคงเป็นคนผิวขาวเนียน เรียบร้อย และคงน่ารัก แต่สาบาลกับตัวเองว่าจะไม่พยายามไปเจอตัวจริงๆเด็ดขาด เพราะกลัวฝันในรูปนั้นจะสลายไป พร้อมอคติในสาระ ที่จะต้องคุยกันต่อไป เนื่องจากยังไม่บรรลุอรหันต์ธรรม ยังมองเห็นสังขารเป็นปฏิกูลเดียวกันและเหมือนกันหมดไม่ได้ เลยอยากรักษาฝัน..ไม่ขอทราบข้อมูลอื่นที่ไม่จำเป็นอีกต่อไปแล้ว

อีกเรื่อง ในการทดสอบอารมณ์สุนทรีย์ในเรื่องงานศิลปะ กับบรรดาผู้รักศิลปะและภาพวาดที่ส่วนมากเป็นเด็กๆ พบว่า..ในการดูภาพวาดที่บอกชื่อศิลปินที่มีชื่อเสียง กำกับไว้ด้วยที่ภาพนั้น จะได้คะแนนนิยมชมชอบ มากกว่าภาพวาดที่ไม่ระบุชื่อศิลปินไว้ ทั้งๆที่เป็น ภาพวาดเดียวกัน นี่คืออคติหนึ่งในเรื่องความสุนทรีย์

กลับมาเรื่องตัวจริง เสียงจริง ใครเป็นใครในที่นี่ ถ้าเผอิญรู้เข้า เชื่อไหม? อารมรมณ์ที่อยากพูดคุยกันจะ หมดหายไปทันที เพราะพอนึกหน้าทีไร อยากหนี ไปให้สุดโลก ยิ่งเจอประเภทแก่ชรา เหนียงคอห้อย ยิ่งเวทนาจนไม่อยากให้เกิดขึ้นกับตัวเองที่ยังหนุ่มหล่อ ทั้งที่รู้ต่อไป ข้าก็จะเป็นเช่นเจ้า ..แต่ขอรอก่อนจ้ะ

เพราะฉะนั้น จะให้การคุยในเว็บบอร์ดนี้สนุก ต้องคิดเสียว่าทุกคนเป็นผีสาง ไร้รูปตัวตน แต่มีจิต ใต้สำนึกที่ดีบริสุทธิ์กันทุกคน คุยกันด้วยจิตเช่นนี้ จะมีอรรถรส และสุนทรีย์มากกว่าคุยกันแบบซึ่งหน้า เพราะสาระที่คุยอาจเกิดเพราะจิตปรุ่งแต่ง ไม่ใช่จิตแท้ ที่มุ่งสนใจในสาระและประโยชน์ของธรรมมากกว่าสิ่งอื่นใด

เมื่อคืนก่อน..กลับไปอ่านเรื่องกามนิต-วาสิษฏี ฉบับ แปลของเสถียรโกเศสและนาคะประทีป ..ภาคบนดิน ตอนที่กามนิตสนทนาธรรมกับพระพุทธเจ้า แล้วอยากรู้ ว่าเป็นใคร พระพุทธเจ้าก็เลี่ยงที่จะบอก เพราะอยาก ให้เอาที่สาระธรรมที่พระองค์กำลังโปรดกามนิต ไม่อยากให้ติดที่รูปลักษณ์ ชื่อเสียงและบรรดาศักดิ์ กามนิตก็ยังดื้อด้าน ไม่ยอมเชื่อธรรมที่แสดง แต่ อยากไปสอบถามพระพุทธเจ้าโดยตรงก่อนเชื่อ ตื่นเช้าเลย ตาลีตาเหลือกรีบออกจากบ้านคนปั้นหม้อ เพื่อจะไปเฝ้าพระพุทธเจ้าให้ได้ จนโดนโคบ้าขวิด ตายอยู่ข้างถนนในกรุงราชคฤห์ พระสารีบุตรผ่านมา พบและทราบเรื่องราวที่กามนิตประสงค์จะพบพระพุทธเจ้า ก่อนตายให้ได้ และพระสาวกก็มีฌานรู้ด้วยว่าพระพุทธเจ้า กำลังประทับอยู่ที่บ้านช่างปั้นหม้อนั่นเอง ที่ๆซึ่ง กามนิตเผ่นออกมาก่อนหน้า โดยไม่รู้ว่าตนอยู่พักร่วมกับ พระพุทธเจ้ามาตลอดคืนที่นั่น ..ท่านรำพึงว่า..กามนิต หนุ่มนี้ สนใจเพียงรูปลักษณ์ของพระศาสดา หาใช่ที่ พระธรรมคำสั่งสอนอันสำคัญเหนือสิ่งอื่นใดไม่ ดังที่.. พระพุทธเจ้าได้สำทับไว้ก่อนหน้ากับกามนิตว่า ธรรมใดๆ.. ที่พิจารณาไว้แล้วว่าเป็นประโยชน์ และดีในการปฏิบัติกับ ตนเองได้แล้ว ก็ไม่ควรสนใจไปอีกว่าธรรมนั้น..เป็นของใคร หรือคนพูดนั้นเป็นใคร หล่อหรือสวยอย่างไร เป็น ศ.หรือ เป็น ดร.หรือไม่ ..ฯลฯ ....ดังนี้เป็นต้น

ก็เลยพล่ามมาเสียยาวเฟื้อยเหมือนเดิม ยังคงเป็นผีเร่ร่อน ในเว็บบอร์ดนี้อยู่ดี..ครับ

โดย เพื่อนอาจารย์ [12 ธ.ค. 2545 , 12:00:57 น.]

ข้อความ 2

ถ้าเช่นนั้นคุณเพื่อนอาจารย์ก็คงเป็นผีสางที่มีตบะแก่กล้าจริงๆครับ ได้พูดคุยกับคุณเพื่อนอาจารย์สนุกกว่าคุยกับเพื่อนๆรุ่นเดียวกันเยอะเลย แบบว่าจินตนาการของคุณเพื่อนอาจารย์มันช่างสูงส่งจนสุดที่ปรมัตถพิกัด+กับแนวคิดทางพุทธปรัชญาที่ไม่ใช่การงมงายสักแต่เชื่อเหมือนคนอื่นๆที่ยังหลงกับรูปลักษณ์ทางกายภาพ ว่างๆก็ขอความกรุณาเช่นเคยนะครั่บ(-_- )

โดย ผีจญิมโณเภดัย [12 ธ.ค. 2545 , 15:40:05 น.]

ข้อความ 3

ฮ่าๆๆ....นั่นสิ เหมือนความรักในเนตมั๊ย อาจารย์ ...ไม่เจอตัว เห็นในความคิด ไม่ฟังเสียงแต่ได้ยินก้องในความคิด ว่าดี...

โดย ชักจะเพี้ยนแล้วตรู [12 ธ.ค. 2545 , 17:45:36 น.]

ข้อความ 4

เป็นคำตอบที่ได้รู้จักและสัมผัสกับจิตวิญญาณมากเลยครับขอบคุณครับแอบนึกในใจเหมือนกันว่าจะได้คำตอบประมาณนี้ แต่ก็คิดไม่ได้ว่าท่านคือคนที่ผมเคยเดินผ่านที่คณะหรือที่ใดมุมไหนในโลกและไม่ได้ทักทายทั้งที่เหมือนเคยรู้จักและคุ้นเคยมานานในที่แห่งนี้ ถึงยัง..ไงก็ขอเคารพด้วยจิตคารวะผีเร่ร่อนในเว็บบอร์ดตนนี้อยู่ดีครับ

โดย กามนิตหนุ่ม [12 ธ.ค. 2545 , 18:03:13 น.]

วันพุธ, พฤศจิกายน 29, 2549

ความรัก...คือ...อะไร

เมื่อคืนก่อน..นอนดูหนังจีนเรื่อง"กระบี่เย้ยยุทธจักร์" งานวรรณกรรมของกิมย้งปรมาจารย์หนังจีนกำลังภายใน มีตอนหนึ่ง..แม่ชีน้อยอี่ลิ้ม ตอบคำถามแม่นางอิ๋งอิ๋ง....ว่า

"คนเราถ้าจะรักใคร จะต้องไม่มีเงื่อนไข และไม่ต้องการสิ่งตอบแทน...ใดๆ อะไรก็ตาม ที่ทำให้คนที่เรารักมีความสุข ตัวเราเองย่อมต้องเป็นสุขไปกับเขาด้วย... อันความรักมักเกิดความหึงหวง.. แต่ถ้าเรารักเขามากจริงๆแล้ว เราจะไม่มีความหึงหวงนั้นเลย"

ฟังแล้ว...แม่นางอิ๋งอิ๋ง ก็เข้าใจ ..บรรลุธรรมนี้แล

2 : ขอเพิ่มเติม..การรำพัน..เรื่องความรัก ของปรมาจารย์หนังจีนกำลังภายใน...อีกผู้หนึ่ง ...ท่านโกเล้ง..ฉายามังกรโบราณ

ความรัก คืออะไร?

รักกันดูดดื่มจนลืมตาย รักจนกระทั่งประสาทเลอะเลือน รักจนกระทั่งปัญญาโง่งม รักจนกระทั่งหากขาดเธอฉันก็จะตาย นอกจากเธอแล้วฉันไม่ต้องการสิ่งอื่นใดอีก รถยนต์ก็ไม่ต้องการ ตึกก็ไม่ต้องการ ชื่อเสียงก็ไม่ต้องการ อาชีพการงานก็ไม่ต้องการ มิตรสหายก็ไม่ต้องการ กระทั่ง พ่อ แม่ พี่ น้อง สามี และ บุตรก็ไม่ต้องการ กระทั่งแม้ทรัพย์สินเงินทองเพชรพลอย ก็ไม่ต้องการ กระทั่งแม้ชีวิตก็ไม่ต้องการ นี่จัดว่าเป็นความรักได้ไหม? ...แน่นอน ต้องเป็น

หากว่าแม้กระทั่งอารมณ์ความรู้สึกเช่นนี้ยังไม่อาจจัดว่าเป็นความรัก จะยังมีอารมณ์ความรู้สึกใดที่จัดว่าเป็นความรักได้อีก?

..แต่ว่า..ความรักเช่นนี้สามารถรักษาไว้ได้นานเท่าใดเล่า?

ความรักและมิตรภาพไม่เหมือนกัน

ความรัก คือสิ่งจริงแท้ คือสิ่งที่เข้มข้น คือการไม่คำนึงถึงสิ่งอื่นใด คือการไม่คำนึงถึงความเป็นความตาย คือสิ่งที่สามารถทำให้หูของ คนเปลี่ยนเป็นหนวก ดวงตาของคนเปลี่ยนเป็นบอด และที่น่าเสียดาย ที่ความรักโดยทั่วไปแล้วมักเป็นสิ่งที่สั้นเพียงชั่วระยะหนึ่ง แต่ว่านี่ย่อมไม่ใช่เรื่องน่าเศร้า

แต่เมื่อยามที่ความรักแท้จริงได้รับการฟูมฟักดูแลอย่างตั้งใจ ย่อมจะออกดอกอันงดงามและหอมจรุงชนิดหนึ่ง...ดอกไม้แห่งมิตรภาพ

มิตรภาพและความรักนั้นไม่เหมือนกัน โดยพื้นฐานแล้วกลับเป็นสิ่งเกี่ยวโยงกัน เพราะว่าล้วนแต่เป็นอารมณ์ความรู้สึกที่บริสุทธิ์ที่สุด ดั้งเดิมที่สุด และเป็นความรู้สึกที่ปัจจุบันที่สุดเช่นกัน และเนื่องจากมนุษยชาติมี ความรู้สึกเช่นนี้เอง ดังนั้นมนุษยชาติจึงดำรงอยู่เป็นนิรันดร์

คนที่รู้จักกันนานปี แต่งงานเป็นสามีภรรยากัน ถึงท้ายที่สุดแล้วต้องมี มิตรภาพต่อกันและกัน มิตรภาพของคนที่ไว้ใจซึ่งกันและกัน มิตรภาพ แห่งการพึ่งพาแก่กันและกัน มิตรภาพที่จะไม่จากกันจนกว่าความตาย จะมาพลัดพราก ....ความรู้สึกผูกพันระหว่างท่านและสามีหรือภรรยาของท่าน คือมิตรภาพ? หรือว่าคือความรัก?

จาก..."เดียวดายใต้เงาจันทร์..โก้วเล้ง รำพัน" แปลเรียบเรียงโดย เรืองรอง รุ่งรัศมี...สำนักพิมพ์มติชน

3 : คราวนี้ลองมาฟังอีกทัศนะในแง่พระพุทธศาสนา อันเป็นคำสอนของสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า นะครับ....

รักด้วยเมตตาเป็นอย่างไร ? รักด้วยตัณหาเป็นอย่างไร ?

ความรักด้วยเมตตา .....เป็นความเยื่อใยในคนอื่น ใคร่ จะให้เขาได้ดีมีสุข โดยไม่ได้คำนึงว่า การได้ดีมีสุขของ คนเหล่านั้น ตนเองจะมีส่วนเกี่ยวข้องหรือไม่

ส่วนความรักด้วยตัณหา ......เป็นเพียงความอยากได้ เป็นเพียงความเพลิดเพลินว่า ถ้าบุคคลนั้นมีอยู่เป็นไป อยู่ก็เป็นความสุขแก่เรา แม้ว่าบางครั้งจะเป็นการกระทำ ที่คิดว่าจะให้ผู้อื่นได้ดีมีสุขก็ตาม ตนเองต้องมีส่วน เกี่ยวข้องในความได้ดีมีสุขนั้นด้วย จึงจะกระทำ

ความรักด้วยเมตตา ......ไม่มีการหวังผลตอบแทน แม้ เพียงให้ผู้อื่นเห็นความดีของตน จึงไม่เป็นเหตุแห่งความ ทุกข์ ความเสียใจเนื่องจากความผิดหวังในภายหลัง

ส่วนความรักด้วยตัณหา ...มีการหวังตอบแทน ต้องการ ให้เขารักตอบ โดยที่สุด แม้เพียงให้เขาเห็นความดี ของตน เพราะฉะนั้น จึงมีโอกาสเป็นเหตุแห่งความ ทุกข์ความเสียใจ อันเนื่องมาแต่ความผิดหวังในภาย หลังได้ สมตามพระดำรัสที่ว่า "ที่ใดมีรัก ที่นั่นมีทุกข์"

นี่เป็นความแตกต่างระหว่าง เมตตา กับ ตัณหา ความจริง คนเรายังละตัณหาไม่ได้อย่างพระอรหันต์ ก็มีทั้งความรักด้วยเมตตา และตัณหา เพียงแต่ว่า ใน ทั้งสองอย่างนั้น อย่างไหนจะเป็นประธานออกหน้ากว่า กันเท่านั้น

เพื่อเป็นการทำความรู้จักกับธรรมชาติ ที่ชื่อว่า "เมตตา" นี้ ดียิ่งขึ้น จึงควรทราบลักษณะเป็นต้นแห่งความเมตตานี้ก่อน ดังต่อไปนี้

เมตตา - มีความเป็นไปโดยอาการเกื้อกูล เป็นลักษณะ - มีความนำเข้าไป ซึ่งประโยชน์เกื้อกูลเป็นรส (กิจ) - มีการกำจัดความอาฆาตเป็นอาการปรากฏ - มีการเล็งเห็นภาวะ ที่สัตว์ทั้งหลายน่าพอใจ เป็นเหตุใกล้ให้เกิด

ก็สมบัติ คือ คุณของเมตตานี้ ได้แก่ความเข้าไปสงบความ พยาบาทได้นั่นเอง เพราะธรรมชาติของเมตตา เป็นไปเพื่อ กำจัดโทสะ ความเกิดขึ้นแห่งความใคร่ จัดว่าเป็นความวิบัติ ของเมตตา เพราะเหตุที่จะกลับกลายเป็นความรักด้วย ตัณหาไป ดังนี้

เพื่อเป็นการปลูกอุตสาหะ จะได้กล่าวถึงอานิสงส์ หรือ ประโยชน์ที่จะพึงได้รับจากการเจริญเมตตา ผู้เจริญ เมตตา พึงได้รับอานิสงส์ ๑๑ ประการ คือ
๑. หลับเป็นสุข ๒. ตื่นเป็นสุข ๓. ไม่ฝันร้าย ๔. เป็นที่รักของมนุษย์ทั้งหลาย ๕. เป็นที่รักของอมนุษย์ทั้งหลาย ๖. เทวดารักษา ๗. ไฟก็ดี ยาพิษก็ดี อาวุธก็ดี ย่อมล่วงเกินเขาไม่ได้ ๘. จิตย่อมตั้งมั่นได้เร็ว ๙. มีสีหน้าผ่องใส ๑๐. ไม่หลงตาย ๑๑.

เมื่อยังแทงตลอดธรรมที่สูงไปกว่านี้ไม่ได้ ก็จักเข้าถึงพรหมโลก

วิธีเจริญเมตตา
อันดับแรก ก่อนที่จะเจริญเมตตา ควรพิจารณาคุณของขันติ คือความอดกลั้น และโทษของความโกรธก่อน ถามว่า เพราะเหตุใด เพราะว่าการเจริญเมตตานี้เป็นไปเพื่อละโทสะ และเพื่อบรรลุธรรม คือ ขันติ ถ้าเราไม่รู้จักโทษของความโกรธ เราก็จะละความโกรธไม่ได้ และถ้าไม่รู้จักคุณของขันติ ก็จะบรรลุขันติไม่ได้

ควรพิจารณาเสมอว่า คนเราถ้าขาดความอดกลั้นเสียอย่างเดียว จะทำการงานอะไรๆ ให้สำเร็จมิได้เลยเพราะมีปัญหาอะไรนิดๆหน่อยๆ เขาก็ทนไม่ได้ คืองานหนักหน่อยก็บ่น ไม่ถูกใจผู้บังคับบัญชา หรือ เพื่อนร่วมงาน แม้ในเรื่องเล็กๆน้อยๆก็บ่น ก็ทนไม่ได้ จะหยุดงาน จะลาออก อย่างนี้แล้วจะไปประสบความสำเร็จในการงานอาชีพอะไรได้ เพราะมัวแต่ตั้งต้นกันใหม่ เริ่มกันใหม่อยู่ร่ำไป ทางโลกซึ่งเป็นเรื่องหยาบ ยังเป็นอย่างนี้ ทางธรรม โดยเฉพาะการปฏิบัติธรรมในส่วนเบื้องสูง จะป่วยกล่าวไปใยถึงความสำเร็จ ขันติจึงเป็นธรรมที่ต้องการอย่างยิ่ง ในเบื้องต้น ขาดขันติแล้ว การเจริญกุศลทุกอย่าง ย่อมสำเร็จไปไม่ได้ แม้แต่กุศลขั้นต่ำสุด คือทาน ได้แก่การให้ก็จะทำได้ไม่ดี เพราะพอ รู้สึกว่ายากลำบากหน่อยก็จะทำได้ไม่ดี เพราะพอรู้สึกว่ายากลำบาก หน่อยก็จะไม่ทำ เมื่อกุศลขั้นต่ำสุด ยังทำไม่ได้ กุศลที่สูงยิ่งไปกว่านี้ จึงมิจำเป็นต้องพูดถึง เพราะเป็นเรื่องที่ต้องฝืนกิเลสมากกว่า จึงต้อง ใช้ความอดกลั้นมากกว่า

ก็เป็นอันว่า ขันติคือความอดกลั้น เป็นธรรมที่จำเป็นต้องมีกำกับใน การกระทำกุศลทุกอย่าง เพราะเหตุนั้นนั่นเอง จึงทรงตรัสสรรเสริญธรรม คือ ขันตินี้ไว้ในฑีฆะนิกาย มหาวรรค ว่า

ขนฺตี ปรมํ ตโป ตีติกฺขา นิพฺพานํ ปรมํ วทนฺติ พุทฺธา

ซึ่งแปลว่า "ขันติ คือ ความอดกลั้นเป็น ตบะ (ธรรมเครื่องแผดเผา กิเลสให้ไหม้ไป) อย่างยิ่ง พระพุทธเจ้าทั้งหลายกล่าวนิพพานว่า เป็นธรรมที่ยอดเยี่ยม" ดังนี้ หรือใน ขุทกนิกาย ธรรมบท ๒๕/๖๙ ว่า

ขนฺติพลํ พลานีกํ ตมฺหํ พฺรูมิ พฺราหฺมณํ

ซึ่งแปลว่า "เรากล่าว บุคคลผู้มีขันติเป็นกำลังเป็นกองทัพนั้นว่า เป็นพราหมณ์" ดังนี้ หรือใน สังยุตตนิกาย สคาถวรรค ๑๕/๓๒๕ ว่า

ขนฺตฺยา ภิยฺโย น วิชฺชติ

ซึ่งแปลว่า "ประโยชน์ยิ่งกว่าขันติ หามีไม่" ดังนี้เป็นต้น นี้เป็นคุณของขันติที่พึงพิจารณาเนืองๆ
ส่วนสำหรับโทษของความโกรธนั้น มองเห็นได้ง่าย เช่นว่า - คนเราจะประสบความสำเร็จในงานอาชีพ เพราะความโกรธ ก็หาไม่ ที่แท้แล้วมันจะล้มเหลวพินาศไปก็เพราะความโกรธนั่นแหละ

- คนมักโกรธ ไม่มีใครอยากเข้าใกล้อยากคบเพราะเขากลัวจะ มีเรื่องทะเลาะเบาะแว้งขัดเคืองใจกัน
- คนเราเมื่อความโกรธครอบงำ โอกาสที่จะขาดสติสัมปชัญญะ กระทำกรรมชั่วด้วยกาย วาจา และด้วยใจ ย่อมมีได้ ทั้งๆที่ไม่คิด ว่าจะทำได้มาก่อน ซึ่งอย่างน้อยมันก็จะเป็นเหตุให้ต้องเสียใจ เสวยทุกข์โทมนัสในการกระทำของตนในภายหลังได้ ในเมื่อได้สำนึก
- หลายคนต้องเสวยทุกข์ เสวยความลำบากเพราะการถูกลงโทษ ลงอาญาจากทางบ้านเมือง รวมทั้งต้องเสวยทุกข์ด้วยความเดือดร้อน ในอบาย เพราะกรรมชั่วที่ทำด้วยความโกรธ ฯลฯ

อนึ่ง โทษของความโกรธ พึงทราบโดยนัยตรงข้ามกับอานิสงส์ ของเมตตา ประการที่กล่าวมาแล้วนั่นเทียว นี้เป็นโทษของความโกรธที่พึงพิจารณาเนืองๆ

ก็เมื่อจะอบรมจิต เจริญเมตตา ควรแยกบุคคลที่เป็นอารมณ์ของ เมตตาออกก่อน ไม่ควรเจริญในบุคคล ๔ ประเภทก่อน คือ คนที่เกลียด ๑ คนกลางๆ ๑ คนที่รักมาก ๑ คนมีเวร หรือเป็นศัตรูกัน ๑ เพราะจิตใจที่ยังไม่คุ้นเคยกับความรู้สึกของเมตตา เมื่อพยายามจะ แผ่ความรักไปยังคนที่เกลียด โดยทำให้เป็นที่รัก ย่อมลำบาก ทำได้ยาก ถ้าพยายามแผ่ไปในคนที่รักมาก เช่น บุตร ภรรยา หรือสหายรัก โอกาสที่ จะเกินเลยกลายเป็นตัณหาไปก็มีมาก สำหรับบุคคลที่เป็นกลางๆ ไม่ได้รัก แต่ไม่ถึงกับเกลียด การที่จะทำให้ความรู้สึกพอใจ อิ่มเอิบใจเป็นไปใน บุคคลนั้นได้นานๆ ย่อมเป็นการลำบาก ส่วนผู้ที่มีเวรเป็นศัตรูกันมาก่อน นั้นเล่าก็แทบจะไม่ต้องพูดถึงกันเลย เพราะปกติเพียงแต่นึกถึงเขาใน แง่ดีบ้าง ก็ยังยากอยู่แล้ว จะป่วยการกล่าวไปใยถึงการที่จะแผ่เมตตาไปในเขา เพราะฉะนั้น แรกเริ่มเดิมที ควรเว้นบุคคลเหล่านี้เอาไว้ก่อน

เมื่อเป็นเช่นนี้จะให้เริ่มที่ใครก่อนเล่า ?
ตอบว่าในตนเองก่อน ควรสงสัยว่า ทำไมจะต้องให้แผ่เมตตาไป ในตนก่อน เพราะตามปกติ คนเราก็มีความรักในตนเองอยู่แล้ว? ตอบว่า ความรักที่มีในตนนั้น สำหรับผู้ที่มิได้มีจิตอบรมมาทางเมตตา จนเกิดความคุ้นเคยแล้ว มักจะเป็นไปด้วยอำนาจตัณหาไม่ใช่เมตตา เพราะมันเกิดขึ้นโดยสักแต่เห็นว่า "เป็นเรา" เมื่อเป็นเช่นนี้อะไรๆ ที่เกี่ยวกับตัวเรามันก็เป็นไปได้ในด้านดีไปเสียทั้งนั้น

ก็แต่ว่า ความเมตตาที่เป็นไปในตนที่ประสงค์เอาในที่นี้ ได้แก่ที่ทำให้ เกิดขึ้นในฐานะว่า เราก็เป็นสัตว์โลกผู้หนึ่งเช่นเดียวกับคนอื่นๆที่รักสุข เกลียดทุกข์เท่านั้นเอง พูดง่ายๆว่า การเจริญเมตตาในตนก็คือการทำ ความใคร่ต่อประโยชน์สุข และประโยชน์เกื้อกูลต่อบุคคลอื่นให้เกิดขึ้นโดย ตั้งตนไว้ในฐานะแห่งพยานนั่นเอง โดยนัยว่า "เราเป็นผู้ใคร่สุขเกลียดทุกข์ รักชีวิตและไม่อยากตายฉันใด แม้บุคคลอื่น สัตว์อื่นทั้งหลายก็ฉันนั้น" ดังนี้เป็นต้น ซึ่งแม้แต่พระพุทธเจ้าเองก็ตรัสไว้ใน สังยุตตนิกาย สคาถวรรค ๑๕/๑๐๙ ว่า

สพฺ พา ทิสา อนุปริคคมฺม เจตสา เนวชฺฌคา ปิยตรมตฺตนา กฺวจิ เอวํ ปิโย ปุถุ อตฺตา ปเรสํ ตสฺมา น หึเส ปรมตฺตกาโม

ซึ่งแปลว่า " เราเที่ยวตามค้นหาด้วยใจตลอดทิศทั้งปวง ก็ไม่ได้พบพานบุคคล ผู้เป็นที่รักยิ่งกว่า ตน ในที่ไหนไหนถึงตนของคนเหล่าอื่น ก็เป็นที่รัก มากมายอย่างนี้เหมือนกัน เพราะฉะนั้น บุคคลผู้รักตน ไม่ควรเบียด เบียนผู้อื่น" ดังนี้

เมื่อได้อบรมเมตตา โดยตั้งต้นไว้ในฐานะพยานอย่างนี้ จนคุ้นเคย คล่องแคล่วดีแล้ว ต่อไปก็ให้แผ่ไปในบุคคลอื่นๆ คือในบุคคลผู้เป็น ที่รักอย่างกลางๆ ไม่ถึงกับเป็นที่รักมากค่อนไปในทางเคารพบูชา เช่น ผู้ตั้งอยู่ในฐานะเป็นครูเป็นอาจารย์เป็นต้น จนคุ้นเคยคล่องแคล่วดีแล้ว ต่อจากนั้นก็แผ่ไปในบุคคลที่รักมาก ที่มีเวร หรือเป็นศัตรูกันถ้าหากว่า มีตามลำดับ

ก็แต่ว่าเวลานึกถึงบุคคลผู้มีเวรกันนั้น ความขัดเคืองย่อมมีโอกาสเกิดขึ้นได้ เพราะได้ระลึกถึงโทษที่เขาได้ทำไว้แก่เรา ก็เป็นเหตุขัดขวางการเจริญเมตตา เพราะฉะนั้น ต้องทำให้ความขัดเคืองอันนั้นสงบลงไปโดยอุบายวิธีดังต่อไปนี้ก่อน

- ลำดับแรกตักเตือนตนเองว่า พระพุทธเจ้าทรงติเตียนผู้ที่โกรธตอบผู้อื่นว่า เลวกว่าเขา เพราะเหตุที่รู้อยู่แล้วว่า ความโกรธนั้นเป็นของไม่ดี ก็ยังทำให้มัน เกิดขึ้นในใจของตนอีก เท่ากับช่วยขยายความโกรธนั้นให้แผ่กว้างออกไป

- คนที่เป็นศัตรูย่อมปรารถนาไม่ดีต่อศัตรูของตนว่า "ขอให้ผิวพรรณทราม" บ้าง "ขอให้อัตคัด ยากจน" บ้าง "ขอให้ทรัพย์สมบัติพินาสวอดวาย" บ้าง ตลอดจน "ขอให้ตกนรก" บ้าง ก็แต่ว่าการที่เราโกรธเขาแล้วปรารถนาอย่าง นี้นั้น ผู้ที่มีโอกาสประสบความไม่สวัสดีก่อนเป็นคนแรกคือ เรานี้เอง เพราะความโกรธที่เกิดขึ้นขณะนี้ กำลังทำให้เรามีหน้าตาขมึงทึง ผิวพรรณทราม และถ้าหากว่าลุแก่อำนาจของความโกรธแล้ว เราก็ต้องทำกรรมชั่ว มีหวังว่า จะต้องประสบกับความอัตคัด ยากจน เป็นต้น ตลอดแม้จน ตกนรกก็ได้ พราะฉะนั้น การโกรธเขาก็คือการให้ทุกข์แก่ตน เหมือนซัดทรายทวนลม ไปฉะนั้น

ถ้าได้ตักเตือนตนอย่างนี้แล้วยังมิได้ผล ก็ลองใช้วิธีอื่นดู คือ ความประพฤติของคนเรามี 3 แบบ คือ ความประพฤติทางกาย ความประพฤติทางวาจา และความประพฤติทางใจ

บางคนความประพฤติทางกายไม่ดี เช่น เป็นคนหยาบคายทางกริยา ลุกลี้ลุกลน ไม่สำรวม แต่ ความประพฤติทางวาจาของเขาดี คือ พูดจาอ่อนหวาน พูดจาชัดถ้อยชัดคำ พูดง่ายๆ ว่าดีทางเจรจาให้คน ฟังชอบใจ กรณีนี้ให้เรานึกถึงแต่ความประพฤติทางวาจาของเขา โดยอย่าพยายามนึกถึงความประพฤติทางกายของเขา ความขัดเคือง ก็มีโอกาสสงบลงได้

หรือบางคนความประพฤติทางวาจาไม่ดี มีพูดจาสามหาว มากไปด้วย คำหยาบเป็นต้น แต่มีความประพฤติทางใจดี เช่นเป็นผู้มากในการทำกุศล เช่นชอบช่วยเหลือผู้อื่นเป็นต้น อย่างที่เราเรียกว่า ปากร้ายใจดีนั่นแหละ เราก็อย่าพยายามนึกถึงความประพฤติทางวาจาของเขาให้พยายามนึกถึง ความประพฤติทางใจของเขาเท่านั้น ความขัดเคืองก็มีโอกาสสงบลงได้

หากว่าบางคนมีความประพฤติไม่ดีเลยทั้งสามทาง ก็ไม่มีอุบายวิธีอื่นใด นอกจากตั้งความกรุณาให้เกิดขึ้น ว่า "บุคคลผู้นี้ อุตส่าห์ได้อัตตภาพมา เป็นมนุษย์แล้ว ก็ปล่อยโอกาสให้เสียไป จะประพฤติอะไรให้สมกับ อัตตภาพไม่มีเลย เขามีโอกาสท่องเที่ยวไปในโลกมนุษย์ก็แต่อัตตภาพนี้ เท่านั้น อัตตภาพต่อไปก็เห็นทีว่าจะท่องเที่ยวอยู่แต่ในอบายมีนรกเป็นต้น เป็นแน่แท้" ดังนี้ ความขัดเคืองก็พอจะสงบระงับไปได้เหมือนกัน

ถ้าหากว่า โดยอุบายวิธีนี้แล้ว ยังไม่ได้ผลอีก ยังมีความโกรธความขัดเคืองอยู่ นั้นเอง ก็ลองให้โอวาทตนเองดังต่อไปนี้ดู

คือ ให้พิจารณาถึงภาวะ ที่บุคคลมีกรรมของตน ว่า "ทุกคนมีกรรมเป็นของตนจะ ประสบสุข ประสบทุกข์ ก็ด้วยกรรมของตนที่ได้กระทำไว้เท่านั้น ไม่มีใครทำให้ บัดนี้ตัวเจ้าอาศัยความโกรธ คิดจะกระทำตอบแทนต่อเขา ก็กรรมที่คิดจะกระทำ ต่อเขานั้น มันจะเป็นไปเพื่อความทุกข์ ความไม่สวัสดีแก่เขาก็หาไม่ ที่แท้ตัวเจ้า ผู้กระทำนั่นแหละ จะเป็นผู้รับผลแห่งกรรมนั้น เปรียบเหมือนการจับก้อนอาจม หรือ ก้อนถ่านลุกแดง ใคร่จะปาให้โดนผู้อื่น คนจับปานั่นแหละเป็นคนเปื้อนอาจม ก่อน ถึงฝ่ายเขาก็เช่นเดียวกัน การที่เขามุ่งร้ายต่อเรา ทำกรรมไม่ดีต่อเขา เขานั่นแหละ จักเป็นผู้รับผลแห่งกรรมชั่วที่เขาก่อไว้ มิใช่เราทำให้" ดังนี้ ก็อาจจะยังความโกรธ ความไม่พอใจให้สงบระงับได้

ถ้าหากว่า โดยอุบายนี้แล้ว ยังไม่ได้ผลอีก ยังมีความโกรธความขัดเคืองอยู่นั่นเอง ก็ลองใช้อุบายอื่นอีก คือ สำหรับบุคคลผู้มากด้วยศรัทธาในพระรัตนตรัย ก็พึง พิจารณาความประพฤติของพระศาสดาในครั้งยังเป็นพระโพธิสัตว์ บำเพ็ญ ปารมีอยู่ โดยอาศัยเรื่องราวในชาดก อันกว่าด้วยการบำเพ็ญขันติบารมีว่า ในครั้งนั้นๆ พระโพธิสัตว์ทรงอดกลั้นต่อความโกรธ ไม่ลุแก่อำนาจของความโกรธ แม้ต่อผู้ที่มาปลงชีวิตของพระองค์ดังนี้ เป็นต้น สำหรับเราเรื่องก็เพียงเล็กๆน้อยๆ ไม่ถึงขนาดว่าจะเอาชีวิตอะไรกันยังอดกลั้นไม่ได้ ป่วยการที่จะนับถือพระพุทธองค์ ว่าเป็นศาสดา ด้วยว่าโอวาทจากพระองค์เพียงเล็กๆน้อยๆ ก็ยังปฏิบัติตามไม่ได้

หากว่าความโกรธยังไม่สงบอีก แม้ด้วยอุบายวิธีนี้ เพราะเหตุที่เป็นผู้มีกิเลสสะสม มาหนาแน่น อย่างยากที่จะสะสาง ก็พึงพิจารณาความที่ตนมีความเกี่ยวข้องในด้านดี กับคนอื่น มาแล้วในสังสารวัฏฏ์อันยาวนาน โดยนัยแห่งพระดำรัส ที่ตรัสไว้ใน สังยุตตนิกาย นิทานวรรค ๑๗/๒๒๓-๒๒๔ ว่า

"น โส ภิกฺขเว สตฺโต สุลภรูโป โย น มาตา ภูตปุพฺโพ ฯเปฯ" ดังนี้ เป็นต้น

ซึ่งแปลว่า "ดูกร ภิกษุทั้งหลาย สัตว์ที่ไม่เคยเป็นมารดา ที่ไม่เคยเป็นบิดา ที่ไม่เคยเป็นพี่ชาย น้องชาย ที่ไม่เคยเป็นพี่สาว น้องสาว ที่ไม่เคยเป็นบุตร ที่ไม่เคยเป็นธิดาหาได้ไม่ง่ายเลย" ดังนี้ เพราะฉะนั้น ความคิดอย่างนี้ว่า "ในสังสารวัฏที่เราเกิดๆ ตายๆ อยู่นาน หนักหนานี้ ผู้นี้อาจเคยเป็นบิดา เป็นมารดา ผู้เคยถนอมกล่อมเกลี้ยงเลี้ยงดูเรามา ตั้งแต่ยังอยู่ในครรภ์ด้วยความรัก แม้ชีวิตก็ยินดีสละให้ได้ ในเวลานี้โทษที่เขาทำ กับเราแม้ว่ามีอยู่ แต่เมื่อเทียบกับบุญคุณในอดีตก็เป็นของเล็กน้อยนัก ไม่น่าถือ โกรธเลย" อะไรทำนองนี้ ความโกรธก็อาจสงบระงับได้

หรือไม่เช่นนั้น ก็โดยอุบายแยกธาตุ โดยนัยว่า "ธรรมทั้งหลายทั้งปวงเป็นอนัตตา ไม่ใช่ตัวตน ความจริงแล้ว สัตว์บุคคลหามีไม่ ที่แท้แล้วก็เป็นเพียงความเป็นไป ของนาม และรูป ซึ่งนามนั้นก็ยังประกอบด้วยขันธ์ต่างๆ มีเวทนาขันธ์ สัญญาขันธ์ สังขารขันธ์ และวิญญาณขันธ์ ถึงรูปแม้ว่าจะเป็นรูปขันธ์อย่างเดียว แต่รูปขันธ์นั้น ก็ยังประกอบด้วยมหาภูตรูป ๔ และอุปาทายรูป"

ก็ที่เราสำคัญว่า "โกรธเขานั้น โกรธใคร โกรธอะไร โกรธเวทนาหรือโกรธสัญญา โกรธธาตุดิน หรือโกรธธาตุน้ำ -- - - - " ก็จะหาบุคคลผู้ที่เราจะโกรธไม่ได้ ความโกรธย่อมมีโอกาสสงบระงับได้เหมือนกัน

ถ้าหากว่าไม่สงบระงับอีก ก็ลองใช้วิธีจำแนกทาน คือให้ตัดอกตัดใจสละของ อะไรๆที่มีค่าพอที่จะรู้สึกว่าเป็นการบริจาคให้แก่ผู้ที่เราผูกโกรธ ไม่พอใจคนนั้นไป วิธีนี้อาจจะสงบระงับความโกรธ ความไม่พอใจแต่ดั้งเดิมได้ เพราะการให้เป็นการ สร้างความรู้สึกที่เป็นมิตรอย่างหนึ่ง

อุบายวิธีต่างๆ เพื่อสงบระงับความโกรธความไม่พอใจเท่าที่กล่าวมานี้ ก็สามารถนำไปใช้ได้ในกาลทุกเมื่อความโกรธสงบระงับเป็นอย่างดีแล้ว ก็อบรมเมตตา ทำให้เป็นธรรมชาติที่คุ้นเคย ต่อไป

ที่กล่าวมาทั้งหมดนี้ เป็นเพียงเนื้อหาสาระบางประการที่ควรทราบเกี่ยวกับ เมตตาพรหมวิหาร ส่วนเนื้อหาสาระ เกี่ยวกับการเจริญเมตตา จนจิตสงบ ระงับไปตามลำดับจนกระทั่งบรรลุถึงอัปปนา หรือ ฌาน จะไม่ขอกล่าวในที่นี้ ความละเอียดในเรื่องนี้ ผู้สนใจจะหาดูได้ในคัมภีร์วิสุทธิมรรคเถิด.

บางส่วนจาก ปัญญาสาร ฉบับที่ ๖ เรื่อง เมตตา โดย ไชยวัฒน์ กปิลกาญจน์ (เก็บความจากคัมภีร์วิสุทธิมรรค มาเรียบเรียงอธิบาย) อภินันทนาการ จาก มูลนิธิ แนบ มหานีรานนท์

ป.ล...เรื่องของ"พรหมวิหารสี่" เป็นเครื่องมือสำคัญที่ทำให้ คนเราดำรงชีวิตอยู่อย่างมีความสุข และทำให้ โลกทั้งมวลมีความสุขและสันติด้วย....นะครับ

วันพฤหัสบดี, พฤศจิกายน 09, 2549

ร้านกาแฟ..ธุรกิจแบบเศรษฐกิจพอเพียง


มีร้านกาแฟแบบนี้....บ้างไหม? ท่านเคยคิดทำร้านขายกาแฟ ให้ผู้ซื้อเป็นผู้กำหนดราคาเองหลังจากดื่มกาแฟที่ท่านบริการแล้วเสร็จ บ้างไหม?คิดให้หนักก่อนที่จะร้อง..ยี้..แล้วบอก...ม่ายเอา

ร้านกาแฟส่วนมากในระบบทุนนิยม (สร้างหนี้ก่อนเปิดร้าน)มักกำหนดราคาเพื่อการตลาดและโลภ ...ทั้งที่เกินความเป็นจริงไม่ตรงกับการสมยอมและด้วยความพึงพอใจของลูกค้าเป็นหลักท่านลองขอเขาดมกาแฟก่อนทางร้านใส่เครื่องชง ว่ามีกลิ่นคุ้มค่าเงินที่ท่านต้องจ่ายหรือไม่? ...ส่วนมากเรามักจ่ายเกินคุณภาพของมัน

ต้นทุนกาแฟ(อย่างเดียว ) ๑ ช๊อท..คั่วเอง บดเอง ชงเอง ...ฟันธง..ไม่เกินสามบาท เชื่อหรือไม่? ไม่มีลูกค้าดื่มกาแฟสดไทยในเมืองไทยจ่ายเงินให้คุณต่ำกว่า ๒๐ บาทต่อแก้ว..แน่นอน โปรดอย่ากลัวจนเงินเกินที่ลูกค้าบางคนจ่ายให้มา ..คุ้มกับที่ให้คนไม่มีสตังค์(จริงๆ)ดื่มฟรี...แน่นอน..ชัวร์

มาลองทดสอบเรื่องนี้กันดีไหม? ....นี่แหละแนวคิดทำเศรษฐกิจแบบพอเพียง ..ไม่มีเงินเก็บและรวยความสุข ...ก็ให้มันรู้ไปเลยใจถึงกันอย่างนี้ซิ ถึงจะเป็นแฟนพันธ์แท้..คนรักกาแฟ

ผมก็ไม่ต่างกันเท่าไรเกิดมาโดยมีระบบทุนนิยมตะวันตกอัดสมองและการกระทำในเรื่องธุรกิจแต่ถ้าเราลองหวลกลับไปสู่อดีตของเราเราจะเห็นและเข้าใจความต่างกัน

แนวคิดเรื่องเศรษฐกิจพอเพียงเป็นเรื่องละเอียดอ่อนละเมียดละไมมากต้องอาศัยธรรมปฏิบัติเป็นฐานของความคิดเรื่องแรก..ถ้าเราจะมีธุรกิจกาแฟ ต้องรักและมีความรู้และสติและกุศลในทานเป็นเบื้องต้น เพิ่มพูนสติและความรู้ที่จะทำสิ่งนั้นๆให้มีผลดีสูงสุดเสมอๆ ..ผลตอบแทนธรรมปฏิบัติของเราก็จะตามมาไม่ต้องกลัวจน

สรรพสิ่งทั้งหลายในจักรวาลนี้มีความเชื่อมโยงเป็นองค์รวม เราชอบคิดแบบแยกส่วนและรวบรัดธรรมปฏิบัติในการทำงานของพวกเราเลยสับสนน้อยบ้าง มากบ้าง ตามระบบทุนนิยมผิด ที่เรามั่วนิ่มเป็นถูก กันในขณะนี้

คนรุ่นใหม่ๆกำลังตกเป็นเหยื่อของข่าวสารที่เป็นเท็จกันมาก โดยเฉพาะกระแสทางการตลาดหรือระบบ mba ที่เอาวัตถุหรือเงินเป็นที่ตั้งตามอย่างชาติตะวันตกบางชาติที่เมามันมุ่งสร้างความสุขจากภายนอก มากกว่าการสร้างความสุขจากภายในจิตใจของตัวเราเอง

คนรุ่นใหม่ต้อง คิดใหม่ คิดใหญ่ คิดริเริ่ม ด้วยฐานความรู้ความเข้าใจที่เรามีกันมา และทบทวนให้ถ่องแท้ในความพอดี พอเพียง และมีธรรมปฏิบัติเป็นหลัก กุศลในการกระทำย่อมเกิดตามหลักของทฤษฎีองค์รวม ดังพล่ามมาแล้ว
อย่าเพิ่งเชื่อ...แต่ก็อย่าเพิ่งปฏิเสธ...นะครับ

ใจเย็นๆครับอย่าเพิ่งกลัว"บุญ"ที่ยังมาไม่เห็นคุณภาพของกาแฟเป็นสิ่งที่เราต้องรักและรักษาไว้ยิ่งได้ผลที่ไม่พอใจก็ยิ่งต้องเร่งคุณภาพให้ดีขึ้น เป็นที่สุดเท่าที่เราทำได้ซึ่งต้องอาศัยความพอใจของลูกค้าเป็นหลัก

เมื่อคืนก่อนอ่านเรื่องกาแฟเรื่อง ลุงพร ชอนอาชีพในเศรษฐกิจชาวบ้านของมติชนท่านพัฒนาคุณภาพจากการให้คนชิมฟรีจนนานเดี๋ยวนี้ท่านยังขายด้วยราคาเพียง ๑๐ บาทล่าสุดที่ otop เมืองทอง ท่านขายได้ ๑๗๐,๐๐๐ บาท รวม ๙ วันทำยอดขายสูงสุดได้วันละ ๓๗,๐๐๐ บาท

นี่แหละครับ ตัวอย่างอนิสงษ์ของคนทำดีอย่าดูถูกคนไทยด้วยกัน ...โดยเฉพาะลูกค้าของเราครับ .....

อย่ากลัวจนเพราะทำความดี...นะครับ

ลองหลับตา..แล้วลืมภาพและความคิดทุนนิยมที่พบเห็นสร้างเป้าวัตถุประสงค์ที่ความสุข ไม่ใช่กำไรจากตัวเงิน

หากมีความสุขที่จะทำ...ก็จงทำ เงินทุนก็คิดแบบพอเพียง หาญาติ หาเพื่อน พวกพ้องให้มาร่วมทุนกัน อย่าสร้างหนี้ที่ตัวเองอาจรับความทุกข์ไม่ไหวเมื่อผิดพลาด ต้องมีการป้องกันความเสี่ยง ตามหลักเศรษฐกิจพอเพียง ภาพลวงๆทั้งหลายที่พบเห็นตามร้านที่มีอยู่ ลืมเลือนให้สิ้น มีเก้าอี้ให้ลูกค้าที่นับเสมือนเพื่อน มิตรสหาย พ่อแม่ ได้นั่ง มีที่ๆตั้งเครื่องชงกาแฟพอ เพื่อบริการกาแฟที่มีคุณภาพเป็นหนึ่งแค่นี้ก็นับเป็นร้านกาแฟที่ดีได้แล้ว อย่างอื่นเป็นเครื่องปรุงแต่ง

ลูกค้า ให้ถือเสมือนเป็น..เพื่อนๆ ญาติๆ พ่อแม่ ของเราทุกคนความรัก ความเมตตา และมิตรภาพ ที่เราหยิบยื่นให้ ต้องกลับมาตอบแทน เป็นส่วนมาก ไม่มีขาดทุน ความสุขจึงตามมา

ต้องฝึกจิตใจให้ยิ่งใหญ่ ใจใหญ่ เมตตาที่สูง อย่าเอาอย่างพวกนักธุรกิจขี้งก บ้าการเอาเปรียบผู้อื่น ...แล้วเจ้งในที่สุดซึ่งมีตัวอย่างให้พบเห็นมากมาย อย่างเช่นในเหตุการณ์เกิดขึ้นเร็วนี้

เมื่อ เป็นเจ้าของร้านกาแฟที่มุ่งความสุขเช่นนี้ ไม่มีวันล้มเหลวเพราะคิดจากความสุขบนพื้นฐานของความว่างเปล่า(ของจิต) ธุรกิจบนพื้นฐานเช่นนี้ จึงไม่มีอะไรที่ต้องกังวลใจ บนความว่างเปล่าของ(จิต)เจ้าของร้าน จึงทำให้มีพื้นที่มากมายให้(จิต)ผู้อื่น โดยเฉพาะลูกค้าได้จับจอง ไม่มีวันเจ้ง ไม่ว่าธุรกิจกาแฟเป็นขาขึ้นหรือขาลงไม่มีความหมาย เพราะความสุขและมิตรภาพ คือความยั่งยืนของธุรกิจร้านกาแฟที่ควรเป็นอย่างยิ่งในปัจจุบันนี้

ถ้าไม่เข้าใจ...หรือไม่อยากเป็น...ไม่เชื่อเมตตาธรรม และไม่เชื่อว่าชีวิต...มี จิตที่ความว่างเปล่า...ก็จงเป็นเจ้าของร้านกาแฟ ที่ทุกข์ระทมตลอดไปเถิด ...ไม่ว่าธุรกิจกาแฟจะขาขึ้นหรือขาลง ก็ไปไม่รอดหรอก...ครับ

จาก...คนรักกาแฟ...ตัวจริง

วันพุธ, กันยายน 06, 2549

คิดฟุ้ง..คุยเฟื่อง


space..ไทยๆ

space หรือที่ว่างแบบ ไทยๆ หรือแบบพอเพียงนี่มันควรจะเป็นรูปแบบไหนครับอาจารย์ เป็นแบบโล่งๆจัดกิจกรรมหลากหลายได้ในแบบชีวิตความเป็นอยู่ของชาวไทยสมัยก่อนหรือเปล่าครับ...แล้วมันจะเอามาใช้กับยุคสมัยนี้ได้อย่างอย่างไรครับ ...ขอบคุณอาจารย์มากครับ
โดย เด็กตึกแถว [13 ก.ค. 2548 , 18:42:35 น.]

ข้อความ 1
หรือว่าขึ้นอยู่กับกิจกรรมและวิถีชีวิตครับ
โดย เด็กตึกแถว [13 ก.ค. 2548 , 18:43:35 น.]

ข้อความ 2
พูดกันถึงที่ว่างในการออกแบบสถาปัตยกรรม โดยเฉพาะสถาปัตยกรรมไทย กิจกรรมและ วิถึชีวิตเป็นเรื่องสำคัญอย่างที่คุณอ้าง..ครับ

ความแตกต่างในเรื่องนี้หรือวัฒนธรรม ทำให้สถาปัตยกรรมของแต่ละชนชาติมี ความแตกต่างกัน มากกว่ารูปแบบ
ปัจจุบันวัฒนธรรมเชื่อมโยงกันมากขึ้น บางครั้งกลืนกินกันไปจนอาจยากที่จะ สังเกตุความแตกต่างได้ แต้ถ้าพิจารณากันให้ ละเอียดและเอาใจใส่มากขึ้น ความแตกต่าง ก็ยังเห็นๆกันได้อยู่

ความแตกต่างที่สำคัญ คือ เรื่องดินฟ้าอากาศ อันชี้นำหรือกำหนดให้วิถีชีวิตและกิจกรรม แตกต่างกันด้วย เรื่องที่ว่างของสถาปัตยกรรม ในอดีตของแต่ละชาติพึงเห็นได้ชัดเจน แม้ แต่ชาวเอเซียด้วยกันก็ตาม

ในหนังสือเรื่อง"เยินเงาสลัว" อธิบายเรื่อง ที่ว่างและสุนทรีย์ของชาวญี่ปุ่นได้อย่างน่าสนใจ หากมีใครศึกษาเรื่องทำนองนี้ เยินเงาสล้ว ในเรื่องที่ว่างของไทย ก็จะน่าสนใจไม่แพ้กัน

หากคุณมีเวลาลองไปเดินในบริเวณวัดพระแก้ว ตามลำพังและปล่อยอารมณ์ให้เต็มที่ ละก้อ คุณก็อาจได้สัมผัสสื่งนี้ได้ชัดเจนกว่ารูปทรง ที่พวกเรามักเน้นความต่างกันเป็นส่วนมาก จนบางทีเป็นการดัดจริต ติดยึดกับอดีตแบบ คนปัญญานิ่ม ไม่ลงลึกลงในความเข้าใจ สถาปัตยกรรมไทยที่เพียงพอ

ความคิดอย่างพอเพียงประสานความรู้ด้วย การมีสติปัญญาอย่างเพียงพอ เราก็จะสามารถ สร้างสถาปัตยกรรมที่งดงามและสมดุลป์กับ ธรรมชาติที่เราเป็นของแต่ละคนแต่ละชนชาติ ได้อย่างน่าชื่นชม.....นะครับ
โดย อาจารย์ [25 ก.ค. 2548 , 16:10:18 น.]

อยากรบกวนอาจารย์ช่วยอธิบายความสัมพันธ์ของ อดีต ปัจจุบัน และอนาคต ทั้งในทาง 1.พุทธศาสนา 2.วิทยาศาสตร์ 3.สถาปัตยกรรม เผื่อผมอาจจะเอาไปประยุกต์ใช้ในการออกแบบอ่ะครับ.....ขอบคุณอาจารย์ล่วงหน้าครับ
ปล....ตอนนี้อาจารย์เป็นไงบ้างครับ....ขอให้อาจารย์สุขภาพแข็งแรงนะครับ แล้วจะไปทานกาแฟร้านอาจารย์ครับ
โดย เด็กตึกแถว [19 มิ.ย. 2548 , 00:58:13 น.]

ข้อความ 1
เรื่อง...อดีต ปัจจุบัน และอนาคต

เมื่อตอนสองยามคืนก่อน ผมเขียนตอบมาแล้ว แต่.. ปรากฏว่ายาวเกินไป เซิฟเวอร์รับไม่ได้ เผอิญ.. ผมเข้าอินเทอร์เนทด้วยพีดีเอ จึงย้อนกลับไปแก้ไขไม่ได้ เลยต้องบรรเลงเพ้อเจ้อเรื่องนี้กันใหม่

นี่ถ้าอดีตเอาคืนมาได้ ผมก็คงยึดอดีต เอาข้อความที่ เขียนไว้ก่อนมาฉายซ้ำ...จึงไม่เป็นการคิดและเขียน ใน..ปัจจุบัน เมื่อเอาอดีตกลับมาได้ เราก็มักคิดเอาเป็น บันทัดฐาน เอาไปฉายซ้ำเรื่อยๆ บางครั้งก็ฝันเฟื่องไป.. อนาคต คิดปรับปรุงไปฉายซ้ำ หรือยัดเยียดให้เข้ากับเรื่อง ที่คล้ายๆกัน ....นี่เป็นตัวอย่างพฤติกรรมของผมที่เกิดขึ้น ในอดีตเมื่อคืนก่อนเท่านั้น..นะครับ ยังมีอีกมากมายที่ผม มักคิดและปฏิบัติทำนองนี้

ในแง่พุทธศาสนา...(เท่าที่สติปัญญาผมเข้าใจว่า)..เรามักติด ยึดกับ"อุปทาน" ของอดีต กับฝันเฟื่องเรื่องอนาคต เสมอๆ เลย ไม่เคยพบกับปัจจุบัน.. การฝึกเจริญสติและภาวนานั้น ก็เพื่อให้ จิตเข้าถึงปัจจุบันจริงๆ คนที่บรรลุธรรมในแนวทางพระพุทธศาสนา จะไม่ติดยึดกับอุปทานของ อดีตและอนาคต สภาพที่เกิดขึ้นของ ปัญญาในจิตขณะนั้น จึงเป็นเรื่องของความแท้จริงในสภาวะของ สรรพสิ่งทั้งหลายที่เกิดขึ้นในโลกสมมุติใบนี้ แต่...คนที่ยังยึดติดกับ อุปทานของอดีตและอนาคต ปัญญาที่เกิดขึ้นจึงไม่ตรงกับความเป็น จริงแท้ทั้งสิ้น...มันเป็นแค่ความจริงที่เกิดจากอุปทานที่ยึดไว้ในจิต ของแต่ละคน ...ซึ่งก็คือความจริงสมมุติของโลกในขณะนี้
โดย คุยครั้งที่ ๑ [20 มิ.ย. 2548 , 12:35:56 น.]

ข้อความ 2
ในแง่วิทยาศาสตร์...สาระของวิชาวิทยาศาสตร์บริสุทธิ์ (natural science) สำหรับนักวิทยาศาสตร์ ก็เพื่อการค้นหาความเป็นจริง ของธรรมชาติหรือของสรรพสิ่งทั้งหลาย พยายามศึกษากลไกของ ความเชื่อมโยงกันต่างๆนั่นเอง แต่เนื่องจากสภาวะจิตของนักวิทยา ศาสตร์ยังมีอุปทานติดยึดกับอดีตและอนาคต ไม่เป็นจิตปัจจุบัน ผล ทางทฤษฎีที่ประกาศ จึงเป็นความจริงสมมุติทั้งสิ้น ..พูดให้ฟังดี ก็ เป็นเพียงแค่ "เงา" ของความจริงเท่านั้น ...พ่อมดทางวิทยาศาสตร์ เช่น ไอสไตน์ เอง ก็ยอมรับในประเด็นนี้

ผลข้างเคียงของวิทยาศาสตร์บริสุทธิ์ (ที่ยังไม่สมบูรณ์) คือ วิทยาศาสตร์ ประยุกต์ที่แตกแขนงเป็นเทคโนโลยี ผลิตวัตถุกลไกต่างๆตามอุปทาน ของแต่ละคน จนทำให้ชีวิตของแต่ละคนสับสนวุ่นวายไปกันใหญ่ ก่อผล กระทบในเรื่องความสมดุลป์ของธรรมชาติต่างๆนานา ดังที่เราเผชิญ กันอยู่ในขณะนี้ และจะดำเนินต่อไปตามอุปทานที่ขยายเป็นความโกรธ โลภและหลง ....ตราบเท่าที่จิตยังห่างไกลกับสภาวะที่เป็นปัจจุบัน
โดย คุยครั้งที่ ๒ [20 มิ.ย. 2548 , 12:44:38 น.]

ข้อความ 3
ในแง่สถาปัตยกรรม ..เพราะจิตสถาปนิกยังข้องแวะกับอดีตและอนาคต ไม่เคยฝึกและเข้าใจความเป็นปัจจุบัน จึงนำเอาวิทยาศาสตร์ประยุกต์ของ เทคโนโลยีมาต่อแขนงให้ความเป็นจริงของสภาพแวดล้อมเตลิดเปิดเปิง ออกไปอีก เลยกลับกลายเป็นตัวเร่งทำลายความสมดุลป์หรือความเป็น จริงของธรรมชาติต่อๆไป ถ้าเราฝึกจิตให้อยู่ปัจจุบันมากๆ เราก็จะเข้าถึง สถาปัตยกรรมพอเพียงหรือสถาปัตยกรรมยั่งยืนได้มากขึ้น รูปลักษณ์ของ มันจะเป็นอย่างไรนั้น ผมว่าขึ้นอยู่กับผู้สร้างสรรค์ จะให้เกิดความสมดุลป์กับ ธรรมชาติได้มากน้อยอย่างไร จนเกิดความพอดี..ที่ตรงกับปัจจุบันที่สุด ไม่ใช่ กับอดีตที่เปลี่ยนแปลงไปแล้ว หรือสำหรับอนาคตที่ยังมาไม่ถึง และไม่จำเป็น ที่ต้องพยายามจะหยั่งรู้ไปให้ได้ก่อน ...

อาจารย์ฝรั่งของผมในอดีต เคยแย้งนักวิทยาศาสตร์ประยุกต์ ที่นำเอา สถาปัตยกรรมในอนาคต ที่จะเกิดขึ้นในห้วงอวกาศมาให้วิจารณ์ ท่านบอกกลับไปว่า ...นั่นเป็นสถาปัตยกรรมที่เป็นอยู่ขณะนี้ ไม่ใช่สถาปัตยกรรมของอนาคต ..เพราะเรื่องของอนาคต..ไม่มี ใครหยั่งรู้ได้ ..นอกจาก "พระเจ้า"..เท่านั้น

นี่เป็นการโม้ที่ผมพยายามให้จิตของผมเป็นปัจจุบันที่สุด ...แต่อนิจจา จิตผมก็ยังติดกับอุปทานของอดีตและอนาคต อีรุงตุงนังเหมือนคนอื่น หรือคุณ..เช่นกัน..ไม่มีขอยกเว้นครับ ...โปรดอย่ายึดคำตอบของผม เป็นสาระ ขอเพียงให้ช่วยสร้างแรงบันดาลใจในเรื่องที่คุณถามมา ก็พอแล้ว จงพยายามยึดคำเตือนของพระดีๆที่ว่า....ให้เราจงทำปัจจุบันที่เราคิดเรา รู้กันอยู่ขณะนี้(แม้เป็นความจริงสมมุติก็ตาม)..ให้ดีที่สุดก็แล้วกัน ขอให้งาน สถาปัตยกรรมของเรามีผลกระทบ(ด้านเลวๆ)กับต้วเราและผู้อื่น รวมทั้งกับ สรรพสิ่งทั้งหลายทั้งปวงรอบตัวเรา...ให้มันน้อยที่สุด..เท่าสติปัญญาเรามี อยู่ในขณะนั้น...ก็พอเพียงแล้ว...นะครับ
โดย คุยครั้งที่ ๓ [20 มิ.ย. 2548 , 12:46:27 น.]

ข้อความ 4
"อดีตสอนปัจจุบัน ปัจจุบันส่องอนาคต"..ให้อดีตเป็นครูแล้วทำปัจจุบันให้ดีที่สุด เพื่อที่อนาคตจะได้ไม่หันมาเสียใจหรือเสียดายในภายหลังใช่มั้ยครับ
โดย เด็กตึกแถว [21 มิ.ย. 2548 , 22:27:31 น.]

ข้อความ 5
ใช่เลย...ครับ
งานสถาปัตยกรรม...ไม่ต่างจาก "สากกะเบือ...ยันเรือรบ" จง ...ทำสากกะเบือให้ดีเท่ากับเรือรบ
นะครับ
โดย ถูกต้อง...นะคร๊าบบบ [23 มิ.ย. 2548 , 16:08:01 น.]

ข้อความ 6
เอ่อ อาจารย์ครับ แล้วศิลปะที่มีอยู่ทุกหนทุกแห่งหรือเปล่า...อะไรคือศิลปะที่ใกล้ชิดกับเรามากที่สุดครับ......แล้วคนเราจะเข้าถึงศิลปะที่อยู่ใกล้ชิดกับเราที่สุดได้อย่างไรครับ......
โดย เด็กตึกแถว [13 ก.ค. 2548 , 18:49:51 น.]

ข้อความ 7
ในซีดีที่แจกให้ไปอัดกันเองนั้น ในถังขยะฯ-๔ มีเรื่องเกี่ยวกับศิลปะ ในแง่พุทธศาสนา ที่ท่านพุทธทาส อรรถาธิบายไว้ ผมว่าน่าพิจารณาดูนะ ผมคิดว่าน่าจะได้คำตอบที่ใกล้เคียง ความ"เป็นจริง"ที่สุด

อย่าหาว่าเลี่ยงบาลีไม่ตอบตรงๆนะ ผมว่า"ความรู้"ของแต่ละคนไม่ได้มาจาก การบอกล่าว...แต่จะเกิดขึ้นจากความเข้าใจ ของแต่ละคนที่อาจแตกต่างกัน กัลยาณมิตร หรือ ครู ทำได้เพียงการชี้แนะบอกทาง ให้ศิษย์ได้เรียนรู้และเข้าใจด้วยตนเอง หากแต่ครูปัจจุบันชอบเอาความรู้"เทียม" ยัดบอกแก่ศิษย์กันทุกๆวัน....ไม่ถูกต้องนะครับ
โดย อาจารย์ [15 ก.ค. 2548 , 10:06:28 น.]

แวะมาทักทายครับ
ตอนนี้ทำทีสิสอยู่ บอกตามตรงว่าคิดถึงอาจารย์ครับ การตรวจแบบทีสิสค่อนข้างละเอียดมากครับ เหมือนกับจะต้องการให้นิสิตทำได้ดีในทุกๆเรื่อง ทั้งที่บางทีก็เป็นเรื่องธรรมดาๆอย่าง บันไดหนีไฟ ระยะต่างๆ ห้องน้ำ ห้องเครื่อง ...etc. อยากจะบอกอาจารย์ว่าผมไม่ค่อยเกิดinspirationในการทำแบบ อะไรเลยกับการตรวจแบบ แบบนี้ คือเป็นเหมือนการตรวจว่าเราทำถูก หรือผิด แต่ไม่ได้ทำให้เกิดจินตนาการ คิดถึงตอนตรวจกับอาจารย์ มาฟังอาจารย์พูด ได้แนวคิดบ้าง ก็นำมาใช้กับแบบได้ เเถมยังจะมีมุขตลกๆ เสมอครับ ก็ปีใหม่แล้วขอให้อาจารย์มีสุขภาพที่ดีครับ
โดย 218 [31 ธ.ค. 2547 , 14:01:58 น.]

ข้อความ 1
ขอขอบคุณในไมตรีที่มีระลึกให้กัน และขอให้พ้นทุกข์ในเร็วพลัน..นะครับ
พระท่านสอนไว้ว่า สุขใดไม่เท่าสุขที่เกิดจาก"ความว่าง" ในสังคมทางโลกนั้นมีความหลากหลายไร้ที่สิ้นสุด โดยเฉพาะมาตราฐานของมนุษย์ด้วยกันที่ต่าง กรรมต่างวัยและต่างวาระ

การดำเนินชีวิตนั้นก็คือการดำรงอยู่กับมันให้ได้ เมื่ออากาศร้อนก็ทนร้อน หนาวก็ทนหนาว เจอ ซูนามิ ก็ต้องทนเอา เพราะกรรมของเราดันทะลึ่ง ให้ได้เจอสิ่งต่างๆเหล่านี้ การรู้เข้าใจธรรมชาติเหล่านี้ ก็จะทำให้เราสามารถหลีกเลี่ยงหรือทนกับมันได้เพราะทางเลือกอื่นนั้นไม่มี..หากันไม่เจอ

การเรียนรู้ยังต้องมีกันต่อๆไปทุกคนตราบเท่าที่ตัวเรา ยังดำรงอยู่ พระท่านบอก..ชีวิต คือ สิกขา หรือการเรียนรู้..ครับ
ทีสิส ที่ว่า.. เป็นเรื่องจิ๊บจัอยมากเลยครับ สร้างจิตใจ ของคุณให้"ใหญ่" ไว้มากๆ มีทัศนะคติที่กว้างไกล เรื่องพรรค์นี้ก็จะไม่สร้างความกังวัลใจให้เราต่อไป

ปีใหม่นี้..ขอให้ทุกๆคนรับเอาแต่สิ่งดีมีแต่กุศลไว้กัน ทุกคนนะครับ...คิดถึงพวกคุณเช่นกันครับ
โดย อาจารย์(อดีต) [2 ม.ค. 2548 , 10:54:54 น.]

Energy Producing

ไม่ทราบว่าอาจารย์สนใจแนวคิดทางด้านนี้บ้างไหมครับ ส่วนตัวผมแล้วว่าน่าสนใจมาก แม้จะรู้สึกว่าไม่ใช่ทางออกที่ถูกต้องเท่าไรนัก สำหรับสถาปัตยกรรมยุคอนาคต แต่ถือว่าเป็นการเริ่มต้นที่ดีทีเดียว ตอนนี้ผมเรียนกับอาจารย์สุนทร อยู่ครับ ผมว่าแกมีความคิดที่น่าสนใจเยอะมากเลยครับ แต่ในเรื่องบางอย่างในการทดลอง หรือวิจัยต้องใช้งบประมาณและคนที่ที่มีความรู้ความสามารถมากครับ ตอนนี้อาจารย์สุนทร กำลังจะเลย Energy Producingไปแล้ว จะไปสู่ยุคใหม่อีก ไม่ทราบว่าอาจารย์มีความคิดเห็นอย่างไรบ้างครับ

ปล มีงานสาระศาสตร์วันที่20 ตค นี้ มีเรื่องที่น่าสนใจและอาจารย์สุนทรก้อพูดด้วยครับ
โดย Wong [14 ต.ค. 2548 , 21:21:33 น.]

ข้อความ 1
ผมเคยคุยและฟังความคิดอจ.สุนทรเรื่องเกี่ยวกับพลังงาน และความเชื่อมโยงกับการออกแบบสถาปัตยกรรม
โดยส่วนตัวผมชื่นชมอจ.ในเรื่องงานวิชาการ เพราะอจ.เลือกแนวคิดที่ชัดเจนและค้นคว้าลงลึก
ผมเคยเชิญอจ.มาคุยเรื่องนี้ในวิชาสัมมนาฯ สร้าง
แรงบันดาลใจให้นิสิตมีความกระตือรือร้นได้อย่างมาก นับว่าเป็นคุณสมบัติของอจ.ยุคใหม่
คือไม่มัวคอยเอาแต่เสี้ยมสอนนิสิต หรือยัดเยียด ในสิ่งที่ตน..บางทีไม่สู้เข้าใจและรู้ไม่ลึกซึ้ง จึงมักสร้างแรงบันดาลใจให้นิสิตไม่ได้

ส่วนอจ.สุนทร นั้น..ถ้านิสิตได้ฟังก็จะเกิดความ สนใจในเรื่องที่อจ.ศึกษาและค้นคว้าวิจัย ทำให้รัก และเกิดแรงบันดาลใจ เช่นที่คุณกำลังเป็นอยู่ขณะนี้..ครับ

ไม่ว่าเรื่องอะไรที่เราสนใจ ถ้ามีการสืบไปได้ตลอด วิชาการนั้นๆก็จะกลายเสมือนเป็นต้นไม้ใหญ่ แผ่กิ่ง ไปได้มาก คือมองเห็นความเชื่อมโยงกับสิ่งอื่นๆได้ เป็นวงจรสัมพันธ์ต่อกันและกัน

ผมว่า..นี่คือสิ่งที่นักวิชาการมีหน้าที่ต้องทำในสำนักศึกษาทั้งหลาย
...นะครับ
โดย เพื่อนอาจารย์ [15 ต.ค. 2548 , 13:26:22 น.]

ข้อความ 2
ขอบคุณครับ
แต่ผมอยากทราบถึงแนวทางด้านสถาปัตยกรรมยุคใหม่ในของไทย ความเห็นอาจารย์น่ะครับ ไม่ทราบว่าอาจารย์มีความเห็นอย่างไรบ้างครับ
โดย Wong [16 ต.ค. 2548 , 19:17:33 น.]

ข้อความ 3
ในความคิดผม เห็นว่าเรื่องบริบทหรือ context เป็นเรื่องที่สามารถเริ่มต้นแนวความคิดได้ทางหนึ่ง
การจะสร้างแนวคิดในการออกแบบสถ.ไทย ก็ จำเป็นต้องศึกษาและเข้าใจบริบทของสังคมไทย ให้ตรงกับสิ่งที่เป็นอยู่ นี่คือสิ่งที่ผมสนใจขณะนี้

ผมเริ่มจากการสัมผัสกับชุมชนที่รายรอบที่ตั้ง ศึกษาทั้งเรื่องกายภาพและลักษณะเฉพาะด้านนามธรรม เท่าที่ผมจะเข้าใจได้ แล้วนำมาเป็นจุดตัดสินใจ ในการเลือกแนวความคิด ปกติเรามักโดนสอนให้ สร้างจินตภาพบนโต๊ะเขียนแบบและลิสความต้องการ แล้วพยายามยัดเยียดหรืออนุโลมให้เข้ากับบริบท ที่เราไม่ค่อยเอาจริงเอาจังเท่าไร เพราะต้องรีบสร้างจินตภาพ เพื่อเอาไปตรวจกับอจ.ในสตูดิโอ ในสมัยผมอจ. ไม่ชอบสนทนาเรื่องความคิดเท่าไร อยากเห็นแบบ แล้วให้ความเห็นตามทัศนะของอจ.

การสร้างเรื่องราวหรือแนวคิดจากบริบทที่เป็นอยู่ และการคาดการณ์พอประมาณของที่ตั้งที่จะมีการเปลี่ยนแปลง และผลในอนาคต เป็นสิ่งที่ผมสนใจ ไม่สร้างหรือ กำหนดจินตภาพของสถ.ล่วงหน้าอย่างจริงจังนัก สนใจว่าสิ่งที่เราออกแบบจะไปส่งเสริมอะไรกับชุมชนได้บ้าง อย่าเอาแต่ออกแบบให้เป็นสิ่งแปลกหรือยกตนข่มท่านถ่ายเดียว

ส่วนเรื่องพลังงานหรือด้านเท็คโนโลยีเป็นเรื่องของยุคสมัย แต่หากสร้างมิติทางความคิดเรื่องนี้ในสเกลที่กว้างขี้น เข้าถึงระบบนิเวศของชุมชนโดยรวม ผมว่าจำเป็น..นะครับ

การออกแบบในลักษณะองค์รวมที่ให้ความสำคัญกับ
บริบท เป็นเรื่องการออกแบบสถ.ไทยที่ควรเอาใจใส่อย่างยิ่ง อย่างน้อยทำให้เราเข้าใจความเป็นตัวตนของเราและเปลือกนอก(บริบท)ที่หลอมการดำเนินชีวิตของเราได้ดีขึ้น..นะครับ... ผมขอแสดงความเห็นแค่นี้นะ ไม่ทราบตรงกับที่อยากรู้หรือปล่าว..ครับ
โดย เพื่อนอาจารย์ [22 ต.ค. 2548 , 08:39:22 น.]

ข้อความ 4
ขอบคุณครับ
โดย Wong [23 ต.ค. 2548 , 21:24:00 น.]

ถามอาจารย์ครับ
อาจารย์ครับ เวลาทำโปรเจกใดๆก็ตาม จำเป็นไหมที่จะต้องทำตาม design process ทุกขั้นตอนที่เรียนมา เป็นไปได้ไหมถ้าเราจะเริ่มโปรเจกหลังอ่านโปรแกรมและไปดู site มาแล้ว โดยที่ไม่ต้องมานั่งเขียน Tabulation ก่อน แล้วตามด้วย relationship diagram หรือ bubble diagram อะไรตามแบบอย่างที่เคยเรียนๆกันมา เพราะอ่านโปรแกรมกี่ปีกี่ปีเขาก็บอกให้ส่งแบบนี้

หรือว่าวิธีการนี้เป็นวิธีที่ดีที่สุดแล้วในการออกแบบจริงๆครับ???
โดย นิสิตปี 4 [16 มิ.ย. 2547 , 23:03:06 น.]

ข้อความ 1
เรื่องวิธีการออกแบบ..จะว่าไปก็เป็นวิธีการใคร วิธีการมัน มีความหลากหลายตามประสบการณ์ ของแต่ละคนเป็นสำคัญ แต่เราก็สามารถปรับปรุง และพัฒนากันได้ (ซึ่งควรทำ) เพื่อให้เกิดผลดียิ่งขึ้น

การศึกษาวิธีการของผู้อื่นบางครั้งจำเป็น
ในการศึกษาเรื่องวิธีการ..methodology พยายาม รวบรวมขั้นตอนหรือวิธีการต่างๆที่มีผลในการออกแบบ หรือการแก้ปัญหาที่ประสบผลสำเร็จมาบันทึกไว้

เรื่องของวิธีการออกแบบ เปรียบเหมือนเครื่องมือ ที่ใช้ในการทำงานทางความคิด หากมีเครื่องมือ มากและหลายแบบ ก็น่าจะสะดวกในการเลือก นำมาใช้ในกระบวนการทางความคิด...นะครับ

สำหรับเรื่องของ พื้นที่สำหรับกิจกรรมต่างๆ หรือ tabulation area มีประโยชน์ในการกำหนดขนาดของ ที่ว่างและขนาดรูปทรงของอาคาร ผมเคยเปรียบเทียบ เหมือนหีบห่อบรรจุภัณฑ์ต่างๆ ลักษณะรูปทรงภายนอก ของอาคารน่าจะคล้ายคลึงกัน อีกทั้งขนาดของที่ว่าง ต่างๆจะมีผลในเรื่องการคำนวนราคาค่าก่อสร้าง อาคารภายหลัง(ในทางวิชาชีพ)

เรื่องของ diagram เป็นรูปลักษณ์ของระบบความ สัมพันธ์ของกิจกรรมต่างๆที่กำหนดขึ้นในอาคาร ที่กำลังออกแบบ เป็นสื่อความคิดหนึ่งในความเข้า ใจของผู้ออกแบบ เหมือนภาพเสก็ตทางความคิด หรือภาษาที่พูดอธิบายกัน อาจไม่จำเป็นมีแบบตายตัว ในการสื่อสารกันนัก ...แต่จะสะดวกในการกำหนด ขั้นตอนต่างๆของความคิดที่ซับซ้อน เช่น การทำ งานของกลไกเครื่องจักรกล เป็นต้น ส่วน bubble diagram อาจคุ้นกับสถาปนิก เพราะเหมือน ภาพเสก็ตเคร่าๆของแบบแปลน ...โดยสรุปเรื่องนี้ คุณอาจใช้รูปลักษณ์แทนความคิดความเข้าใจ อะไรก็ได้ ถ้าทำให้คุณเองเข้าใจความคิดของคุณ และถ่ายทอดให้ผู้อื่นร่วมเข้าใจได้ด้วย สื่อแบบไหน ก็น่าจะใช้ได้ นอกเหนือจากภาษาเขียนสามัญทั่วไป ภาษาของสถาปนิกมักนิยมเป็นภาพ ใกล้เคียงสิ่ง ที่เห็นจริงได้มากเท่าไรยิ่งดีครับ

วิธีการที่ดีที่สุด คือ วิธีการที่เราใช้แล้วได้ผลเลิศ ผมคิดว่าควรใช้วิธีการนั้น แต่อย่างที่บอก..คนคิด เก่ง คิดสร้างสรรค์ให้ได้ผลงานดีๆ มักเป็นคนที่มี หลายวิธีการทางความคิด มักไม่ติดยึดกับวิธีการใด วิธีการเดียวเสมอไป

ไม่ทราบคุยมาตรงประเด็นหรือป่าว...ครับ

อยากให้ลองอ่าน "ลายแทงความคิด" เขียนโดย คุณเกรียงศักดิ์ ...มีในห้องสมุด จะได้เข้าใจรูปแบบ ของความคิดต่างๆ และวิธีการอธิบายความคิดนั้นๆ ..นะครับ
โดย อาจารย์ [17 มิ.ย. 2547 , 11:26:16 น.]

ข้อความ 2
ขอบคุณครับ จะลองไปหาอ่านดู ได้เรื่องยังไงหรือสงสัยประการใดจะกลับมาคุยกับอาจารย์ใหม่ครับ
โดย นิสิตปี 4 [20 มิ.ย. 2547 , 22:34:09 น.]

projectที่เป็นระดับชาติจำเป็นต้องแสดงถึงความเป็นชาตินั้นรึเปล่าครับ?
เช่นสนามบินของประเทศต่างๆ จำเป็นรึเปล่าที่architectureควรจะทำให้รู้สึกถึงความเป็นชาตินั้นๆ ที่นั้นๆ อย่างสนามบินหนองงูเห่าถือว่าเป็นยังไงครับ?
โดย เด็กช่างสงสัย [3 เม.ย. 2547 , 21:40:18 น.]

ข้อความ 1
มันขึ้นอยู่กับสติปัญญาของคนตัดสิน..คนดู..คนใช้ ว่าความเป็น"ชาติ"มันอยู่ตรงไหน..ที่ไหน เราเสนอไปถ้ามันตรงใจกัน เกมก็จบ อาจได้รางวัล สถาปัตยกรรมดีเด่นของชาติ..จนทำให้เรากลายเป็น สถาปนิก"เทวดา" เป็นบ้าไปได้อีกนานๆ
อัตตาในเรื่องตัวตนของคนมีกิเลสนั้นมีสูง ชื่อตัวเอง นามสกุลตัวเอง กำพืดตัวเอง ฯลฯ ก็มักเชื่อว่ามีและ จะดีกว่าของคนอื่นๆ ความเป็นชาติเลยเกิดขึ้น คนในชาติจะงี่เง่าอย่างไรก็ตาม ผู้ปกครองก็มัก ตอแหลบอกว่า ชาติเราดี ต้องอวดและเชื่อว่าดีไว้เสมอ ว่าชาตินี้สิ้นเมื่อใด..ตัวเองก็จะสิ้นตาม ทั้งๆที่ขณะชาติยังอยู่ แต่คนส่วนใหญ่ของชาติกำลังจะจนตาย ก็ยังบอกว่า พวกเอ็งต้องรักชาติอวดความเป็นชาติกันไว้นะ

โลกในอนาคต..ความเป็นชาติจะหลอกกันไม่ได้นาน เพราะจะมีการเคลื่อนย้ายคนไปอยู่ในชาติที่ให้ ประโยชน์ตนและครอบครัวสูงสุดกันทั้งนั้น
หลายคนที่เก่งๆมักย้ายไปเป็นคนอเมริกันกัน แล้วสังเกตุว่าพวกเขารักชาติอเมริกันกันมาก เพราะเป็นชาติที่ให้สิทธิคนในชาติ
เท่าเทียมกัน คนที่อยู่ได้ประโยชน์แล้วรู้สึกว่าเป็นเจ้าของ ประเทศที่ตนอยู่เหมือนๆกัน...นี่เป็นข้อสังเกตุ
เพราะคิดมาก..เลยคิดยาว..จึงมีต่อครับ
โดย อาจารย์ [8 เม.ย. 2547 , 11:31:43 น.]

ข้อความ 2
สถาปัตยกรรม..เป็นส่วนหนึ่งของชีวิตก็จริง แต่ สถาปนิกอาจไม่ใช่..ไม่จำเป็นสำหรับคนทุกคน ยิ่งหลักสูตรที่ฝึกสถาปนิกในแนวคิดทุนนิยม สถาปนิกจึงเป็น "ผู้บริการ" สำหรับคนที่เห่อจะรับบริการ ยิ่งเลือกบริการแค่กับ"พวกเถ้าแก่"พอใจรับเศษเงิน คิดกันแบบร้ายๆ ..ก็ไม่ต่างหญิงบริการเท่าไรนัก หากพวก เถ้าแก่นึกสนุกอยากให้สถาปนิกแต่งทรงไทยมา บริการ พวกเราก็เลยเอาด้วย จะแต่งตัวเป็นนาง บริการแบบไทย หรือไม่แต่ง ก็เป็นแค่นางบริการ อยู่ดีแหละครับ

ยุคบ้าหาเงินสมัยนี้ เห่อการท่องเที่ยว อยากอวด เอาเงินต่างชาติ เลยเน้นการ"แต่งตัว"บริการกัน ใหญ่ เพื่ออวดความเป็นชาติไทยกันยกใหญ่

ผมเพิ่งกลับมาจากเที่ยวต่างจังหวัด หลายๆที่ที่เคย บริสุทธิ์เหมือนสาวพรมจารี เดี๋ยวนี้งอมกันทั่ว เหมือน หญิงโดนโทรมกันทั่วหน้า สถาปนิกสร้างสิ่งแปลกปลอม หลอกชาวบ้านเป็นผีเทวดาไปหมด ผมดูแล้วสังเวชใจ ถ้าเลือกเกิดใหม่ได้ ไม่อยากเป็นสถาปนิกสอนสถาปัตยกรรม
ที่แทบไม่ได้ให้ประโยชน์แก่ชาวบ้านคนส่วนใหญ่ของประเทศกันเลย

ถ้าพวกเราที่เป็นสถาปนิกเอาพระบรมราโชบาย ของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวในเรื่อง"ความพอเพียง"ยัดใส่ในหัวไว้บ้าง พยายามสร้างสรรค์สืบค้นสถาปัตยกรรมแห่งความพอเพียงกันแล้ว ความเป็นชาติ เอกลักษณ์ของชาติอย่างนี้จะยั่งยืน ไม่ใช่ความเป็นชาติแบบ"ตอแหล"ที่กำลังหลอกหลอนกันอยู่ขณะนี้

จะสร้างสรรค์สถาปัตยกรรมพอเพียงได้ ตัวเองต้อง ดำเนินชีวิตอย่างพอเพียงก่อนใด ต้องเข้าใจสาระ ธรรมนี้ให้ถ่องแท้..จึงจะเป็นสถาปนิก"เทวดา"จริงๆ ไม่ใช่สถาปนิกบริการแต่งตัวไทยๆเลียนแบบย่าทวด ของเราที่"ตาย"ไปแล้ว แล้วไปปลุกผีให้ตื่นมาจาก หลุมหลอกหลอนกันเล่นสนุกไปวันๆ

ยังสติแตก..ยังมีต่ออีก
โดย ขออีกที [8 เม.ย. 2547 , 11:34:54 น.]

ข้อความ 3
ถ้าเขาอนุญาตให้โพสต์..ก็คงคุยจบเสียทีครับ
โปรเจ็คอะไรที่นับเป็นระดับชาติ ต้องคิดถึงหรือสท้อน คนที่เป็นพื้นฐานของประเทศ ไม่ใช่ชนชั้นปกครอง ไม่ใช่วัดกันที่ขนาดหรือความใหญ่โต แต่ทำอย่างไร จะกระจายทรัพยากรหรือเงินไปให้ทั่วประเทศ ตอนผมได้รับมอบหมายจากคณะฯให้เป็น"ตรายาง" พิจารณาสนามบินที่ว่านี้ ผมบอกท่าน"หัวหน้า" ไปว่า ไม่ควรเลือกมันทุกแบบ และไม่ควรให้มันสร้างสักแบบ เอามาออกแบบเป็นสนามบินเล็กกระจายกันให้ทั่ว ทุกตำบลกันเลย ชาวบ้านจะได้ใช้เดินเล่นหลังเสร็จทำนา ที่ผมสวนกระแสไปนั้น..ไม่ใช่ความคิดนี้จะวิเศษอะไรหรอก เพียงแต่พวกนักการเมืองเขาเลือกสถาปนิกและแบบ กันไว้แล้ว เราจะมาเสียเวลาบริการสิ่งที่ไร้ประโยชน์ ไปทำไมกัน

ปัญหาสถาปัตยกรรมที่สนองความเป็นชาติที่คุณคุยมา เป็นปัญหา"สมมุติ"บัญญัติกันไป คิด..แสดง..กันไป ได้จนตาย..คุณจะเล่นบทยังไงให้ได้งานได้ผล ก็น่าจะพอแล้ว..เช่นถ้าจะทำเพื่อเป็นวิทยานิพนธ์ ให้จบไปเร็ว ก็ดูผลงานที่อาจารย์คณะเราเขาชอบ ก็ทำไปทำนองนั้นแหละ..ส่วนจะเป็นชาติเป็นไทย ยังไง ก็ขึ้นอยู่กับภูมิปัญญาของพวกครูที่จะให้คะแนคุณ อยากเป็นสถาปนิกบริการ..ก็คิดเสียว่าครูให้คะแนน คือ"เถ้าแก่" แต่งตัวตามบริการที่เขาชอบ ..แต่ถ้า คุณไปบริการเจ้านายแบบ"หลวงพ่อชา" หรือท่าน "พุทธทาส" (ซึ่งมรณะภาพไปแล้ว) ...เผลอๆจะเป็น คนละเรื่อง ความเป็นชาติที่ท่านเทศน์ให้รู้ อาจทำ ให้คุณเลิกเป็น"นางบริการ"ไปเลย

ว่าแต่..คุณไม่ได้กำลังทำวิทยานิพนธ์เอาเปรียญธรรมเก้าประโยคนะครับ.. แต่เอาปริญญาสถาปัตยกรรม ก็ต้องเลือก"เถ้าแก่"ให้ตรง จบไปจากคณะนี้แล้ว..ก็ค่อยว่าเรื่องความเป็นชาติ กันใหม่

ปัญหานี้..ถ้าไม่"ตอแหล"ก็ตอบไม่ได้ เพราะเป็นปัญหาของ เรื่องสมมุติ เป็นปัญหาโลกแตกครับ หาคำตอบ "ตัวเดียวอันเดียว" ไม่ได้ครับ
โดย ทีสุดท้าย [8 เม.ย. 2547 , 11:38:01 น.]

สถาปัตยกรรมกับพลังงานทดแทน

พอดีไม่ได้คุยกับอาจารย์นานเลย เลยอยากถามความคิดเห็นของอาจารย์ว่า ในเรื่องของพลังงานทดแทนที่ดูมีแนวโน้มสูง ว่าจะมาทดแทนการใช้พลังงานเดิมที่มาจากใต้พิภพ ที่ใช้กันเป็นส่วนใหญ่ แม้ว่าปัจจบันพลังงานทดแทน จะยังไม่มีประสิทธิภาพสูงมากนักแต่ก็มีแนวโน้ม ว่าจะมีการพัฒนาและใช้กันเพิ่มขึ้น และในสถาปัตยกรรมแบบ Green architecture ก็กำลังให้ ความสนใจกันอยู่ แต่ในวงการสถาปัตยกรรมของไทย นี่สิครับ มีการรณรงค์ การประกวด บ้านประหยัดพลังงาน เท่าที่ผมเห็น มักจะไม่มีสิ่งใหม่มากเท่าที่ควร เอะอะก็ช่องเปิด ลมพัดดี มีSolar cell ก็ชนะแล้ว ไม่ทราบว่าอาจารย์คิด เห็นอย่างไรครับ
โดย Wong - [25 มิ.ย. 2549 , 12:11:44 น.]

ข้อความ 1
สำหรับผม..แนวคิดเรื่องสถาปัตยกรรม ควรศึกษาและไตร่ตรองในเชิงของ"องค์รวม" มากกว่าการคิดแบบแยกส่วน ตามที่เราโดนสอนมา

สรรพสิ่งทั้งหลายในโลกนี้ ที่เกิดขึ้นและดับไปนั้น มีความเชื่อมโยงแก่กันและกันตลอดเวลา ไม่มีสิ่งใดอยู่เป็นเอกเทศ งานสถาปัตยกรรม ก็เช่นเดียวกัน

สถาปัตยกรรม การดำรงชีวิต ดำเนินชีวิต ฯลฯในบริบท ที่แตกต่างกัน ควรมีผลให้ลักษณะความคิดและการสร้างสรรค์ ต้องแตกต่างกันด้วย แต่เพราะตัณหา..ทำให้เราอยากผูกขาด ความคิดและการกระทำให้มีผลเหมือนๆกัน ก็เหมือน สินค้าบริโภคอุปโภคที่เราเห็นอยู่ในทุกวันนี้

เพราะสถาปัตยกรรมไม่ถูกต้องและเหมาะสม การสิ้นเปลือง พลังงานจึงเป็นปัญหาและเกิดความไม่สมดุลป์ การแสวงหาพลังงานทดแทนจึงต้องมีการดิ้นรนกัน

ผม..จะงดกล่าวถึงการใช้รถยนต์อย่างบ้าคลั่ง และการขยายเมือง อย่างไร้การควบคุม และความเหมาะสมกับบริบทที่ควรเป็น เอาแค่ตึกรามบ้านเรือนที่พวกเราช่วยกันรังสรรค์ ก็อาจพบปัญหาต่างๆมากมาย กิจกรรมการดำเนินชีวิตของคนไทยเปลี่ยนแปลงไป จากที่เคยใส่เสื้อผ้าบางๆ ไปเป็นสูทหรือเสื้อผ้าหนาๆ เมื่อร้อนเลยต้องใช้แอร์ กิจกรรมที่เคยอยู่ภายนอกกลายเป็นภายใน พื้นที่ว่างอาคารเลยมากขึ้น ทั้งๆที่ภูมิอากาศในบ้านเราสดใสเป็นส่วนมาก พื้นที่ว่างภายนอกที่เคยเป็นธรรมชาติกลับลดน้อยลง กลายเป็นถนนที่กว้างขึ้นรองรับรถยนต์ที่ใช้แทนอวัยวะ คือขาตัวเองมากขึ้น อุปกรณ์ทางเทคโนฯ ที่มาเสริมแต่งล้วนบริโภคพลังงานทั้งสิ้น

แนวคิดเรื่องการแก้ปัญหาสถาปัตยกรรมในเรื่องพลังงาน มีอยู่สองแนว คือ passive และ active อย่างแรก ก็แบบแนวคิด green architecture อย่างหลังคือใช้ สิ่งประดิษฐ์ทางเทคโนฯ เช่นแอร์หรือโซล่าเซล เข้าช่วย ถ้าสถาปนิกให้ความสำคัญและคิดค้นแบบแรกมากๆ เสริมแบบหลังน้อยๆ พลังงานก็อาจสิ้นเปลืองน้อยลง

การแก้ที่สถาปัตยกรรมแบบมีข้อจำกัด ผมว่าไม่พอ ต้องศึกษาและพิจารณาความเชื่อมโยงกับสิ่งอื่นๆด้วย ที่สำคัญ คือรูปแบบของการดำเนินชีวิตที่เรายึดถืออยู่ปัจจุบัน ต้องปรับให้เหมาะสมด้วย

อยากให้คุณ Wong ลองกลับไปดูหนังจีนกำลังภายใน ดูฉากหรือสถาปัตยกรรมที่ผู้สร้างพยายามจำลองสิ่งที่น่าจะเป็นในอดีต แล้วกลับมามองสถาปัตยกรรมเมืองร้อนของเราในปัจจุบัน ผมว่าภาพในอดีตก็คงไม่ต่างจาก แนวคิด green architecture ที่เรากำลังย้อนรอยเท่าไรนัก...นะครับ

การมีเวลาทบทวนสิ่งที่เราทำมาแล้ว กำลังทำ หรือจะทำในภายหน้า ผมว่าสถาปนิกทุกคนควรกระทำ และต้องมีความอิสระให้มากพอ ความรู้ที่เรามีก็จะกลายเป็นสติปัญญาที่จะรังสรรค์สิ่งที่ดีและถูกต้องได้มากขึ้น

การใช้ความรู้ ควรเป็นไปพร้อมๆกับการลดละกิเลสตัณหาของตนให้เบาบางลง ยิ่งลดลงมากเท่าไร ความรู้ของเราก็จะกลายเป็นปัญญา ได้เห็นและทำเห็นสิ่งที่ถูกต้องได้มากยิ่งขึ้น...นะครับ
โดย เพื่อนอาจารย์ [29 มิ.ย. 2549 , 13:12:16 น.]

ข้อความ 2
อย่าไปกลุ้มใจกับเรื่องผลการประกวดแบบ
ผมชอบที่ท่าน Frank Lloy Wrigth เคยปรามาสไว้ว่า... แบบที่ชนะการประกวด ก็คือ แบบที่กรรมการยืมมือผู้เข้าประกวดให้กระทำตามที่ตัวเองคิดไว้แล้ว

ในชีวิตการทำงานของท่าน...ท่านจึงไม่เคยเข้าร่วมประกวดแบบ...เลยครับ
โดย ขออีกที [29 มิ.ย. 2549 , 13:30:38 น.]

ข้อความ 3
ขอบคุณครับ

วันพฤหัสบดี, สิงหาคม 03, 2549

โวหารสมมุติ...ศาสนากับวิทยาศาสตร์


ว่าด้วยเรื่องโวหารสมมุติ... เพื่อความเข้าใจในพระพุทธศาสนากันอย่างแท้จริง
ถ้า...นาม-รูป เป็นเหตุปัจจัยหลักของ"สิ่ง"ที่เรียกว่า"จิต" และปรากฏการณ์เกิด-ดับของมันทำให้เกิด"เวลา"ใน"ความมี"ของจิตแล้ว จิต..ก็จะดำเนินไปอย่างกว้างขวางจนถึงที่สุดคือ จักรวาลของความมี"ตัวตน"และสิ่งแวดล้อมทั้งมวลอื่นๆ นั่นเอง บรรจุลงใน"ความว่าง"จนเติมเต็มเป็นโลกสมมุติของแต่ละชีวิตที่รวมเรียกกันว่า จักรวาลที่เป็นอนันต์
ฐานสมมุติแห่งนาม-รูป ก็จึงไม่แตกต่างจากความรู้สมมุติในปัจจุบันของความรู้ทางวิทยาศาสตร์ โดยเฉพาะคือฐานสมมุติ"ตัวเลข"ของวิชาคณิตศาสตร์ นั่นคือ ตัวเลขของ 1-0(หนึ่งกับศูนย์) อันมีการบูรณาการกันอย่างไม่มีความสิ้นสุขในการสร้างนวัตกรรมของมนุษย์ แปลงกันจนเป็น"มายา" เช่น ภาพยนต์ หรือเรื่องราวอื่นๆผ่านให้เห็นกันทางเครื่องรับโทรทัศน์และคอมพิวเตอร์เป็นต้น
มนุษย์ ก็คือ นวัตกรรมหนึ่ง ที่เกิดจากการสรรสร้างของ"จิต" หรือ "พระเจ้า" นั่นเอง มีการบูรณาการในเชิงความสัมพันธ์ที่สอดคล้อง หรือในภาวะบรรสานของสรรพสิ่งทั้งมวล โดยรับความเป็น"มายา"นี้ ผ่านกระบวนการประมวลผล(เช่นอาศัยขัณฑ์ห้า) ยึดถือกันเป็น"ความจริง" ซึ่งอาจไม่แตกต่างกันนักกับการแปลงระหัสด้วยเครื่องคอมพิวเตอร์ เครื่องเล่นซีดี หรือเครื่องทีวีปัจจุบันนี้
พีทาโกลัส สร้างสมมุติทางโวหารไว้ว่า... จักรวาลทั้งมวลประกอบกันขึ้นจากตัวเลขทางคณิตศาสตร์ หรือที่..ดีโมคริตุส อ้างว่า... จักรวาลประกอบขึ้นจากอะตอม ก็ไม่ต่างจากที่พระพุทธเจ้าเทศนาว่า... จักรวาลเกิดขึ้นจากจิตที่ประกอบขึ้นมาจากนาม-รูป(นามกับรูป)นั่นเอง
ชีวิตเป็นเพียง"มายา" ..น่าจะ.. เกิดจากจิตที่ประมวลกันของนาม-รูป สร้างโลกที่ประกอบกันเป็นตัวเรา ล้วนเป็นโลกของมายา เลื่อนลอยไปตามอำนาจของจิตที่มีนาม-รูปเป็นเหตุปัจจัยต่อกันและกัน เรียกกันให้ชัดก็คือ เกิดเป็นโลกเสมือนจริง หรือ virtual world ในโวหารของภาษาคอมพิวเตอร์ปัจจุบันนี้
เมื่อเรายอมรับการใช้โวหารสมมุตินี้กันแล้ว ก็ ลองมาเปรียบเทียบกับการอ่านข้อเขียนบางตอนของคุณ สมชาย วสันตวิสุทธิ์ เขียนไว้ในคอลัมน์ "คิดนอกเส้น" เรื่อง... "เราสร้างโลกและจักรวาลนี้จากตัวเลขได้หรือไม่? ในหนังสือพิมพ์ผู้จัดการรายสัปดาห์ ฉบับที่ 937 ดังนี้
"พีทาโกลัสบอกว่า พิ้นฐานของตัวเลข คือพื้นฐานของทุกสิ่ง และจักรวาลนี้แท้ที่จริงแล้วคือตัวเลขและภาวะบรรสาน หรือ harmony หรือความสอดคล้องของสรรพสิ่ง สามารถอธิบายได้ด้วยค่าตัวเลขทางคณิตศาสตร์ เช่น เลขคู่หรือเลขคี่ เลข ตรรกยะ หรือเลข อตรรกยะ หรือเลข ที่มีเหตุผล และเลข ที่ไม่มีเหตุผล นั่นคือเลขที่สามารถหาจำนวนเต็มและเป็นเศษส่วนได้ กับเลขที่ไม่สามารถเขียนเป็นเศษส่วนได้ แม้เลขที่เป็นเศษส่วนกลับของเลขจำนวนเต็ม เช่น เศษหนึ่งส่วนสอง หรือเศษหนึ่งส่วนสาม เศษหนึ่งส่วนสี่ ฯลฯ เลขเหล่านี้ล้วนมีบรรสานกันและกัน
โลกที่เรามีชีวิตอยู่ หากเป็นโลกมายาที่ยอมรับเป็นความแท้จริงแล้ว ก็ไม่น่าจะต่างจากโลกเสมือนจริง เช่นในภาพยนต์ที่ถูกเก็บไว้ในแผ่นดิสก์ เช่นในเรื่อง the matrix ที่เฉลยไว้ว่า.. โลกที่เราดำเนินชีวิตกันอยู่นี้เกิดจากโปรแกรมคอมพิวเตอร์ของเครื่องคอมพิวเตอร์ยักษ์หรือแมทตริกที่คอยบงการ ซึ่งอำนาจนี้ ก็ไม่น่าต่างจาก"จิต"ของเราเท่าไรนัก
ตัวอย่างหนังที่เก็บไว้ในแผ่นวีซีดีหรือดีวีดี ทั้งหลายล้วนเป็นแผ่นข้อมูลของเครื่องคอมพิวเตอร์ทั้งสิ้น มันบรรจุ"ข้อมูล"ที่เป็นเลขฐานสอง คือเป็นตัวเลข "หนึ่งกับศูนย์" ด้วยกระบวนการเก็บที่เป็น"ร่อง"หรือ"หลุม"ขนาดจิ๋วบนผิวของแผ่นดิสก์ เมื่อส่องด้วยแสง"เลเซอร์"จากหัวอ่านของเครื่องเล่นก็จะสะท้อนแสงบ้างไม่สะท้อนบ้าง เกิดการติดกับดับ ซึ่งหมายถึง "เลขหนึ่งกับศูนย์" เมื่อไปแปลงค่าในแผ่นวงจร"ไอซี" ให้กลายเป็นสัญญาณไฟฟ้าที่ไปควบคุมหลอดภาพของทีวีหรือจอพลาสมาทีวีอีกที (อวัยวะสมองของเราก็น่าจะทำหน้าที่ทำนองนี้)
นั่นคือภาพยนต์ที่เป็นภาพเคลื่อนไหวต่อเนื่องเป็นเรื่องเป็นราวเสมือนจริงขึ้น ซึ่งสามารถแปลงมาเป็นกฎตัวเลข คือเลขฐานสอง ซึ่งก็คือตัวเลข หนึ่งกับศูนย์นั่นเอง แล้วตัวเลขก็สามารถแปลงกลับไปเป็นเรื่อราวต่างๆเป็นโลกเสมือนจริง เช่นในภาพยนต์ด้วยหลักวิธีดังกล่าว ซึ่งต่อๆไปก็สามารถสร้างหนังด้วยตัวเลขล้วนๆได้ ดังเช่นหนังการ์ตูน เรื่อง"นีโม"ตามหาพ่อ...." (หรือ เรา..ตามหา"รอย"พระพุทธองค์)
ดังนั้น จักรวาลทั้งหมดก็สามารถถูกแปลงเป็นเลขฐานสองหรือ"ตัวเลข" ตามแนวความคิดของพีทาโกลัส ก็ได้ ถึงตรงนี้ "พระเจ้า" หรือ"จิต" ก็ไม่ต่างจากนักสร้างภาพยนต์ชั้นหนึ่ง"..กระมังครับ
สำหรับเรื่องของโวหารสมมุติข้างต้น เนื่องในสภาวการณ์ปัจจุบัน เราคงยากที่จะหลีกเลี่ยงความรู้ของวิทยาศาสตร์ แม้ว่า"ความจริง"ที่บอกกล่าวกันในโวหารนี้ จะเป็นเพียง"เงา"ของความจริงก็ตาม ก็ยังถือว่าเป็นสิ่งที่พอจับเค้าพอมองเห็นได้ เพราะมันมีแสงแห่งปัญญา(บางส่วน)ส่องอยู่ แม้จะน้อยนิดเพียงจับต้องได้แค่เป็นเห็นเพียงเงาของความจริงก็ตาม เพราะยังไม่สามารถเห็นได้จะแจ้ง แต่ก็ยังพอนับได้ว่า นั่นเป็นเค้าโครงของความจริงได้ ก็..ยังดีเสียกว่าการ"มองเห็น"ที่เป็นเสมือน"ฝัน"อันผ่านทางกระบวนการจินตนาการของแต่ละคน อธิบายแก่กันนั้นยากที่จะเข้าใจ หรือแม้นว่า อาจเป็นแค่เพียงความหลงเชื่อ หลงติดจนกลายเป็นความงมงายที่ไม่อาจรู้เท่าทันก็ได้
ลองพิจารณาโวหารสมมุติในอีกข้อเสนอแนะ ดังต่อไปนี้....
ไอน์สไตน์กล่าวว่า.... "วิทยาศาสตร์ที่ไร้ศาสนาก็เหมือนคนขาเป๋ ศาสนาที่ไร้วิทยาศาสตร์ก็เหมือนคนตาบอด"
พระสันตะปะปาจอห์น พอลที่สอง กล่าวว่า.."วิทยาศาสตร์สามารถชำระศาสนาให้สะอาดขึ้นจากความผิดพลาดและความเชื่อในเรื่องเหนือธรรมชาติ ศาสนาก็สามารถชำระวิทยาศาสตร์ให้สะอาดจากความเชื่อในบางสิ่งจนเกินเลยไป และกลายเป็นความสัมบูรณ์ที่ผิดพลาดได้ แต่ ทั้งสองสิ่งนี้ สามารถนำพากันไปสู่โลกที่กว้างขึ้น การเชื่อมสองสิ่งนี้เป็นสิ่งจำเป็นที่ต้องดูแล"
หากพระเจ้าเป็นผู้สร้างมนุษย์จริง...หรือเกิดขึ้นมาโดยไม่มีทางเลือก(เพราะกรรม) ก็คงมีจุดประสงค์ให้เราใช้สมองของเราคิดและไตร่ตรองหาเหตุผล ซึ่งในที่สุดแล้วนำพาโลก(และตัวเรา)ไปสู่ความสงบสมบูรณ์
การชี้ว่ามนุษย์ต้องเลือกทางเดินของตนเองและรับผิดชอบการกระทำของตน ก็คล้ายเรื่องตนเป็นที่พึ่งแห่งตนในแนวพุทธ ส่วนเรื่องอิสระภาพการเลือกใช้ชีวิตนั้น ก็คล้ายแนวทางเต๋า..นี่เป็นสาระของปรัชญาเอ็กซิสเตนเชียลิสม์ของ..ฌอง-ปอล ซาร์ตร์ เจ้าของวาทะ.."การเกิดมาในโลกนี้เป็นสิ่งที่เราทุกคนไม่มีทางเลือก อิสรภาพที่จะไม่เลือกอิสระ... ไม่ใช่อิสรภาพ"
ปรัชญาเอ็กซิสเตนเชียลิสม์ เป็นรูปแบบหนึ่งของมนุษย์นิยม ที่เชื่อใน 3เรื่องคือ..อิสระภาพปัจเจก(individual freedom) ทางเลือก(choice) และความรับผิดชอบของมนุษย์หรือตัวตนของปัจเจก(individual existence)
ในแนวพุทธ...อิสระภาพที่แท้คือ อิสระภาพที่พ้นจากกิเลสทั้งปวงที่ครอบงำจิตของเรา
การตีความคัมภีย์ให้ถูกไม่สำคัญเท่าการตีความให้เป็นประโยชน์ต่อ(ตนเองและ)สังคม
ไม่ว่าชีวิตเป็นสิ่งที่เรากำหนดขึ้นเองหรือไม่ก็ตาม เราไม่มีทางรู้ สิ่งที่เราทำได้ดูเหมือนไม่มีทางเลือกเท่าใด เราต้องก้าวต่อไปโดยทำทีไม่สนใจว่าชีวิตเราถูกกำหนดมาหรือไม่ เพราะหากมันไม่ถูกกำหนดมาก่อน เรายังมีโอกาสมากกว่าที่จะไม่ทำอะไรเสียเลย
จาก..."พระเจ้าไม่เล่นบอล? ว่าด้วยผู้สร้าง" โดย วินทร์ เลียววาริณ (http://www.winbookclub.com/)
สรุปกันได้ว่า.... โวหารอันเป็นสมมุติบัญญัติดังกล่าว ก็เป็นเรื่องของ ปัจจัตตัง เวทิตัพโพ วิญญูชนรู้ได้ด้วยตนเอง อันนี้เป็นคำสอนของพระพุทธเจ้า ท่านว่า...ให้เชื่อตัวเอง ให้เห็นให้เข้าใจด้วยตัวของเราเอง

พึงเจริญในธรรม...นะครับ
โดยคุณ : เด็กข้างวัด - 16/11/2004 00:51

วันอังคาร, ธันวาคม 27, 2548

การออกแบบรีสอร์ท

อยากรู้เรื่องราวรีสอร์ท

กำลังทำโปรเจกรีสอร์ทอยู่ครับ เป็นhealth and spa resort ไม่เคยทำมาก่อน ไม่รู้จะจับต้นชนปลายที่ตรงไหน เลยอยากรู้ เรื่องราวจากพี่และอาจารย์ผู้เปี่ยมซึ่งประสบการณ์น่ะครับ
อยากทราบถึงการวางผังที่มักทำกันในresort projectอย่างละเอียด
อยากทราบถึงรูปแบบสถาปัตยกรรมที่นิยมและเป็นที่ชมชอบ
อยากทราบว่าระหว่างการวางอาคารเล็กๆกระจายเป็นหลายๆหลัง กับวางเป็นอาคารmassใหญ่ๆหลายๆชั้น ในโปรเจกรีสอร์ท อย่างไหนมีประสิทธิภาพและงดงามกว่ากัน
ส่วนของsoftscapeที่เป็นน้ำ ควรมีสักกี่ส่วนของพื้นที่ทั้งหมด
และอื่นๆที่จักควรแนะนำแก่ข้าน้อย ขอบคุณมั่กครับ
โดย นกเจ่า - [9 พ.ย. 2546 , 22:47:56 น.]

ข้อความ 1
ต้องการหาคำตอบแบบนี้...เรียนง่ายดี จะเอาไปใช้ทำแบบทีสิสหรือไง...ถ้าใช่ ไม่มีความรู้เรื่องนี้มาก่อนเลย แล้วเอาไปทำทีสิส จะต้องใช้เวลาเรียนรู้ อาจนานจนรับปริญญาไม่ทันแน่เลย
การเรียนรู้กันเยี่ยง "กัลยาณมิตร" ตนเองต้อง ซื่อสัตย์ เสนอความรู้ของตนเองก่อน อย่างเปิดเผยและจริงใจด้วย ใช้กลยุทธ์ "โยนหินถามทาง" จะเข้าท่ากว่า
กระทำได้อย่างนี้..แล้วผู้อื่นจึงจะร่วมแจมได้
ตามหลักธรรมะ จะรับ"ทาน"จากผู้อื่น ตนเองต้องให้"ทาน" ก่อน การเรียนรู้ก็เช่นกัน ต้องพึง"ให้" แก่กันและกัน อย่าเอาแต่อ้าปากคอยให้คนป้อน..ท่าเดียว
เสียศักดิ์ศรีความเป็นนสิตและสถาปนิกในภายภาคหน้าเอานะครับ
โปรดอย่าโกรธ....ที่เตือนมา
โดย เพื่อนอาจารย์ [19 พ.ย. 2546 , 11:09:11 น.]

ข้อความ 2
ความจริงแล้ว ผมก็ไม่ได้ความรู้น้อยนิดติดพสุธาขนาดที่คุณเพื่อนอาจารย์ติมาหรอกครับ บทความของผมในที่นี้ครั้งหนึ่งคุณเพื่อนอาจารย์ก็เคยเอาไปลงประจานในหนังสือเล่มหนึ่งสีขาวมาแล้ว คงจำย้ำเตือนกันได้นะครับ เพราะครานั้น ผมได้ร้อยเรียงเคียงความเป็นภาษาต่างประเทศไว้ แถมได้กะแดะใช้ชื่อนามว่าGloriaอีก ก็เป็นแค่กระผีกหนึ่งแห่งอดีต ก็ไม่อยากรื้อฟื้นแล้วครับ ที่ลงถามห้วนๆสั้นๆพลันนั้น เพราะเนื่องด้วยวันที่ลงไว้นั้น มีเหตุจำเป็นที่ต้องพิมพ์อย่างรวดเร็วฉับพลัน ไม่ทันได้แสดงลีลาท้าประลองใคร ผมกล้าบอกได้ว่า ผมก็พอที่จะมีหินขนาดหนึ่งที่สามารถปาหัวคนธรรมดาๆให้ตายคาโต๊ะดราฟได้สบายๆอยู่เหมือนกัน และคำถามที่ลงไป ก็ไม่ได้ใคร่อยากจะรู้ขนาดนั้น เพราะลำพังตนเองก็สามารถค้นหาได้ไม่ยากเย็น ก็ทุเรศตัวเองเหมือนกันที่เข็นคำถามโง่ๆออกไปเป็นครั้งแรก..........
โดย นกเจ่า [20 พ.ย. 2546 , 23:50:37 น.]

ข้อความ 3
ผมก็พอจะได้ความตามที่คิด ว่าโปรเจกเฉกนี้ ทำเป็นdeconstructionก็คงไม่งามไม่งดหมดจด ครั้นจะทำงานmodernแบบเดิมๆเสริมหลังคาhipใหญ่ๆเพื่อให้ผู้ไม่รู้ ดูว่าไทย ก็รู้สึกตะหงิดๆ ผนวกกับอาจารย์ท่านหนึ่ง ที่ตรวจแบบ กล่าวไว้อย่างน่าฟังจังเลยว่า "ก็ทำให้มันดูเป็นไทยๆ ทำๆไปเหอะ ฝรั่งเค้ามาดูก็ไม่รู้หรอก" ห้ามตนเองให้ไม่คิดไม่ได้ ว่า ถ้าท่านอาจารมาสเตอร์architectไทยท่านใดท่านหนึ่ง เกิดได้มาดูงาน"ไทยๆ"ที่ว่านี่ ก็คงแอบดูถูกอยู่ไม่น้อย นิสิตสถาปนิกส่วนใหญ่(รวมทั้งที่จบออกไปแล้วบางท่าน)ยังมีความคิด และผลงาน ออกมามีไม้ยมกตามมาด้วยตลอด เช่น "ไทยๆ" "modernๆ" "สวยๆ"...แต่ไม่ยักกะไทย ไม่ยักกะโมเดอน แล้วบางรายก็ไม่เห็นจะสวย เพราะทำเพราะคิด โดยไม่รู้ว่า ไทย เป็นอย่างไร modernเป็นอย่างไร สักแต่ว่าดูเหมือนๆ ก็พอใจ ไปห้องสมุด ก็ฉุดเอานิตยสารสวยๆ เอามาลอกมุมนู่นมุมนี่ ลอกแปลน แต่ตัวหนังสือไม่ยักกะอ่านสักตัว จึงไม่แปลก ถ้าเค้าจะบอกว่า เราอ่านหนังสือกันเฉลี่ยแล้ว6บรรทัด
โดย นกเจ่า [20 พ.ย. 2546 , 23:51:49 น.]

ข้อความ 4
เห็นตอนปีก่อน deconมาแรง ก็แรงตามกระแส ทำมันกันทั้งสตู รู้บ้างหรือไม่ ว่าปรัชญาของมันเป็นอย่างไร หลักการจัดองค์ประกอบของdeconเป็นอย่างไร รู้จักไหม superimposition รู้มั้ย ว่าทำไมต้องยุ่ง ก็ทำให้มันเฉียงๆ ดูเท่ห์ก็เจ๋ง ส่งและ อาจารย์บางท่านก็พลอยเออออไปด้วย เพราะก็ไม่รู้เรื่องพอกัน มาปีนี้งานแบบไทยมาแรง ก็จะทำมันแบบ"ไทยๆ"กันอีก กระหนกสักตัว เคยอยากจะเข้าใจบ้างหรือเปล่า เข้าถึงรูปทรงของมันที่derivedมาจากธรรมชาติบ้างไหม เส้นจอมแหคืออะไร รู้กันบ้างไหมว่าconแบบไทยมหัศจรรย์พันลึกขนาดไหน ผมว่ามันต้องรู้ขนาดนี้ก่อนนะ แล้วค่อยเอาไปดัดแปลง แฝง"ไม้ยมก"เข้าไป ผมเห็นเด็กถาปัดเดินมาคณะ ปั่นงานตรวจแบบแล้วก็เดินกลับ ไปดูหนัง ไปเที่ยว ไม่ขยันหน่อย อารมณ์หุ่นไขลาน ก็ตรงรี่กลับบ้านไปคิดแบบต่อ รอวันตรวจแบบอีกครา ช่วงนี้ มีศิลปะดีๆระดับประเทศ หรือระดับโลกด้วยซ้ำ มาโชว์ที่ฝั่งตรงข้าม ไม่เห็นจะเคยโผล่หน้าไปดูกันสักที นานๆจะเห็นเด็กถาปัดสักคน เด็กคณะอื่นยังจะเยอะกว่าอีก แล้วอย่างงี้วงการสถาปัตยกรรมจะเทียบระดับโลกได้เมื่อไหร่ เพราะสอนกันแต่ให้อยู่รอดในวงการสถาปัตย์เมืองไทย ต้องตามลูกค้า เอาใจลูกค้าบ้างล่ะ เราเป็นsalemanขายแบบบ้างล่ะ ยัดใส่หัวใส่จิตสำนึกนิสิตกันต่อๆไป ยิ่งรุ่นต่อๆไปงานก็ยิ่งเห่ยลงๆ ความเป็นครูกับศิษย์ ความเป็นวิชาช่าง ไม่เห็นจะเหลือหลอแล้ว ไม่รู้ทำไมพอถึงประเพณีอะไรๆก็ยังต้องเติม"ช่าง"ต่อหลังทุกที สิ่งเหล่านี้มันก็มีeffectต่อไปถึงคนทั่วไป ให้ไร้ซึ่งรสนิยมเรื่อยๆ ทำกันมาอยู่ได้ กล่องคอนกรีตขาวๆ อยากรู้ ว่าจะมีสักกี่คน ที่เดินผ่านแล้วเหลียวมองกล่องพวกนั่น เพราะมันก็เหมือนๆกันไปหมด เป็นผลจากการถูกล้างสมองด้วยสื่อเมืองนอก นิตยสารGA ทำออกมาอย่างนั้นแหละ ลืมรากตัวเองกันไปหมด... ขอโทษครับ ที่ออกความเห็นรุนแรงไปหน่อย พอดีกะลังweakๆ ก็เลยระบายออกมา หวังว่าคงไม่ด่าว่าหาความผมนะครับ ก็แค่ความเห็นจากหน่วยเล็กๆอย่างผม ที่เผอิญมีbackgroundต่างจากคนอื่นๆนิดหน่อย ยังไงก็ขอบคุณๆเพื่อนอาจารย์นะครับ ที่ติเตือนมา ผมอยากให้อาจารย์เป็นอย่างนี้ทุกๆท่าน เพราะถ้าเป็นผม เห็นกระทู้ถามเว้าซื่อๆโง่ๆเยี่ยงนี้ ก็คงทำเฉกเดียวกัน ขอบคุณครับ
โดย นกเจ่า [20 พ.ย. 2546 , 23:52:12 น.]

ข้อความ 5
อ้อ ผมหารูปสวยๆมาลงไว้ให้คุณเพื่อนอาจารย์นะครับ เห็นว่าคุณเพื่อนอาจารย์ ช่างล้ำลึกในพระพุทธศาสนาโดยแท้ ทั้งปรัชญา และอุบาย นับถือๆครับ
โดย นกเจ่า [20 พ.ย. 2546 , 23:58:00 น.]

ข้อความ 6
ดีใจยิ่งนักที่ได้พบคุณอดีตGloria อีก เลยต้องรีบคุยมา
ก่อนอื่นต้องขอโทษด้วยหากสิ่งที่คุยไปทำให้เกิดอารมณ์ เพียงแต่โยนหินถามทางผิดไปหน่อย แต่ได้หินชั้นยอดโยนกลับมา
อย่าเรียกว่าการที่นำการพูดคุยกับคุณ Gloria ในครั้งกระโน้น เป็นการประจาน เลยครับ แท้จริงแล้วเป็นการยกย่องกันมากว่านะครับ
ผมขอขอบคุณด้วยซ้ำที่พวกคุณๆทำให้ผมต้องสำรวจตัวเอง ขวนจวายแสวงหาความรู้เสียบ้าง อย่าคิดว่าสวมหัวโขนในความเป็น "ครู" แล้วจะวิเศษหรือเก่งกว่าศิษย์เสมอไป การแสวงหาความรู้จากการวิสัชชณากันและกัน ไม่มีคำว่าศิษย์หรืออาจารย์นะครับ
ผมเองก็มีส่วนรับผิดชอบการเรียนรู้ที่คณะฯนี้อยู่ด้วย ก็ยอมรับว่ายังมีความห่วยแตกอยู่มาก ยังต้องพัฒนากันตามกาลอยู่เรื่อยไป
ยิ่งมีผู้ร่วมด้วยช่วยกันอย่างเช่น คุณนกเจ่า หรือ Gloria (ก็ตาม) ผมเชื่อว่าการศึกษาที่นี่คงยังไม่ตายสนิทแน่ครับ
กำลังจะปลีกวิเวกไปจากบอร์ดนี้อยู่แล้วเชียว เพราะทำท่าจะเซ็งๆ พอเจอคุณนกเจ่า หัวใจผมกลับดันเต้นคึกคักขึ้นมาอีกเฮือก
เพราะยังไม่อยากให้บอร์ดนี้หมดคุณค่าของชุมชนเพื่อการศึกษาและความเป็นกัลยาณมิตรทางวิชาการ...จริงๆครับ
ขอขอบคุณ...ที่ส่งเสียงมาอีก..นะครับ ขอบคุณในทุกสิ่งที่ให้มาครับ
โดย เพื่อนอาจารย์ [21 พ.ย. 2546 , 01:45:22 น.]

ข้อความ 7
ถ้าอยากให้คุยเรื่องรีสอร์ทตามที่ตั้งกระทู้ ก็ขอให้บอกมานะครับ ยินดีคุยเรื่องนี้ โดยเฉพาะกับคุณเป็นพิเศษเลยครับ
เรียนอยู่ที่ภาคภูมิสถาปัตยกรรมหรือครับ?
โดย ขออีกที [22 พ.ย. 2546 , 02:08:20 น.]

ข้อความ 8
มิได้ๆครับ วันก่อนขออภัยอย่างรุนแรง ที่ได้แสดงตัวตนรุนแรงชนิดกระตุกขนหน้าแข้งหลายๆคน ต้องขอโทษจริงๆครับ ขอโทษคุณเพื่อนอาจารย์ด้วย เพราะยังไงเสีย ผมก็เป็นคนไทย ซึ่งยังต้องนับถือครูบาอาจารย์(ที่มีวิญญานแห่งครู)อยู่เหนือหัวไว้ก่อนแหละครับ ไม่เช่นนั้น เราก็จะเหมือนต่างชาตืไป ซึ่งก็อาจทำให้ทุกอย่างเจริญขึ้น แปลผกผันกันกับวัฒนธรรม และไม่ใช่ครับ ผมเรียนอยู่ภาคสถาปัตยกรรมธรรมชาติๆนี่แลครับ แต่เผอิญผมมีภูมิหลังต่างจากคนอื่นๆหน่อย เลยอาจมองบางอย่างจากดวงตาที่ต่างไป และก่อนหน้านี้ ผมก็เคยคิดอยากจะเข้าศิลปกรรมอยู่บ้าง(แต่ตอนนี้ไม่แล้วนะครับ แต่ก็ยังมีความคิดและมุมมองแรงไปหน่อย)แต่มาเข้าสถาปัตยกรรม เนื่องด้วยเห็นว่า จิตรกรรม สัจธรรมมันก็เป็นเพียงผืนผ้าใบเรียบๆ เป็นงานสำหรับผู้ที่เหนือไปแล้ว จึงจะได้แก่นสาระจากงานเหล่านั้น แต่สถาปัตยกรรม คือจินตนาการแห่งจิตรกรรม ที่ ถูกปั้นแต่งขึ้นบนโลกความจริง เพื่อปลอบโยนวิญญานของทุกผู้หมู่คน ทุกชนทุกชั้น ไม่กั้นแบ่งแยก แต่พอเข้ามา บางครั้งครา ก็เหนื่อยๆกับความเป็นไปของที่นี่เล็กๆ จนไม่รู้ว่าจะมีศิลปินแห่งชาติสถาปัตยกรรมไปทำไม ในเมื่อไม่เห็นสอนความเป็นศิลปินให้นิสิตเลย สอนแต่การเอาตัวรอด ถ้าผมมองจากมุมมองของคนนอกแล้ว ก็ต้องขอบอกว่า นิสิตหลายคนที่นี่นี้ธรรมดามากๆจนน่าเศร้า ความคิดความอ่านน้อยมาก It only needs a thought to create. ผมว่าความคิด สำคัญเหนือสิ่งอื่นใดนะ แม้จะไม่ได้เป็นtect แค่คนขายข้าวมันไก่ที่เคยเจอ ยังมีความคิดน่านับถือกว่าเด็กถาปัดหลายๆคน ถ้าเอาคนขายข้าวมันไก่คนนั้น มาเรียนถาปัดได้ น่าจะดี... ส่วนเรื่องรีสอร์ท ถ้าได้ความกรุณาจากอาจารย์ ก็จะดีมากๆครับ ขอบคุณครับ

โดย Nokjao [23 พ.ย. 2546 , 23:43:16 น.]

ข้อความ 9
ข้อความที่โม้..ยาวไป เลยต้องแบ่งเป็นตอนๆ
ความคิด ความตั้งใจ ที่จะเรียนรู้เพื่อค้นหา ความรู้ที่ "เป็นจริง" ซึ่งเราอาจไม่รู้ชัดได้ แต่จะมี เป็นดรรชนีบางตัวชี้ถึงการพัฒนาชีวิตที่ดีเกิดขึ้นได้ครับ ถ้าลองศึกษาทฤษฎีความรู้ที่อ้างถึงเหตุปัจจัย เช่นในเรื่องของพุทธศาสนา หรือศาสนาอื่นๆ ไม่เว้นแม้ "ศาสนา" ใหม่ที่เราเรียกกันว่า วิทยาศาสตร์ เราก็อาจเข้าในเรื่องของสรรพสิ่ง ที่เชื่อมโยงกันนั้น เป็นอย่างไร ก็เกิดสิ่งอย่างนั้น
ผมคิดว่าบางครั้ง..เราอาจต้องละสิ่งสัมผัสนอกตัวเรา เช่นคนอื่น ถ้าเขาจะเป็นอย่างไร อะไรที่ไม่ดีไม่งามเราก็อย่า ไปลุ่มหลงรวมเข้าไปอีกคน ก็หมดทุกข์...ผมเองก็มีอารมณ์ ดุเดือดเลือดผล่านในเรื่องของคนอื่น? หรืออะไร? มีเรื่อง นอกตัวที่เราขัดแย้งมาก่อน แต่พอนานเข้า ค้นหาชีวิตเราไปรื่อยๆ ก็จะทำให้ผ่อนคลายอารมณ์บ่จ๋อย ลงไปได้มากเลยครับ เพราะ รู้จักตัวเองมากขึ้นๆ
อย่างไรเสีย...อย่าลืมคำที่ผู้รู้ มักกล่าวไว้ว่าเราต้องตระหนักถึง "ความเป็นบัณฑิต ที่พึงมีความอ่อนน้อมถ่อมตน" ไว้เสมอๆนะครับ
(มีต่อนะครับ)
โดย เพื่อนอาจารย์ [24 พ.ย. 2546 , 15:31:15 น.]

ข้อความ 10
เผอิญผมได้หนังสือแปลเรื่อง .."ทำเมืองให้น่าอยู่" The GAIA Atlas of Cities หาซื้อได้ที่ร้านซีเอ็ด หนังสือจะเน้นถึงบริบทของความเป็นระบบทางนิเวศวิทยา งานออกแบบสถาปัตยกรรมรีสอร์ท ...ผมคิดว่า น่าต้องเติมเรื่องทำนองนี้ลงไปบ้าง บางทีถ้าเราเห็นด้วย ก็อาจทำให้กระบวนทัศน์ในการออกแบบเปลี่ยนแปลงไป เพราะในพื้นที่แต่ละแห่ง หากเราพิจารณาความเป็นองค์รวมในบริบท ที่เกี่ยวข้องกัน การออกแบบสถาปัตยกรรมที่แต่งเติมลงไป ก็ไม่น่าจะมีรูปแบบเดียวกันหมด และเป็นอย่างอดีตเสมอไป เท่าที่ผมสังเกตุ การเติมใส่อย่างลุ่มหลงในวัตถุสถาปัตยกรรม เกินไป อาจทำลายความสมดุลย์ของระบบนิเวศโดยที่เราไม่รู้ ซึ่งเป็นปัญหาที่เรากระทำกันมาในแทบทุกสาขาวิชาในอดีต พวกเราแทบทุกคน มักถูกประนามว่ากำลังทำให้โลกธรรมชาติ หายนะลงไปทุกๆวัน โดยความรู้เท่าไม่ถึงการณ์ครับ
โปรดอย่าไปโทษคณะฯที่ละเลยเรื่องพื้นฐานทางความคิดนี้ เพราะการศึกษาอะไรติดยึดแบบแยกส่วน เราก็อาจไม่เห็น ความสัมพันธ์ของระบบที่เป็นองค์รวม แต่ถ้าเราคอยตระหนัก และทบทวนความรู้อยู่เสมอๆ เราก็อาจพัฒนาให้สร้างปัญหา ได้ลดน้อยลงไป ไม่จำเป็นต้องจับเจ่ากันแต่ความรู้ในคณะนี้
(มีต่อครับ)
โดย ขออีกที [24 พ.ย. 2546 , 15:35:40 น.]

ข้อความ 11
ผมเองก็พยายามพัฒนาการเรียนรู้อยู่แทบทั้งชีวิต นี่ก็กำลังศึกษาเรื่องการออกแบบโรงพยาบาลกับนิสิต พยายามนำเสนอเรื่องการทบทวนกระบวนทัศน์สุขภาพ กันเสียก่อน แล้วค่อยตามเรื่องการออกแบบรูปแบบสถาปัตยกรรม ที่ให้สอดคล้องกับกระบวนทัศน์ทางสุขภาพใหม่ๆที่เปลี่ยนไปแล้ว อย่างเช่น เทคโนโลยีในอนาคต ที่ประยุกต์วิทยาศาสตร์ธรรมชาติใหม่ๆ เราอาจสามารถรักษาสุขภาพพื้นฐานด้วยตัวเองได้เอง โรงพยาบาลอาจเป็นสถานที่แค่ช่วยเติมเพิ่มความรู้ในการดูแล สุขภาพของพวกเราให้ดีขึ้นไปอีกเท่านั้น อาจไม่ใช่เช่นโรงฆ่าสัตว์ หรือซ่อมสัตว์ แบบผิดๆพลาดๆทั้งในกระบวนการรักษาและการ ออกแบบสภาพแวดล้อมของโรงพยาบาลอย่างที่เป็นอยู่ก็ได้นะครับ
ผมอาจโม้แบบไม่เห็นคำตอบที่เป็นรูปธรรมจะๆ แต่เชื่อว่าถ้าแนวคิด ของสถาปนิกทันสมัย ทันพอๆกับวิทยาการในสาขาต่างๆที่พัฒนาไป รูปแบบสถาปัตยกรรมที่แต่ละคนนำเสนอ ก็น่าถูกต้องแน่นอน และมีความ หลากหลายมากๆ ซึ่งล้วนเป็นเรื่องการส่งเสริมชีวิตที่ดีงามกันทั้งนั้น
การออกแบบรีสอร์ทก็เช่นกัน หากเน้นที่คุณภาพของระบบนิเวศ ที่เราควรจะถนอมกันไว้ รูปแบบสถาปัตยกรรม ก็อาจมีความอ่อนน้อม ถ่อมตนมากกว่า หรือแตกต่างจากที่พบเห็นอยู่ในปัจจุบันก็ได้ ซึ่ง การศึกษาน่าจะลองรับการเสนอของครูและนิสิตทุกๆคน งานการศึกษา จะไม่ใช่แค่หากันในห้องเรียน หรือในสาขาวิชาของเราเพียงเท่านั้น การศึกษาแบบสหวิชา จึงจำเป็นมากขึ้นในอนาคต เช่น วิชาชีวพันธุกรรม อาจต้องนำมาเสริมความคิดในการออกแบบรีสอร์ทก็ได้
สนใจเรื่องปัญหาหรือความรู้ทางระบบนิเวศวิทยา ลองหาทางพูดคุย กับอาจารย์ในภาควิชาอื่น เช่นภูมิสถาปัตยกรรม เช่น อจ. ดร. ดนัย เป็นต้น คุณอาจได้แนวทางศึกษาที่ลุ่มลึกต่อไปได้ โครงการออกแบบ รีสอร์ทเท่าทีผมสัมผัส มักเลียนแบบชุมชนโบราณ ที่เกิดขึ้นเพราะ เทคโนโลยีที่จำกัดในขณะนั้น เป็นรูปแบบ "หมู่บ้านท่ามกลางป่าเขา" ซึ่งมีผลกระทบทางนิเวศน้อยกว่าปัจจุบัน หากเรายังเลียนแบบคนโบราณ กันอีกต่อๆไป เพราะด้วยความก้าวหน้าของเทคโนโลยี ที่ไม่เหมือนกัน เราอาจเลือกใช้รูปแบบปัจจุบัน ที่สร้างผลกระทบกับธรรมชาติได้น้อย กว่ามาก และก็ไม่จำเป็นต้องคงรูปแบบเดิมๆ
(ยังไม่หมดครับ)
โดย อีกที [24 พ.ย. 2546 , 15:39:52 น.]

ข้อความ 12
ผมเคยตรวจทีสิสโครงการณ์ทำนองนี้ เห็นแล้วก็มีอารมณ์เช่นที่คุณ ตำหนิมานั่นแหละ บางโครงการ ไม่บอกเรื่องแหล่งพลังงานที่จะ ป้อนให้โครงการกันเลย หรือจะหาวิธีสงวนพลังงานกันอย่างไร บางโครงการยึดครองที่สาธารณะ สถาปัตยกรรมกลายเป็น "จรเข้ ขวางคลอง" เลยก็มี สำมะหาอะไรกับการลงลึกในรูปแบบที่แก้ปัญหา เชิงระบบนิเวศวิทยา ซึ่งพวกเราตระหนักและสะสมความรู้กันยังน้อยมาก
เราคงต้อง"ปฏิวัติ" ความคิดกันทุกๆคน เพื่อความรู้ที่ถูกต้องให้มากที่สุด ทั้งจากผู้ปกครอง และประชาชนที่ถูกปกครอง ไม่งั้น คณะศึกษานั้น ชุมชนนั้น หรือประเทศนั้น คงต้องล่มสลายในไม่ช้า โลกในอนาคต มีผู้รู้โม้ว่า ..จะเป็น โลกที่ซื้อขายความรู้เพื่อหารับประทานกัน ถึงจะรวยเร็ว จะเป็นสถาปนิก รวยเร็ว ต้อง "ขาย" ความคิด ที่เป็นความรู้ ตรงกับการเปลี่ยนแปลงของโลก ปัจจุบัน จึงจะร่ำรวยได้ (ทั้งเงินทั้งบุญ) ...แม้ว่าอาจจะ.. เจ้งหรือขาดทุน กันก่อนในคณะนี้ ....ตอนส่งโปรเจ็ค หรือทีสิส ..นะครับ
จะเอากันอย่างไรดี...ครับ
โดย และก้อ..อีกที จบภาคแรก [24 พ.ย. 2546 , 15:47:14 น.]

รากเง่าคนไทย












คนไทยด้อยกว่าต่างชาติตรงไหน? -------------------------------------------------------------------------------- จากสายตาเด็ก(เคย)นานาชาติอย่างผม บอกได้เลยครับ ว่าต่างกันอย่างเห็นได้ชัดที่ความคิด คนไทยไม่(ค่อยอยาก)รู้จัก ไม่ยอมรับ รากของตน แต่กลับพิศวงกับค่านิยมต่างประเทศ ทั้งญี่ปุ่นหรือแถบตะวันตก ทั้งๆที่ประชาชนในประเทศนั้นเขานับถือรากตนเอง และถือว่าประเทศตนเองนั้นเหนือกว่าใคร คนไทยเราไม่ค่อยมีตรงนี้ อย่างTadao Andoเค้าออกแบบงานแนวใหม่ แต่ก็ไม่ได้ละเลยความเป็นShinto เป็นเซนในงานเค้า เพราะมันทำให้เป็นเขา เป็นชาวญี่ปุ่น เป็นงานที่เขาเท่านั้นออกแบบได้ พอเราๆมาเห็น ก็...ก็อปงานเขามา หารู้เนื้อหาสาระในนั้นไม่ นี่แหละ ที่แตกต่าง... โดย Chiaroscuro aka Gloria [18 มิ.ย. 2547 , 15:15:11 น.] ข้อความ 1 เพราะว่ามันมีหลายปัจจัยเกี่ยวข้องกันซะจิง คนไทยนับถือฝรั่งมากกว่าคนไทยด้วยกันเองนี่มันก็หมักหมมมาตั้งแต่ไหนแต่ไรแล้ว ฝรั่งมีแต่ของดีของเจ๋งมาให้(ซื้อ)ตั้งแต่ปีมะโว้ เราก็ยังตะบี้ตะบันซื้ออยู่จนปัจจุบัน ผิดกะญี่ปุ่นที่เค้าเอามาแล้วก็มาศึกษาจิงจัง คิดเอง พัฒนาเอง บางอย่างดีกว่าฝรั่งอีก อันนี้นี่มันก็สืบเนื่องมาจากวิธีคิดและระบบสังคม วัฒนธรรมโดยแท้ คนไทยอยู่สบายในน้ำมีปลาในนามีข้าว อากาศร้อนกินแล้วก็นอนสบายๆ ใครจะมานั่งคิดประดิษฐ์อะไร แต่จิงๆญี่ปุ่นนี่ถ้าเป็นผู้ใหญ่ไม่เถียงนะที่แบบว่ายังไม่ลืมราก แต่หันมาดูวัยรุ่นญี่ปุ่นสมัยนี้สิ ก็ดูproฝรั่งมากพอควรเลยนะ อย่างสถาปัตย์นี่ก็ต้องพูดกันอีกต่างหากเรยเพราะว่ายิ่งมีปัจจัยเฉพาะfieldนี้อีกมากมาย ที่ทำให้เค้ายังสามารถถ่ายทอดเอกลักษณ์ชาติออกมาได้ โดย กัมสลากัมสลัมกัมสลามานัม [19 มิ.ย. 2547 , 00:00:05 น.] ข้อความ 2 ผมอยากจะเริ่มตรงที่...พระท่านสอนว่า.. คนเรามักชอบมองเห็นแต่คนอื่นๆ ไม่ ชอบมองกลับมาที่ตนเอง..เลยไม่เห็นตัวตน หรืออาจคิดว่าตัวของเราของๆเรา มาดูเมื่อไร ก็ได้..ตอนนี้เอาเป็นดูหรือเลียนแบบคนอื่นก่อน หากไม่เข้าท่าหรือเบื่อดูคนอื่นแล้ว จึงกลับมาดู ตัวเอง ...ยิ่งคนแก่ใกล้ตาย..จะนึกแต่ของๆตัวเอง บางทีรากเน่าๆก็ยังมัวชื่นชมจนตัวตาย..อัตตานี้ แหละเป็นปัจจัยให้เวี่ยนว่ายกันในวัฏฏไม่สิ้นสุด เผลอๆเราก็อาจเคยเป็นเช่นอันโด๊..อันเด๋กันมาแล้ว เพราะพระท่านเคยบอกว่า คนคนหนึ่งมีเวลาการ เวียนเทียนเกิดตายมานับครั้งไม่ไหว เก็บกระดูกของ แต่ละภพชาติมากองรวมกัน สามารถกองได้สูงไม่ แพ้ความสูงเขาพระสุเมร...อีเวอเรส เรื่องของการติดยึดในเชื้อชาติเผ่าพันธ์..ผมว่าเป็น สัญชาตญาณหนึ่งของมนุษย์ หากเชื่อแน่ว่าตัวมีดี ก็คงอวด แต่ถ้าไม่แน่ใจก็อาจอุบไว้ก่อน เลียนแบบ มนุษย์ฝูงอื่นที่ดังกว่า ..เพราะเผลอๆก็อาจได้เดินตาม ฝูงอื่นๆนั้นได้ การเลียนแบบคนอื่น..ผมว่าทำได้ไม่นาน มันคง ไม่ฟิตกับกำพืดตัวเองสักวันใดก็วันหนึ่ง ...แต่อายุ ยังเยาว์ ก็ต้องชอบลอง ลองเล่นของเล่นคนอื่น มัน อาจเป็นการพัฒนาประสบการณ์ได้เหมือนกันนะ ในทางการเมืองกลุ่มคนที่รักกำพืดตัวเอง มักเป็น ชนชั้นปกครอง ไม่อยากให้คนในฝูงแยกฝูงออกไป ชอบคนฝูงอื่น เพราะพวกตนจะเหงา เลยมักหลอกล่อ ออกอุบายต่างๆนานาให้ช่วยกันรักฝูงรักเผ่าพันธ์ เกิดมาคลานได้เชื่องช้าอย่างไร ก็เอาไว้อย่างนั้น โดนสัตว์อื่นคลานเร็วไปแย่งอาหารได้ก่อน ก็ไม่สน ยอมตายเพื่อรักษากำพืด"คลานช้า"ไว้จนตาย สัตว์พันธ์นี้ ปู่ดาร์วินบอกว่ามักสูญพันธ์ในที่สุด เพราะโม้ไว้ยาว...เลยมีต่อ โดย คนชอบโม้ [21 มิ.ย. 2547 , 10:07:23 น.] ข้อความ 3 เรื่องของกำพืดหรือการติดยึดในคุณค่าต่างๆของเผ่าพันธ์ พระท่านเลี่ยงไปว่า...เป็นเรื่องของสมมุติบัญญัติ ตั้งกันคิดกันเชื่อกันมาเอาเอง ความเป็นจริงไม่มี เพราะถ้าคนไทยยึดกำพืดเดิมๆ..ศาสนาพุทธก็คงรุ่งเรือง อยู่ในเมืองไทยขณะนี้ไม่ได้ โลกมันเปลี่ยนแปลงกันทุกวัน เราก็ควรเปลี่ยนมัน ตามไป อะไรยึดไว้ได้ก็ยึดไว้ ที่ไม่ได้ก็ต้องปล่อยวางบ้าง เรื่องรูปแบบสถาปัตยกรรม เป็นเรื่องปาหี่ เปรียบ กับสินค้าก็เหมือนการสร้างยี่ห้อ ก็ว่ากันไป ไม่อยาก ให้คนในฝูงหมั่นไส้ ก็รักษากำพืดไว้หน่อย มีแบร์นไทยๆ ส่วนแบบไหน เป็นรากแท้รากเทียม รากที่เป็นสากล รากทางปรมัตตธรรม จะรู้หรือไม่ก็ว่ากันอีกเรื่อง ค้นกันจนกว่าจะค้นพบรากแท้ๆ ของทุกๆคนจริง นั่นแหละ โลกก็จะถึงวันเวลาอวสาน...วันสิ้นโลกจริงๆ ก็คงต้องเล่นปาหี่สถาปัตยกรรม.....กันต่อไปเรื่อยๆ ...นะครับ โดย โม้อีก [21 มิ.ย. 2547 , 10:13:11 น.] ข้อความ 4 เมื่อวานเราคุยกันในชั้นเรียนปีห้า วิชาสัมมนา โดยมีอจ.ดร.รชพร ชูช่วย ให้ข้อคิดของอิทธิพลทางความคิดของ ตะวันตกที่มีต่อการศึกษาและออกแบบ สถาปัตยกรรมในบ้านเรา มีประเด็นที่น่าสนใจหนึ่งคือ องค์ความรู้ ที่เกิดจากการบันทึกหรือรวบรวมความรู้ต่างๆ ของชุมชนหรือของแต่ละประเทศเข้าด้วยกัน อัน จะนำไปพัฒนาเป็นวิทยการอื่นๆต่อไปนั้น ทางประเทศตะวันตกเขากระทำเรื่องนี้กันมาก่อน มหาวิทยาลัยแห่งแรกก็เริ่มกันที่นั่น การเรียนรู้ ก็ได้แพร่หลายไปสู่คนทุกระดับของประเทศ ไม่กระจุกกันในแค่ชนชั้นปกครอง ความรู้เมื่อมีการแพร่ขยายก็มีพัฒนาการ วิทยาการต่างๆเกิดขึ้นตามมา วิชาสถาปัตยกรรม ก็เป็นตัวอย่างหนึ่ง และมีความเชื่อมโยงกับ วิชาการสาขาอื่นๆ ประเทศเราหรือในแทบทุกชุมชนทุกประเทศ ก็มีความรู้ต่างๆ(เพื่อการอยู่รอดของชุมชน)ของตน เกิดขึ้นกันทั้งนั้น แต่เผอิญเราไม่เคยคิดสร้างองค์ความรู้เหล่านี้ไว้เพื่อ ประโยขน์แก่คนอื่นๆในชุมชน หรือเพราะไม่มีวิทยาการการบันทึกที่ดีพอ หรือไม่ชอบการบันทึก ความรู้หลายเรื่องก็เลยถูกลืมและสูญหายไป ครั้น พอทางตะวันตกเกิดแหล่งเรียนรู้ ผู้นำของเราก็จึง ตระหนักถึงความสำคัญนี้ มหาวิทยาลัยเลยเกิดขึ้น แต่เราต้องเรียนรู้ในเรื่องที่เป็นองค์ความรู้ของ ชนชาติอื่น เรียนไปเราก็พัฒนาการเป็นวิทยาการ ไปใช้กันอย่างทุลักทุเลกันตลอดมา โดยเฉพาะทาง ด้านสถาปัตยกรรม เพราะเราสร้างหลักการออกแบบ จากรากเง่าความรู้ของตะวันตก พอมารู้ตัวและอยากอวดรากเง่าหรือความรู้ของตนเอง เราก็ไม่รู้เพราะหาความรู้ไม่เจอ เพราะไม่มีองค์ความรู้เรื่องของสถาปัตยกรรมที่ยอมรับทั่วกัน มาก่อน การเรียนรู้เรื่องสถาปัตยกรรมจึงกระจัดกระจาย จับเอาได้เป็นแบบรากแขนงฝอยๆ การปลูกฝัง รากเง่าความรู้พวกนี้ก็ขาดๆเกินๆ จับหลักประเด็น ได้ยาก ความรู้ความเข้าใจและการแพร่หลาย ก็เลย ไม่หยั่งลึกลงในสำนึกของคนในชาติทั้งมวล ไม่ได้ ผลสรุปที่เป็นแก่นสารและการยอมรับได้โดยทั่วกัน ขณะนี้เรากำลังเริ่มย้อนรอยสร้างองค์ความรู้ โดย เฉพาะสถาปัตยกรรมไทย ซึ่งเรามีกันมาก่อน แต่ ไม่เคยรวบรวมกันไว้เป็นองค์ความรู้เพื่อการแจก แถม หากมีการกระทำเพื่อสร้างองค์ความรู้นี้ต่อไป แม้ว่าจะได้องค์ความรู้จากรากที่จริงบ้างเท็จบ้าง ก็ยังดี และอาจหลงยึดถือเป็นรากเง่าสมมุติของเราได้ต่อไป ..กระมัง..ครับ โดย โม้มาอีก [23 มิ.ย. 2547 , 09:41:44 น.] ข้อความ 5 จู๋เล็กกว่าฝรั่งเยอะค่ะ โดย สาวซิง [10 ต.ค. 2547 , 22:26:07 น.] ข้อความ 6 คงไม่ถึงขนาดแสดงความคิดเห็นฟันธงว่าคนไทยด้อยกว่าตรงไหน และคงไม่ใช่ข้ออ้างอิงอะไรเป็นเรื่องเป็นราวนะคะ เรื่องนึงที่สังเกตมาสักพักใหญ่คือคนไทยโดยทั่วไป จะเป็นคน "ผิวๆ" คือ สนอกสนใจง่าย เข้ามาหาง่าย เฮโน่นเฮนี่ แต่ไม่ยอมลงลึกมาก และอะไรที่ทำท่าว่าจะไม่สนุกจะไม่ค่อยทำ ซึ่งไม่อยากฟันธงว่ามันไม่ดี ข้อดีอาจจะเป็นทำให้คนไทยรับโน่นรับนี่มาได้ง่ายๆ (แต่รับมาแล้วเป็นไงต่อก็อีกเรื่อง) เรื่องที่ อ.รชพร อธิบายเป็นคำตอบที่มีประเด็นในหัวข้อที่น้องสัมนา แล้วก็เป็นเรื่องที่โครตน่าหงุดหงิดใจ ความรู้ ข้อมูล และสมบัติของประเทศตัวเองไม่ค่อยได้ใส่ใจบันทึกศึกษา เผลอๆหลายๆชาติอาจจะมีข้อมูลของเรามากกว่าที่เรามีซะด้วยซ้ำ แล้วก็มานั่งงมหาความเป็นไทยจากตะกร้าที่ไม่ได้เก็บอะไรไว้เป็นชิ้นเป็นอัน เซ็ง จริงๆแล้ว ความที่ในตะกร้ามีแต่ของไม่เป็นเรื่องเป็นราว แล้วก็เต็มไปด้วยของจากคนอื่น นี่หรือเปล่าที่แสดง"ความเป็นไทย"ของแท้ โดย M_M [15 ม.ค. 2548 , 20:32:00 น.]

วันอาทิตย์, ตุลาคม 09, 2548

เกี่ยวกับการเรียนการสอน












เรื่องเกี่ยวกับการเรียนการสอน อ่านจนมึน ...สงสารผู้บริหารคณะฯ ซึ่งถ้าได้อ่านเรื่องที่บ่นกันมา ก็คงจะบอกเหตุผลให้เข้าใจได้แน่ หลายๆเรื่องคงต้องหาทางเผชิญหน้า แล้วพูดคุยกัน ถ้าอยากรู้กันจริงๆ โดยเฉพาะ กับท่านรองคณบดี ฝ่ายกิจการนิสิต ซึ่งควรจะใกล้ชิดกับบรรดานิสิตที่สุด ส่วนในเรื่องวิชาการ... บรรดาอาจารย์ก็พยายามกันนะ ผมเห็นแต่ละคนก็ตั้งใจสอนกันมาก บางทีอาจสอนกันมากเกินไป ควรน่าจะ ชลอให้นิสิตหัดเรียนรู้และสอนกันเองบ้าง จะว่าไปแล้ว การเรียนรู้นั้นเป็นเรื่องตัวใครตัวมันจริงๆ ใครอยากรู้มาก ก็ต้องแสวงหาทั้งจากครูหรือแหล่งอื่นๆ ครูนั้น..จริงๆแค่เป็นปัจจัยส่วนหนึ่งของการเรียนรู้เท่านั้น แค่เพียงคอยสร้างแรงจูงใจและชี้แนะในการแสวงหาความรู้ ให้ตามที่นักเรียนสนใจ ก็ถือว่าเป็นครูที่...วิเศษแล้ว ทัศนคติเก่าๆของครู มักยึดถือสาระที่ตนเองรู้และเข้าใจ แล้วมุ่งถ่ายทอดให้นักเรียนเป็นสำคัญ ก็คงด้วยความเมตตาธรรม แต่ชะล่าใจตรงที่ สิ่งที่ตนรู้นั้นอาจเป็นความเท็จ เป็นสิ่งหมดสมัย ไม่ตรงกับข้อเท็จจริงในสภาวะการณ์ปัจจุบัน ครูในกระบวนทัศน์ใหม่ จึงต้องเรียนรู้ไปด้วยกัน กับนักเรียนตลอดเวลา ความรู้ที่มีจึงจะทันสมัย เพราะเป็นความรู้ที่มีการเปลี่ยนแปลงและพัฒนา นอกเหนือจากสาระความรู้ที่บอกเล่ากันในห้องเรียน ซึ่งเป็นแค่สมมติฐานของความจริงที่ต้องการตรวจสอบ ได้ตลอดเวลาแล้ว เทคนิคและวิธีการสอน เป็นเรื่อง สำคัญที่ต้องออกแบบให้เกิดความสนุกและความน่าสนใจ ในการเรียนรู้ร่วมกันให้ได้ เหมือนความสนุกสนานที่คนต่างวัย มาเล่นเรียนรู้ร่วมกันได้ ในแง่หนึ่ง ...ความรู้ที่ได้รับในการเรียน ก็เหมือนอาหาร ซึ่งเมื่อใครกินแล้ว ..ก็ย่อย ..ก็ถ่าย ไม่มีอะไรตกค้างเหลือไว้ จะถูกแปรรูปไปเป็นกลไกทางความคิดให้กับสมอง ทำให้คิดดีก็ได้ ทำให้คิดชั่วก็ได้ ตามสถานะกรรมของแต่ละคน (ยังมีต่อ...นะครับ) โดย เพื่อนอาจารย์ [29 ก.ย. 2546 , 16:58:26 น.] ข้อความ 10 ทุกวันนี้ ..ผมไม่มีความรู้ที่เรียนจากคณะนี้ในอดีตเหลืออยู่เลย ไม่คอยใส่ใจเก็บไว้ เพราะมันแปรรูปไปหมดแล้ว กลายเป็นความรู้ ที่อาจเป็นเท็จสิ่งใหม่ก็ได้ หากไม่ยอมรับการเปลี่ยนแปลงต่อๆไป มหาวิทยาลัยหรือโรงเรียน อาจถือเป็นที่สถิตวิทยาได้ก็จริง แต่จะไม่ใช่แห่งเดียวอีกต่อไป ยังมีแหล่งอื่นๆ ที่คนสามารถเรียนรู้ ด้วยตนเองลำพังก็ยังได้ เฉกเช่นข่าวสารที่ไม่จำเป็นรู้ได้เพียงจากคนเดินทาง เช่นในอดีตเพียงอย่างเดียว ครูก็เช่นกัน ไม่ใช่แหล่งเรียนรู้ สำคัญของนักเรียนอีกต่อไป บทบาทของครูสมัยใหม่ คือพี่เลี้ยง อาจช่วยเหลือจัดกระเป๋า เดินทางให้นักเรียนในตอนแรกๆ เพื่อใช้ในการเดินทางแสวงหา ความรู้ไปชั่วชีวิต ของใช้ในกระเป๋าเดินทาง ก็ต้อง มีการเปลี่ยนแปลง จัดของกันใหม่ เครื่องใช้ที่ครู เคยเตรียมไว้ให้เดิม ล้าสมัยก็ต้องเปลี่ยน ใช้ไม่ได้ ก็ต้องทิ้ง หาสิ่งใหม่ที่จำเป็นมาทดแทนกัน ฉันใด ความรู้ที่เรียนมาในอดีต ก็ฉันนั้น ครูเอง ก็ต้องเรียนรู้ไปตลอดชีวิต ถ้าไม่อยากงี่เง่า ก็ต้องร่วมเรียนรู้ไปกับนักเรียน อย่าเอาแต่หลงสอนสั่งนักเรียน หรือแพร่ความรู้ที่อาจกลายเป็นเท็จเอาเมื่อไรก็ได้ ถ้าไม่มั่นคอยตรวจสอบและ เปลี่ยนแปลงตามกาลเวลา พล่ามมาถึงนี้แล้ว ..ต้องขอเตือนกันว่า เมื่อต้องเป็นนักเรียน ก็อย่าคอยแต่บริโภคความรู้ถ่ายเดียว ต้องรู้จักผลิต รู้จักปรุงก่อนบริโภคบ้าง ครูเองก็อย่าหลงความรู้ที่ตนมีอยู่ หรือ หลงอำนาจคอยแต่ให้นักเรียนรู้ในสิ่งที่ตนเองรู้เท่านั้น แล้วก็อย่าเอาแต่คอยป้อนความรู้ให้นักเรียนตลอดเวลา... ลองสลับบทบาทกัน(ในเชิงความคิด)บ้าง บางที การเรียนรู้อาจพิศดารและมีชีวิตชีวามากขึ้นกว่าปัจจุบันนี้ ก็ได้...นะครับ โดย ขออีกที [29 ก.ย. 2546 , 16:59:57 น.] ขอจับความเรื่องที่กลุ้ม คือ..เรียน..มาก..มาก เรียนกันบนความทุกข์ มากกว่าความสุข ผมว่ามีกันทุกสถาบัน มีครูปริมาณมาก ปริมาณความรู้ที่แต่ละคนมี ก็อยากโยน ไปให้มากตาม แต่ละวิชาเลยมีงานเพี๊ยบ มันเป็นอย่างนี้เอง ..ครูถ้าไม่สอนมาก เจ้านายก็ไม่ชอบ ยิ่งจะออกนอกระบบ ครูจึงต้องอวดรู้ให้มากๆ ให้งานเยอะๆ โดยไม่มีใครใส่ใจใครอื่น หรือครูอื่น เป็นการเรียนการสอนกันในเชิงปริมาณ เพราะหาคุณภาพจริงๆ ...หายากมากครับ เหมือนอย่างที่ผู้รู้กล่าวว่า เราเรียนรู้กัน ในเรื่องความเท็จมากกว่าความจริง ความ จำเป็น ...ซึ่งเพราะไม่รู้เราเลยตั้งโรงเรียน นึกว่าจะเรียนรู้หาความจริงอย่างมีความสุข แต่ดันเป็นความทุกข์เพราะเรียนความเท็จ เป็นส่วนมาก ...แต่เราก็นึกว่าเป็นความจริง เป็นประโยชน์แก่ทุกคน ..ซึ่งไม่น่าจะจริง การเรียน..ให้เป็นสุขเหมือนการทำงานที่ มีมากๆ เราต้องมีกลยุทธ์วิธีคิดกันนะครับ คนเรียนเก่ง (อาจนึกว่าเป็นทุกข์) มักมีความคิดเชิงกลยุทธ์ดี รู้จักแยกแยะเลือกทำเลือกเรียน ตามเป้าหมายที่ตั้งไว้ แล้วออกแบบวิธีเรียน ให้บรรลุผลที่ตั้งไว้ ..คนรวยทางธุระกิจ ก็เก่ง การคิดทำนองนี้ ..แต่ทั้งหมดอาจต้องเครียด กันตามอุปทานที่ตั้งไว้ บรรลุผล แต่ไม่ได้เสวยสุข เพราะโดนโรคมะเร็งตามล้างจนตายก็มี อยากสรุปว่า ..นิสิตต้องรู้จักการบูรณาการ ความรู้ เหมือนการเลือกขยะ เลือกเอามา คัดสรรอีกที เอาไปใช้ประโยชน์แก่ตนเองได้ แต่ก็ต้องทนเหม็นกันบ้างตอนเรียน ...นะครับ หรือจะเรียกว่ากลุ้มก็ได้ ทนไปหน่อยเดี๋ยว ประสาทก็ชาไปเองแหละครับ โลก..มันเป็นเช่นนี้เอง อดทนอีกหน่อย ...เดี๋ยวก็ดีเอง ศึกษาเรื่อง ..อิทธิบาทสี่ ..บ้างนะเธอนะ โดย เพื่อนอาจารย์ [10 ก.ค. 2546 , 13:34:48 น.] ผมเคยเขียนบทความ ...สถาปนิกออกแบบเพื่อใคร? แอบ บันทึกไว้ในเว็บไซท์ ถ้าสนใจว่าโม้ไว้อย่างไร ก็ไปสืบหา กันเอาเอง ...ไม่อยากโฆษณาตัวเองให้น่าเกลียดกว่านี้ เรื่องของกิเลสตัณหาหรืออุปทานของคนแต่ละคน คิด ตามรู้หรือวิเคราะห์กันได้ไม่จบสิ้น พระท่านจัดลำดับคน ไว้ด้วยวิธีวัดกันทางด้านจิตใจ ว่าใครกิเลสน้อยกว่ากัน โดยใช้ดรรชีของการวัดที่ความสมบูรณ์ด้วยศีลห้า และ วัตถุหรือกายที่ครอบครองของคนแต่ละคนกัน ก็จะรู้ว่า ใครดีใครชั่วมากน้อยกว่ากัน สถาปนิกบางคนอาจมีกิเลสหรืออุปทานหรืออีโก้ ทั้งมากและ น้อยกว่าเจ้าของงาน ...ส่วนมากที่มาร่วมงานกันได้ เพราะมีมาก น้อยพอๆกัน จึงมี "ความเกิด" ของงานสถาปัตยกรรม ให้ยึดกัน ชอบบ้างเกลียดบ้าง ตามอำนาจของอุปทาน หรือ "มายา" ทางความคิดและความรู้สึก ..ถ้า.เอาเรื่องนี้มาใส่ใจแล้วพยายามจะรู้ คงเปลืองเวลาเปล่าๆ หากไม่ตามรู้ของเหตุปัจจัยที่เป็นต้นตอของ อุปทานที่แย้งกัน สถาปนิกนั้น..มักถือว่าเป็นผู้ฝึกฝนมาดีแล้ว อาจจะพอน่าเชื่อถือกว่าเจ้าของงาน ..ที่อาจไม่เอาไหนดันมาติ? (มีต่ออีกครับ) โดย เพื่อนอาจารย์ [18 มิ.ย. 2546 , 12:53:52 น.] ข้อความ 2 แต่ในก้นบึ้งของใจเรา ถ้าเอาศีลห้าเป็นที่ตั้ง ..จริงหรือ? ว่า เรา....สถาปนิก ..เป็นผู้ฝึกฝนมาดีแล้ว??? ทั้งด้านจิตใจและกาย ที่เลวน้อยกว่าเจ้าของงาน ..มีความรู้และเข้าใจมนุษย์อื่นที่ไม่ใช่ เราหรือลูกเมียของเรา ได้ทัดเทียมกันจริงหรือไม่? มุ่งบริการสร้าง สภาพแวดล้อมให้ดีที่สุดกับเจ้าของงาน เพื่อเมตตาธรรม หรือ เพื่อเอาเงินในกระเป๋าของเขา...ยังตะกละเอาแต่เงิน ไม่บริการเขา มากๆ ความเป็นกัลยาณมิตรแก่กันและกัน จึงไม่เกิดขึ้น ต้นรัก(เก๊ๆ) ก็ตายซาก ...นี่เป็นปัจจัยหนึ่งของอุปทานความไม่พอใจในแต่ละ คนก็เกิดขึ้น สุภาษิตไทยเชิงสัปดล น่าพอเชื่อได้....ว่า "ยามรักกัน ดมตดกัน..ยังว่าหอม ..แต่ยามเกลียดกันต่างใส่น้ำหอมปารีส ดัน ติกันว่าเหม็นเสียนิ" ผมยังเชื่อว่า..สถาปนิก และเจ้าของงาน ต้องสร้างสรรค์ความรัก และมีเมตตาธรรมแก่กันและกัน หลีกเลี่ยงการเบียดเบียนซึ่งกัน และกันให้น้อยเข้าไว้ ...ความอิ่มเอิบในจิตใจของกันและกันก็น่าจะเกิดขึ้น แถมยังมีสารเอ็นโดรฟิลหลั่งให้ร่างกายเกิดความสมดุลย์ ..ตายช้าขึ้นมากทีเดียว ....ถามส่งท้ายว่า ..มีความอิ่มเอิบในจิตใจ แล้ว ยังมีของแถมทำให้ร่างกายทรุดช้าลงไปอีก ..อย่างนี้ยังมีค่าน้อยกว่าความ ต้องการเงินเป็นค่าแบบ...หรือไม่?.. การติงานของเรา ถ้าแปลงให้เป็น ความรู้ความเข้าใจที่ต้องทบทวนกันเพื่อให้เกิดเป็นสติปัญญาต่อไป จะไม่เป็นประโยชน์แก่เราหรือ?........ครับ ...ทว่า ติด้วยรัก กับติเพราะชัง แตกต่างกันนะครับ...อย่างหลัง อาจนำไปสู่การเบียดเบียนกันขั้นทำลาย ศีลห้ากันก็ได้.....นะครับ โดย ขออีกที [18 มิ.ย. 2546 , 12:54:32 น.] ต้องขอชมเชยว่า..หนูอ้วน เป็นคนมีน้ำใจ และห่วงใยผู้อื่นและคณะฯ..พอๆกับห่วงใยตัวเอง ซึ่งตรงกันข้ามกับ "นักศึกษาโพ๊สต์มอร์เดิร์น" อื่น ที่หลายคนเหมาคิดว่า เป็นพวกไม่เอาไหน..สนใจ แต่เรื่องของตัวเองเท่านั้น นี่ถ้า...หนูเผอิญเรียนวิชาสัมมนาปีห้าที่คณะนี้ คงคุยกันสนุก เพราะในชั้นเรียนเมื่อวาน(อังคารนี้) เราเปิดใจคุยกันเรื่องนี้ ...การศึกษาในทศวรรษหน้า ท่านวิทยากรที่เชิญมาก็เคยเป็นอาจารย์เก่า มี ความคิดแปลกแยกดี .....แต่ การพูดหรือคิดเอามัน ถ้าไม่แรงพอก็เปลี่ยน โลกทัศน์ของคนในสังคมหรือโดยเฉพาะผู้บริหาร ได้ยาก ...ต้องเห็นใจกันด้วยว่า เมื่อเป็นผู้ปฏิบัติ ในสิ่งที่ตนเองไม่แน่ใจ ก็จะเป็นเรื่องซับซ้อน ที่จะดำเนินการตามกระแสที่โอดครวญกัน ..ไม่ง่ายนัก...หรืออาจเชื่องช้าไปหน่อย โลกในสมัย(ปัจจุบัน)ของหนูอ้วนนี้ มันอลังการ์มาก มีหลายสิ่งถาโถมเข้ามาให้สังคมไทย ได้รับรู้อะไรมากมาย เรียกว่ารับกันไม่ทัน เห็นอะไรที่ชอบ คนชาติอื่นทำ ก็อยากคิดแข่งขันทำอย่างเขาหรือให้ชนะเขาบ้าง เลยอยากแสวงหาเครื่องมือช่วยเหลือในเรื่องที่จะแข่งขัน เช่นจากสถานศึกษาเป็นต้น ..ซึ่งต้องเตรียมการ ที่น่าเสียดายคือ เรายังติดกับโลกทัศน์เก่าๆ ที่แบ่งแยก ผู้บริหารออกจากผู้ถูกบริหารหรือรัฐบาลออกจากประชาชน สังคมหรือชุมชนที่ควรเป็นกัลยาณมิตร..ร่วมด้วยช่วยกันจึงไม่เกิดขึ้น เอาแต่สร้างทิฏฐิมานะแก่กันและกัน ไม่ยอมเสียศักดฺ์เสียศรี ที่จะช่วยกันคิดปรับปรุงเปลี่ยนแปลงการศึกษาให้ เท่าทันการเปลี่ยนแปลงของโลกปัจจุบัน..จึงไม่เกิดขึ้นได้ (มีต่ออีกนิด...) โดย เพื่อนอาจารย์ [11 มิ.ย. 2546 , 11:10:05 น.] ข้อความ 2 โรงเรียนติววิชาพิเศษ..สถาปัตยกรรม ..จึงเกิดขึ้น เพราะความจำเป็นและความต้องการเครื่องมือแข่งขันดังกล่าว ซึ่งผมว่าก็น่าจะดี และก็ต้องยอมให้เกิดขึ้น อย่าไปคิดฮุบกิจการเขามาทำเสียเอง เดี๋ยวจะกลายเป็นพวกปลาใหญ่กินปลาเล็ก ผมอยากสรุปว่า การเรียนรู้ของทุกคน..ไม่มีวันจบสิ้น และจะมีความหลากหลายในความต้องการของแต่ละปัจเจกชน มากขึ้น จำเป็นที่ต้องแสวงหาความรู้ในหลายๆ สถานที่การศึกษา ..และก็คงเป็นเรื่องยากที่จะพบแหล่ง การเรียนรู้แห่งเดียวให้ได้ตักตวงความต้องการ ให้ครบถ้วน ...โลกในอนาคตจึงต้องรู้วิธีการแสวง หาความรู้เพิ่มเติมจากแหล่งอื่นๆตลอดเวลา แล้ว เราจึงจะเชื่อมั่นได้ว่าจะแข่งกับใครๆที่ต้องการได้ แต่..ว่า พระท่านเตือนให้คิดแข่งขันกับตัวเอง ทุกๆวันเป็นดีที่สุด ..อย่ามัวไปคิดแข่งขันกับคนอื่น ให้อกแตกตายเปล่าๆ....ครับ โดย ขออีกที [11 มิ.ย. 2546 , 11:12:37 น.] ส่วนมากเวลาพบนิสิต ที่ไม่ค่อยคุ้นหน้า มักจะแซวเสมอ บางคนทั้งๆที่เคยเรียน ด้วยกัน ก็มักแซวว่ามาจาก ม.ไหน? ไม่มีเจตนาร้าย ..อยากให้ศิษย์อาจารย์ สนิทกัน ไม่อยากให้แบ่งแยกกันเลย เพราะไหนๆก็มาร่วมสังฆกรรม สถาปัตยกรรม ด้วยกัน ...ว่าแต่ว่าอย่าลืมเรื่องที่บอก ทำเรื่องสถาปัตยกรรมรวมกันกับธุระกิจ ให้ครบวงจรนะครับ ...ทำนองสถาปัตยกรรม เอื้ออาทรนั่นแหละครับ แข่งกับรัฐฯไง? โดย เพื่อนอาจารย์ [26 ก.พ. 2546 , 17:15:03 น.] ข้อความ 2 อืม...ยังต้องสัมภาษณ์อีกครับ คัดออกอีกเพียบเลยครับ ยังไม่แน่นอน ครับ.....เรื่องสถาปัตยกรรมเอื้ออาทรนั่นเท่าที่ฟังๆดูมา เห็นว่ารัฐยังต้อง เข้าไปช่วยอีกหลังละประมาณ แปดหมื่นบาท ถ้าตามนโยบายที่จะสร้าง ให้ครบล้านยูนิตก็แปดหมื่นล้านบาท...... เวลาฟังข่าวเรื่องนโยบาย ต่างๆของประเทศเนี่ยผมมีความรู้สึกแปลกๆทุกทีเลย รัฐมีเงินจำนวน มากมายมหาศาลในการทำนู่นทำนี่ แต่ทำไมลุงแก่ๆที่เป็นยามแถวบ้าน ผมยังมีเงินเดือนไม่ถึงหกพัน... ...ระดับชั้นของสังคมยังมีช่องว่างอีกแยะ บ้านกลางกรุง+บ้านอะไรต่อ มิอะไรที่กำลังจะตามมาอีกเพียบในระดับ 4-5 ล้านบาท ... ยามแถวบ้านผม เวลานอนก็นอนในป้อมนั่นแหล่ะครับ โดย ลูกศิษย์ [27 ก.พ. 2546 , 12:08:34 น.] ข้อความ 3 เรื่องงานของรัฐฯขณะนี้ ถ้ามองกันในแง่บวก ก็ต้องกล่าวว่าเป็นการสร้างขวัญกำลังใจ อย่าถือว่าจะเป็นเรื่องจริงจัง ที่ว่า "ท่าน" จะทำให้ความยากจนหายไปจากเมืองไทย ภายในหกปี ...เมื่อมีคนที่สมมุติว่ารวย ก็ ย่อมมีสมมุติว่าจนควบคู่กันไปเสมอแหละ ต้องยอมรับว่า "คนไม่รู้" ยังชอบความหวัง ลมๆแล้งๆกันอยู่เสมอ มักใช้เป็นยากล่อม ประสาททางใจ ไม่ต่างกับยาบ้าทางกายนัก เผอิญ..ยังไม่ถึงเวลาของอนาคต ที่จะมีใคร ฆ่าตัดตอนคนขายความหวังลมๆแล้งขณะนี้ การไม่ต้องติด "ยา" แบบนี้ มีทางเดียวที่แก้ คือสร้างความคิดที่เรียกว่า "สันโดษ" เท่านั้น คือหมายถึงความสุขในสิ่งที่ตนมี ซึ่งตรงข้ามกับ ความไม่สันโดษ คือความสุขในสิ่งที่ตนไม่มี แต่ ผู้มี "ปัญญา" นั้นต้องไม่สันโดษในการค้นหา ความ "เป็นจริง" ของโลกที่เป็นของเราขณะนี้ เช่นเดียวกับพระสัมมาสัมพุทธเจ้า "ครู" ที่ยิ่ง ใหญ่ของพวกเรา (ทุกศาสนา) ที่ไม่ยอมสันโดษ กับสิ่งที่ท่านบรรลุคือ "ฌาน" หรือเช่นความรวย ของคนที่แสวงกันอยู่ทุกวันนี้ ทั้งๆที่เป็นสุขที่ไม่จริง ผมชอบความคิดที่ว่า "พระเจ้า" มักเป็นอะไรก็ได้ ในสิ่งที่เราคาดไม่ถึง แม้แต่ "คนยาม" ที่ยังนอน อยู่ในป้อมยามขณะนี้ ถ้าเผอิญเขานอนอย่างมี "ความสุข" เพราะเมื่อหลับแล้วก็คงไม่ต่างกันกับ คนนอนในที่ไหนๆ ลองพิจารณาตัวอย่างศาสดา ของพวกเรา มักเป็นพระเจ้าในรูปของผู้ยากไร้ เสมอ ...มีทัศนะคติอย่างนี้แหละที่ผมว่าเป็นการ พัฒนาตนไม่ให้เกิดการแบ่งแยกกันในทุกเรื่อง เข่นเดียวกับ ครู-ศิษย์ นั้นในความจริงไม่มี มีแต่ ในความสมมุติกันเท่านั้น ...เพราะ โง่-ฉลาดพอกัน ไม่แตกต่างกับ คนยาม-นายกฯ ฯลฯ ที่รวยจนพอกัน ว่าแต่ "ความจริง" ของความฉลาดหรือความรวย ที่เรามีความหวังกันนั้น ..มันคืออะไรกันแน่? อ่านจบ..งงกันไหม? ครับ โดย เพื่อนอาจารย์ [28 ก.พ. 2546 , 09:37:01 น.] ข้อความ 4 งงนิดหน่อย...ครับ...55 อาจารย์ครับ ถ้าเจ้าชายสิทธารัตถะไม่ได้เกิดมาเป็นกษัตริย์ ถ้าไม่ได้เกิด มาเพียบพร้อม เค้าจะมองเห็นความเป็นจริงที่หรือเปล่าครับ... โดย ลูกศิษย์ [28 ก.พ. 2546 , 20:42:04 น.] ข้อความ 5 ศาสดาในศาสนาอื่นมักไม่ใช่กษัตริย์ ก็ยังปฏิวัติอำนาจต่างๆได้ ตามในประวัติศาสตร์ ในกรณีของพระพุทธเจ้านั้น ท่านดำรง อยู่ใน "วิถี" ที่ต้องบรรลุพระสัมมาโพธิญาณ ดังนั้นในภพชาติสุดท้าย จึงต้องอยู่ใน "เงื่อนไข" หรือปัจจัย ที่จะต้องทำให้บรรลุ เป้าหมายที่ตั้งใจพระทัยไว้แน่นอน เงื่อนไขในสมัยพุทธกาล ไม่เหมือนใน สมัยโรมัน หรือในจีน ที่ทำให้เกิด "ศาสดา" เช่นพระไครสต์หรือ เล่าจื้อ ขงจื้อ แต่พระองค์ เกิดอยู่ท่ามกลางความหลงผิดในแง่ความรู้ ในขณะนั้น เช่นลัทธิพระเวท ทั้งหลาย รวม ทั้งการแบ่งชั้นวรรณะ จึงเป็นการปฏิวัติกัน ทางความรู้ความคิดเป็นส่วนใหญ่ ก็คงเหมือน เช่นนักวิทยาศาสตร์หรือนักปรัชญาในยุคนี้ ที่ต้องมีการเรียนรู้วิชาทั้งหลายมาก่อน จึงจะปฏิวัติ หรือสร้างทฤษฎีใหม่ๆได้ ไม่งั้นการยอมรับก็ จะไม่เพรียบพร้อม กรณีของพระพุทธองค์ ถ้าย้อนศึกษาประสบการณ์ในอดีตแล้ว จะไม่มีข้อกังขาในสิ่งที่พระองค์ตรัสรู้ได้เลย เช่นยศฐาบันดาศักดิ์ หรือความร่ำรวยทั้งหลาย ที่สุดท้ายก็ต้องละ เพราะไม่เป็นความจริงที่ยั่งยืน หรือทำให้เกิดความ "หลุดพ้น" นั่นเอง ตัณหา อุปทาน และสุขในชีวิต คือความทุกข์ทั้งสิ้น จะพ้นความทุกข์ถึงขั้น "วิมุติ" นั้น ต้องเพื่อการละ ทั้งสิ้น ....เรื่องนี้ซับซ้อนจริงๆครับ ปัญญาที่ สะสมกันมาน้อยของพวกเราไม่พอ จำต้องอาศัย กุศลธรรม ที่ต้องสะสมกันต่อไปอีกนานครับ จึงจะเข้าใจ ..ขนาดเกิดมาในกาลที่พระพุทธศาสนา ยังปรากฏให้ศึกษากัน ..ก็ยังขยาดไม่ยอมรู้กันเลย พูดหรือคิดกันเรื่องนี้แล้ว ...จะเหนื่อยเอาการจริงๆ แฮะ.......๕๕๕๕๕๕๕ โดย เพื่อนอาจารย์ [1 มี.ค. 2546 , 15:11:32 น.] ข้อความ 6 ขอบคุณครับ อะไรคือExistentialism ขอเวลาหน่อยนะครับ...ผม ต้องกลับไประลึก ทบทวน และค้นคว้าดู เคยอ่านหนังสือพวกปรัชญา รู้เรื่องบ้าง ไม่รู้เรื่องมามาก พอมาอ่านงานเขียน ของคุณสมัคร บุราวาส เข้าใจอะไร ได้มากขึ้น แล้วจะลอกมาให้อ่าน ระหว่างนี้ ถ้าคุณชอบสะสมหนังสือ ผมว่าแวะไปที่ร้านหนังสือ ลองพลิกดู หนังสือของท่าน ที่เขาเอากลับมาพิมพ์ ขายกันใหม่ คุณจะทึ่งท่านผู้รู้ท่านนี้มาก โดยเฉพาะฉบับรวมเรื่องปรัชญาตะวันตก ล้วนๆ (จำชื่อเต็มไม่ได้) เล่มหนา ราคา ประมาณ ๔๐๐ บาท ได้อ่านแล้วรับรอง รู้เรื่องปรัชญา "สิ่งมีอยู่" ของความคิด ตะวันตกนี้ได้เข้าใจแน่นอน ถ้าเป็นเรื่อง ในพุทธศาสนา ก็คือเรื่อง "อัตตา" ซึ่ง ละเอียดลึกซึ้งไปจนไม่อยากเชื่อกันเลย พูดไว้แค่นี้ก่อนนะ ..ถ้าไปอ่านตามที่ผมแนะนำ แล้วมาสอบถามคุยกัน ผมว่าจะสนุก คือผมก็จะ ได้เรียนรู้จากคุณด้วย..นะครับ เราทั้งหมดก็ จะทะลุมิติการเรียนของกันและกัน ชนิดไม่ธรรมดา เลยทีเดียว ผมขอฝากภาษิตหนึ่งของของการเรียนรู้ทิ้งไว้ดังนี้.. "Tell me, I forget. Show me, I remember. But let me participate, I understand." คุณว่าวิธีการสอนของคณะเราเป็นแบบไหน? โดย เพื่อนอาจารย์ [11 ม.ค. 2546 , 09:34:50 น.] ข้อความ 2 เผอิญตรงกับวันหยุด..วันเด็ก เลยขอถือโอกาสวันนี้ เริ่มกันเลยในเรื่องนี้ ...ขอเป็นกุศลธรรมสำหรับวันเด็ก ผมขอยึดถือในข้อเขียนของคุณสมัคร บุราวาศ นะครับ ในหนังสือของท่านเรื่อง "ปัญญา" จุดกำเนิดและ กระบวนการพัฒนาปัญญาของมนุษยชาติ จัดพิมพ์โดย สำนักพิมพ์ศยาม ...เรื่องนี้เป็นหัวเรื่องของบทที่ ๕ "ว่าด้วยความมีอยู่" หรือ Existence พอสรุปเนื้อความ ดังนี้คือ... ความรู้ใดที่เราต้องการ ต้องเป็นความรู้ใน..สิ่งมี ไม่ใช่ความรู้ใน..สิ่งที่ไม่มี พอกล่าวกันถึงตรงนี้ ก็เลยเกิดเรื่องราวว่า ความรู้จากสิ่งมีอยู่นั้นเป็นอย่างไร? จนเกิดวิชาการที่เรียกว่า ภววิทยา (Ontology) สอนกัน เรื่องปรัชญาสิ่งที่มี ...Existentialism นั่นเอง คำว่า ภวะ หรือ ภพ แปลว่า ความมีอยู่ ...Existence สิ่งที่มี (Being) คือสิ่งที่เป็นต้นเหตุแห่งผัสสะ ด้วย ..หู ตา จมูก ลิ้น กาย และใจ อะไรที่รับรู้ได้ ด้วยอวัยวะดังกล่าว ถือว่าเป็น สิ่งที่มี นักปรัชญาบางพวกสืบต่อไปเน้นเฉพาะใจ หรือผัสสะที่เกิดภายในของ จิต แย้งว่าสิ่งที่รับรู้ได้นั้น เป็น มโนภาพ หรือความคิด ของจิตที่ปรุงแต่งขึ้นมา (เช่นในวลี..I think, therefore I am ของเดค๊าทซ์) เกิดแนวคิดปรัชญาในเรื่องนี้คือ Idealism หรือ มโนภาพนิยม เน้นสิ่งที่มี "ภายใน" แยกออกมาจาก ปรัชญาของสิ่งที่มี "ภายนอก" คือ Materialism หรือ พวกสสารนิยม อันหลังเป็นวิทยาศาสตร์ที่เราเรียน กันในสิ่งที่มี ทางกายภาพหรือวัตถุ อันหลังเป็น วิทยาศาสตร์เชิงจิตวิทยา สิ่งที่มีภายในใจของคนเรา (ลองอ่านรายละเอียดในหนังสือของท่าน..นะครับ) สิ่งที่มี ..ของสถาปัตยกรรมรวมไว้ทั้งสองแนวทาง คือ อะไรที่เป็นสสาร หรือ matter และอะไรที่เป็น มโนภาพเกิดในใจ มีวิชาและแนวคิดในการออกแบบ เพื่อให้เป็น "สิ่งที่มี" เกิดขึ้นมากมาย เริ่มกันตั้งแต่ สิ่งที่มี ของวิทรูเวียส ที่คนแปลให้พวกเรารู้ว่า สถาปัตยกรรม คือ สิ่งที่มี ..ที่ต้องมีคุณลักษณะพร้อม ในสามอย่างคือ commodity firmness และ delight เป็นต้น (ควรไปตามอ่านใน "สรรพสาระทางทฤษฎี สถาปัตยกรรมตะวันตก" ของ ดร.ฐานิศวร์ เจริญพงศ์ ในเรื่องนี้ด้วย...นะครับ) ส่วนในธรรมะของพุทธศาสนา ความจริง หรือ สิ่งที่มี จะเป็นเรื่องพิศดารที่เหนือมิติวิชาการของโลก เพราะ จะละเอียดลึกซึ้ง จนคนส่วนมาก ไม่กล้ารู้ อาจกลัวจน หัวหด ก็ได้ เพราะ "สิ่งที่มี" แบ่งระดับการรับรู้ตาม สิติปัญญาของผู้อยากรู้ถึงสามระดับ คือระดับที่เป็นแบบ สมมุติบัญญัติ (ต่ำสุดที่เราเคยชินกัน) ระดับสองที่เป็น แบบสมมุติสัจจะ (เป็นเรื่องทฤษฎีที่ลึกซึ้งขึ้นหรือสัมมาทิฏฐิ) และระดับสูงสุดที่เป็น สิ่งที่มี แบบปรมัตถ์สัจจะ คือเป็น ความจริงสูงสุดที่ลึกซึ้งและสูงกว่า Ultimate Reality หรือ ความแท้จริงอันติมะของพวกนักปรัชญา Existentialism ทั้งหลาย (ต้องลองและมั่นศึกษาพุทธศาสนากัน..นะครับ) (.....ยังมีต่อครับ) โดย เพื่อนอาจารย์ [11 ม.ค. 2546 , 16:15:30 น.] ข้อความ 3 ลองทดสอบความรู้เรื่องนี้กันดู ..เป็นของกัลยาณมิตรทาง ธรรมของผมนะครับ ..ถ้าสนใจจริงจะแจ้งชื่อและแหล่งที่มา ให้ทราบ ..บันทึกนี้เกี่ยวกับเรื่องนี้จริงๆครับ ต้องอ่านกัน ด้วยสมาธิที่ตั้งมั่น ..แล้วตามไปรู้ในศัพท์ธรรมที่ไม่ได้บอกไว้ เริ่มกันเลยครับ.....(ผมขอใช้ตัวอักษรเน้นทั้งหมดนะครับ) โดยความจริงอันสูงสุด โดยความจริงแท้ๆ แล้ว(Absolute Truth หรือ 'ปรมัตถธรรม') สรรพสิ่งทั้งหลายทั้งปวงนั้น ไม่มีหรือไม่ใช่อะไรมากไปกว่า ๔ สิ่งต่อไปนี้ คือ (๑) จิต (๒) เจตสิก (๓) รูป (๔) นิพพาน จิตกับเจตสิกนั้นเป็นธรรมชาติที่จะเกิดร่วมกันดับพร้อมกันเป็นแต่ละ ขณะๆ ไป (คือจิตแต่ละดวงที่เกิด-ดับสืบต่อ จะมีเจตสิกเกิดร่วมกัน และดับไปร่วมกันเสมอ) บางครั้งก็จะได้ยินเรียกรวมกันว่าเป็น 'นาม' และนามหรือจิตกับเจตสิกนี้ ก็เป็น 'นามธรรม' รูปเป็นธรรมชาติอีกชนิดหนึ่ง รู้อารมณ์ไม่ได้ และมีสภาพเสื่อมสลายไป แตกดับไปอยู่ตลอดเวลา เช่นเดียวกันกับนาม รูปนี้ เป็น 'รูปธรรม' ทั้งจิต-เจตสิก-รูป เป็นธรรม (คือ เป็นสภาพธรรม เป็นสภาวธรรม เป็นธรรมชาติ) ฝ่ายโลกียะ (โลกียธรรม) ฝ่ายการเวียนว่ายตายเกิด ฝ่ายสังสารวัฏ ฝ่ายวัฏฏสงสาร เป็นธรรมฝ่ายทุกข์ ทั้งจิต-เจตสิก-รูป นี้ เกิดขึ้น-ตั้งอยู่-ดับไป สืบต่อกันไปเรื่อยๆ ตามแต่เหตุปัจจัย (คือ กิเลส-กรรม-วิบาก) (คำว่า 'วิบาก' ก็คือผล คือ ผลของกรรมนั่นเอง ส่วนคำว่า 'กรรม' นั้นแปลว่าการกระทำ กรรมจึงมีทั้งกรรมดี กรรมไม่ดีและกรรมกลางๆ หรือก็คือ กุศลกรรม อกุศลกรรมและอพยากตธรรม) กล่าวคือ เมื่อมีเหตุปัจจัยให้เกิด จิตกับเจตสิกนั้นๆ หรือรูปนั้นๆ ก็จะเกิด เมื่อหมดเหตุปัจจัย จิตกับเจตสิกนั้นๆ หรือรูปนั้นๆ ก็เสื่อมสลายดับไป แล้วก็จะมีจิตกับเจตสิกและรูปใหม่ๆ เกิดต่อเนื่องเสมอไป กฏตายตัวของธรรมชาติทั้งปวงในวัฏฏสงสาร สรรพสิ่งสรรพสัตว์ทั้งปวงในวัฏฏสงสารหรือในธรรมชาติฝ่ายโลกียะ หรือในธรรมชาติฝ่ายทุกข์นั้น ล้วนตกอยู่ภายใต้กฏเหล็กแห่งธรรมชาติ กฏเหล็กนี้เป็นกฏธรรมชาติ ตายตัว ดิ้นไม่ได้ และปรากฏอยู่ตลอดเวลา ไม่ว่าจะมีพระพุทธเจ้ามาตรัสรู้คือได้เข้าไปเกิดปัญญารู้แจ้งแทงตลอด ธรรมชาติทั้งปวงอันรวมไปถึงกฏธรรมชาตินี้ด้วยหรือไม่ก็ตาม กฏเหล่านี้ก็ดำเนินอยู่ตลอดเวลาในโลก ในวัฏฏสงสาร ทำหน้าที่ อย่างเที่ยงแท้ที่สุด พระพุทธเจ้าทั้งหลายเป็นเพียงผู้เข้าไปตรัสรู้ หรือเข้าไปเกิดปัญญารู้แจ้งเห็นจริงเกี่ยวกับกฏนี้และเกี่ยวกับ ธรรมชาติทั้งปวง ทั้งยังทรงมีเมตตานำมาแสดงเปิดแผ่ให้สรรพสัตว์ ผู้มีปัญญาน้อย บารมีน้อย ไม่สามารถตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้าได้เอง ได้สามารถรู้เห็นประจักษ์ความจริงเหล่า กฏเหล็กเหล่านี้ ได้ด้วย ผ่านทางพระธรรมคำสั่งสอนและแนวทางปฏิบัติเพื่อการเกิดปัญญา สู่การพ้นทุกข์ที่ทรงให้ไว้นั่นเอง กฏธรรมชาตินี้ มีชื่อเรียกที่รู้จักกันทั่วไปว่า พระไตรลักษณ์ หรือ สามัญญลักษณะ คำว่า 'สามัญญลักษณะ' คือ ลักษณะที่มีเสมอกันหมดในธรรมชาติ (ฝ่ายโลก ฝ่ายโลกียะ หรือ ฝ่ายทุกข์) ทั้งปวง พระไตรลักษณ์ หรือ สามัญญลักษณะ มี ๓ ประการ คือ (๑) ไม่เที่ยง 'อนิจจัง' คือ ความเป็นของไม่เที่ยง ไม่คงทนถาวรอะไร (๒) เป็นทุกข์ 'ทุกขัง' คือ ล้วนคงทนอยู่ในสภาพเดิมตลอดไปไม่ได้ ต้องมีอันเสื่อมสลาย ต้องมีอันเปลี่ยนแปลงผันแปรหรือดับไป อย่างแน่แท้ (๓) ไม่ใช่ตัวตน ไม่ใช่ของๆ ใคร 'อนัตตา' กล่าวคือ ธรรมชาติฝ่ายทุกข์ทั้งปวงนั้น ไม่ใช่ตัวไม่ใช่ตนของใคร ไม่มีใครเป็นผู้สร้าง ไม่มีใครสามารถบงการ ชี้นิ้วหรือบังคับบัญชาให้เป็นอย่างนั้นอย่างนี้ได้เลย + + + + + + + + + + นี่เป็นแค่อธิบายแย้งปรัชญาของ Existentialism เล็กน้อยเท่านั้น (ลองเปรียบเทียบกับวิทยาศาสตร์ควอนทัมปัจจุบันด้วยนะครับ) เป็นไงบ้างครับ...ผมอยากสรุปไว้ว่า ธรรมะของพระพุทธเจ้า เป็นที่สุดของวิชาการทั้งหลาย ที่เกี่ยวข้องและเป็นประโยชน์ สำหรับชีวิตของมนุษย์ทั้งโลก ...ไม่ใช่แค่ จิตนิยม หรือวัตถุนิยม แต่สัมพันธ์กันเป็นองค์รวมของ ปัญญานิยม ..Wisdomism เมื่อเรามีปัญญาใหญ่ จิตใหญ่ สมองใหญ่ เรื่อง สิ่งที่มี ทางวิชา สถาปัตยกรรม ที่พวกเรากำลังศึกษาจะเป็นเรื่องง่ายที่จะรู้และเข้าใจ เพราะเป็นเรื่องของสิ่งที่มี (ซึ่งมักจะเป็นสิ่งไม่มี) ที่เล็กๆจิ๊บจ้อย ....จริงๆครับ โดย เพื่อนอาจารย์ [11 ม.ค. 2546 , 16:17:33 น.] ข้อความ 4 การมีอยู่จริงของความจริงเป็นเรื่องที่ไม่สามารถเข้าถึงได้ด้วยตรรกะ ซึ่ง เป็นแนวทางของพุทธที่ให้เข้าถึงด้วยความรู้จากภายใน แต่การเข้าถึงความจริงตามตะวันตก มักตั้งสมมุติฐานแล้วใช้วลีหรือ สัจพจน์เข้ามาอธิบายการมีอยู่ของความจริง โดย lyo [15 ม.ค. 2546 , 05:09:17 น.] ข้อความ 5 ผมได้อ่านหนังสือที่เพื่อนอาจารย์นำเสนอมาแล้วครับ แต่ที่ไม่เข้าใจก็ คือแนวทางของลัทธิที่พยายามอธิบายสังคมและก่อให้เกิดการเปลี่ยน แปลง หากเพื่อนอาจารย์มีหนังสือใดแนะนำช่วยชี้แนะด้วยครับ โดย lyo [18 ม.ค. 2546 , 15:41:50 น.] ข้อความ 6 ผมดูเหมือนจะเคยอ่านบทความ จุดเปลี่ยนความคิดของยุคสมัยอยู่บ้าง แต่ไม่ค่อยซีเรียดมากนัก ความคิด เลยมักหยิบโย่ง ไม่คอ่ยคงเส้นคงวาเท่าไร มีบทความที่มหาวิทยาลัยเที่ยงคืน นำมา เสนอในเว็บมาก เกี่ยวกับลัทธิละสังคม เช่น ทฤษฎีวิพากษ์(Critical Theory)ของกลุ่ม นักคิดแฟรงค์เฟริทสคูล ..ลองไปเลือกอ่านดู เข้าตรงของรายชื่อบทความได้ที่..url http://www.geocities.com/midnightuniv/articlepage1.htm ลองเริ่มที่บทความเพื่อเห็นภาพเคร่าๆก่อน แล้วค่อยเจาะไปที่รายละเอียดตามหนังสืออ้างอิง อาจช่วยสร้างกรอบรวมได้กว้างขึ้น การศึกษา อะไรนั้นผมมักใช้คติที่ว่า ..อย่าเชื่อและอย่าปฏิเสธ หรือหลักกาลามสูตรของพระพุทธศาสนานั่นแหละ การรู้จักตั้งคำถามแล้วสืบเสาะหาคำตอบ ถือเป็น ลักษณะของนักปรัชญาแล้วนะครับ โดย เพื่อนอาจารย์ [20 ม.ค. 2546 , 09:00:44 น.] ความถนัดทางสถาปัตย์ นั่งคิดย้อนกลับไปตอนสอบเอนทรานซ์ ตอนนี้ก็ปี4แล้ว ก็คิดว่า ข้อสอบตอนนั้นมันก็ไม่เห็นจะเป็นข้อสอบความถนัดที่ดีเลย (แต่ผม ก็ จำไม่ค่อยได้แล้วว่าข้อสอบออกอะไรๆชัดเจน) เพราะผมว่า พูดถึงคณะเรา คือ ออกแบบ Idea สร้งสรรค์ แต่ไม่ใช่วาด รูปสวย มือดี ซึ่งผมคิดว่า ความคิดเป็นหลัก แล้วมือที่ดีช่วยส่งเสริม ผมไม่รู้ว่าเดี๋ยวนี้ข้อสอบเป็นไงแล้ว คุ้นๆที่สอบกันตอนนู้นก็ เขียนtive ที่คะแนนมากสุด ( อย่างการมอง plan front side อันนี้ผมว่าใช่ได้นะ ดูว่าใครมองแบบ 3 มิติ ได้ดี)ผม ว่ามันไม่น่าคะแนนมากสุด ผมว่ามันไม่จำเป็น อย่างตอนนี้ผมเห็น เพื่อนผม มือแม่งอย่างห่วยเลย แต่ความคิดมันไม่ใช่ งานมันดีเลยที เดีบว และ มีสำนึกดีด้วย มันใช่comนะเพราะมือมันไม่ดี ผมดูมันน่าจะ เป็น creative ที่ดีได้เลย มัน เอน เข้ามาได้ไงมันก็ไม่รู้ มันเคยเข้ามา ติว วาดรูป แล้วมันก็หนีไปเพราะมันอายเพื่อนๆ แถมปัจจุบันมีสื่อมากกว่า การวาดรูป ด้วยไม่รู้ ข้อสอบเป็นยังไงบ้างปีนี้ ผมไม่ได้ ไม่ชอบวาดรูปนะ ผมชอบเลยแหละ โดย ธุลีscape [8 ม.ค. 2546 , 23:46:49 น. เรื่องข้อสอบความถนัด สำหรับการสอบ เอ็นทร้าน ผมไม่อยากวิจารณ์ว่าเหมาะสม หรือไม่อย่างไร เดี๋ยวจะกลายเป็น "การยกตน ข่มท่าน" เป็นสิ่งไม่ดีต่อบัณฑิตที่พึงกระทำ บอกตามตรง ผมชอบทำข้อสอบที่ไม่ตรงกับ ที่ผมถนัด หรือที่ไม่มีประโยชน์อะไรกับผมเลย ในตอนนั้น เพราะถ้าผมทำข้อสอบนั้นได้ และเอาสิ่งที่ไม่เป็นประโยชน์ ไปพยายาม คิดทำให้เป็นประโยชน์ได้ ..ผมน่าจะเป็น คน..ไม่ธรรมดา ซึ่งผมชอบเป็น แต่ยังไม่เป็น อย่างที่ว่าได้ซักที ..(แต่เป็นหลายทีครับ)..๕๕๕ ผมเห็นด้วยที่ว่าการเขียนรูปสวย ไม่ได้หมายความว่า จะออกแบบได้สวยด้วย แต่ก็มีประโยชน์ในแง่ทักษะการสร้าง หรือ การเห็นภาพในใจ แล้วนำจินตภาพนั้นออกมา จำลองให้สื่อกันได้เข้าใจมากขึ้น ซึ่งจะสืบนำไปสู่ทักษะการคิดแบบเห็นภาพ หรือ Image Thinking ซึ่งเป็นลักษณะการคิดที่สำคัญเหมือนกัน เคยมีการทดลอง พบว่านักเรียนสายวิทย์มักบันทึกข้อมูลไว้ ในใจแบบ ตัวเลข ข้อความ หรือเป็นเรื่องราว แบบ verbal information ส่วนพวกนักเรียน สายศิลป์มักตรงกันข้าม บันทึกเป็นภาพ หรือ องค์ประกอบเป็นแบบโครงสร้าง ที่นึกเป็นภาพได้ คือเป็นแบบ non-verbal information ตัวอย่างที่ใช้ทดลองเช่น โปสเตอร์ ประกาศจับ โจร ที่มักให้ข้อมูลทั้งสองอย่างรวมกันไว้ใน โปสเตอร์คือ ภาพเสก็ตหรือภาพถ่ายจริงผู้สงสัย (non-verbal) และรายละเอียดของข้อความเช่น เพศ ความสูงเชื้อชาติ นำหนัก หรือรายละเอียดรูปพรรณสัญฐาน ต่างๆ (verbal) คนเห็นโปสเตอร์แบบนี้ จะถ่ายทอดข้อมูล ที่เน้นชนิดข้อมูลต่างกัน และก็มีคนที่มีทักษะกระทำได้ ดีทั้งสองอย่าง ...สถาปนิกควรมีทักษะในการรับรู้ข้อมูลให้ได้ในหลายๆชนิด เช่นเห็นสูตรคณิตศาสตร์ ก็จะนึกเป็น ภาพได้ หรือเห็นภาพก็บอกสูตรสำเร็จได้ นักวิทยาศาสตร์ ที่เป็นอัจฉริยะ จะมีทักษะการรับรู้ทั้งภาษาวิทย์และภาษาศิลป์ สถาปนิกที่จะเป็นอัจฉริยะ ก็ควรเป็นเช่นกัน ..จริงไหม? ผมเองเป็นนักเรียนบ้านนอก โดนพระเจ้าถีบให้มาเรียน ที่คณะนี้ วาดรูปได้คะแนนสู้พวกนักเรียนสวนกุหลาบ ที่เมืองหลวงไม่ได้เลย ความคิดรสนิยมก็บ้านนอก ไม่ทัน สมัยในทุกเรื่อง ซึ่งความต่างนี้ลดน้อยมากในปัจจุบัน เพราะเทคโนโลยี เช่น ทีวี มีกันได้ทุกจังหวัด ..ถ้ารักการเรียน ก็จะพัฒนาทักษะที่ขาดได้แน่นอน ผมก็พัฒนาจากชั้นเรียน และกับเพื่อนที่วาดรูปเก่ง ยอมตัวเป็นคนรับใช้ติดตามเพื่อน ไปวาดรูปกัน ก็ได้ทักษะหรือได้วิทยายุทธ์เพิ่มเหมือนพวก เรียนวิทยายุทธ์ในหนังจีนกำลังภายในทั่วไป .. ถ้าไม่ชอบอะไรแรกๆ เช่น การวาดรูป หรืออะไรก็ตามเพราะ เราไม่ถนัด อย่าเพิ่งหนี ลองไปฝึกดูก็อาจเปลี่ยนเป็นชอบ ก็ได้ เพราะการวาดรูปมันเสริมทักษะการคิดแบบเห็นภาพ ก็สำคัญพอๆกับการคิดเห็นสูตรในงานสถาปัตยกรรม คิดให้ได้หลายๆรูปแบบ รวมทั้งคิดเหมือนเครื่องคอมพ์ (virtual reality) ได้ด้วย ผมว่า..จำเป็นสำหรับสถาปนิก ในสหศวรรษใหม่นะครับ วิชาการหลายแหล่ในคณะฯหรือในอินเทอร์เนท ในห้องสมุด ในร้านขายเอกสารหรือชีทประกอบการสอนของคณะเรา รวมทั้งวิชาที่สอนเรียนกันในห้องเรียน ผมมักเปรียบเหมือน กองขยะและการเรียนรู้ คือ การฝึกทักษะฝึกเลือกสรรขยะนั่นเอง ผู้เรียนต้องรู้จักเอาเศษขยะเหล่านี้ไปสร้างสรรสิ่งใหม่ๆและ ทำให้เกิดประโยชน์ในการดำเนินชีวิตของเราแต่ละคนให้ได้ เพราะฉะนั้นอย่าพึงมองข้ามขยะอะไรที่เราอาจนึกว่าไม่มีค่า เช่น การวาดรูป เพราะถ้ามองกันดีๆ ก็จะเห็นประโยชน์ดังกล่าวได้ เพราะที่นี่หรือที่ไหนก็เป็นวิชาการ แบบกองขยะแทบทั้งนั้น ให้ดีหน่อยก็เอามาจัดใส่กล่องใส่ถังเป็นหนังสือ หรือการบรรยาย แยกแยะกันออกมาเป็นของใครของมัน ซึ่งอาจทำให้สะดวกกับลูกค้า ได้เลือกสรรขยะ เอาไปแยกแยะ แล้วก็นำไปใช้เป็นขยะความรู้ของ แต่ละคนได้ง่ายขึ้น ..ก็เท่านั้นเอง คิดหรือมีคติอย่างนี้ บางทีอาจทำให้จิตของเราใหญ่พองโตขึ้นบ้างนะครับ ผมคุยมาตรงที่จะต้องการคุยหรือป่าว? ไม่รู้นะ เพราะเป็นคน ที่ชอบคุยให้ตัวเองฟังเป็นส่วนมากๆ ...ครับ โดย เพื่อนอาจารย์ [10 ม.ค. 2546 , 16:06:03 น.] ข้อความ 2 ข้อสอบความถนัดฯ ปีนี้ ก็ง่ายกว่าปีที่แล้วมากๆ ค่ะ ไม่มีการมองแบบเปอร์สเปคทีฟ ส่วนใหญ่จะเป็นการออกแบบ เหมือนว่าจะดูความคิด ข้อสอบก็ แบบว่า มีไม่ไผ่มาแท่งนึง เราจะเอาไปทำอะไรได้บ้าง แบบนี้ล่ะค่ะ อีกข้อก็เป็น แผ่นซีดี แล้วก็มีช่องให้วาดภาพนะคะ แบบว่า มีเส้นโค้งๆ อยู่มุมล่าง มีเส้น ตรงๆแนวนอนอยู่ตรงกลาง ให้เราวาดภาพแบบจินตนาการ ให้หัวข้อมา 2 หัวข้อ รู้สึกว่าจะเป็น พักผ่อนหรือฤดูร้อน อะไรนี่ กับ งานเลี้ยง ค่ะ และยังมีแบบว่าให้ออกแบบกรงนกที่เลี้ยงปลาได้ ให้กะคนที่อยู่บ้าน เล็กๆ ต้องการความสะดวกสบาย ทำนองนี้ล่ะค่ะ ก็ยอมรับค่ะ ว่าตัวเองก็วาดรูปไม่เก่ง แต่ว่าเป็นคนที่ชอบออกแบบ ชอบ จินตนาการ ก็เลยคิดอยากจะเข้ามาเรียนในคณะนี้ สำหรับคะแนน เอนท์ที่ซุ่มเก็บมาก็พอจะเข้า ม. ในกรุงเทพ ได้ แต่ด้วยเหตุผลส่วนตัวว่า กลัว กลัวสังคม กลัวความเป็นเด็กบ้านนอกของตัวเอง จะทำให้ตัวเอง ดูแตกต่าง ก็เลยตัดสินใจ เลือก ม. ต่างจังหวัดดีกว่า โดย กิ๊ฟ [16 มี.ค. 2546 , 15:59:32 น.] ข้อความ 3 อยากถามอาจารย์อีกนิดนึงฮะ คือพักหลังนี่ จะมีเด็กผู้หญิงสอบเข้ามาได้มากกว่าเด็กผู้ชายเรื่อยๆ อยากทราบว่า เป็นเพราะข้อสอบหรือเปล่าครับ คือ ผมคิดว่าผู้ชายและ ผู้หญิงมีความถนัดในด้านต่างๆไม่เหมือนกัน อย่างเช่นว่า ผู้ชายถนัด ด้านกลไก โครงสร้าง ผู้หญิงถนัดงานละเอียดเช่นพวก textile อะไร อย่างนี้ ข้อสอบความถนัดนี้มีผลในแง่ข้างต้นบ้างหรือเปล่าครับ เช่น เน้นด้านทฤษฏี ท่องจำมากไป หรืออะไรทำนองนี้ หรือเป็นเพราะผมคิด ไปเอง แล้วพวกเรื่องผลการเรียนครับ คือผมไม่เห็นว่าพวกที่ได้เกรดมากกว่า จะจำเป็นว่า ต้องเก่งกว่าพวกได้เกรดน้อยในการทำโปรเจคจริงๆเลย พวกจีแพ็คเยอะบางทีก็เป็นพวกนักทฤษฏีสูง เอาเข้าจริงก็ทำงานไม่เห็น ได้เรื่องเท่าไหร่ เราควรมีระบบการวัดผลการเรียนที่ดีกว่านี้หรือเปล่าครับ หรือว่าไม่มีทางวัดได้อยู่ดี โดย นิสิตไอดี [22 มี.ค. 2546 , 14:59:21 น.] ข้อความ 4 เรื่องการประเมินผล ทดสอบความถนัด คัดสรรคนเข้ามาเรียนในแต่ละคณะฯ คิดวิธีการใดๆ..ผมว่า..ยากจะหาความสมบูรณ์ได้ เหมือนการคนหาทฤษฎีสมบูรณ์ทางวิทยาศาสตร์ จนป่านนี้ก็ยังหากันไม่พบ..บางทีอาจไม่มีก็ได้ แต่คนก็พยายาม..โดยเลี่ยงไปหาทฤษฎีย่อยๆ ที่เกี่ยวข้องกัน..แล้วมาอธิบายความจริงต่างๆ ความเท็จ..ความจริงเลยมั่วกันไปเรื่อยๆ ผมคิดว่า..เรื่องบางเรื่องอย่าไปหามันให้วุ่น ถ้าจะทดสอบอะไร..ก็จงทำมันไปเถอะ อาจ โดยใช้สันขาติญาณดิบๆที่ติดตัวมาแต่ชาติก่อน ก็น่าจะใช้ ..ผ่านทดสอบได้ก็ดี..จะได้ไปทำสิ่งอื่นต่อ ไม่ผ่าน..ก็อย่าไปกลุ้ม เพราะคนทดสอบเราไม่ใช่ พระเจ้าแน่นอน..เผลอๆพระเจ้าอาจให้เราไปอยู่ ในที่ที่เหมาะสมกว่า..มีคติอย่างนี้อาจไม่ถูกหรอกนะ แต่ผมว่าทำให้เราสบายใจดีถ้าทำได้..และทำให้ เรายังมีความเชื่อมั่นหรือมีคุณค่าในตัวเองอยู่อีก ผมว่า..เรื่องนี้สำคัญ ต้องมั่นสร้างกำลังใจให้ตนเอง ไว้เสมอนะครับ ..เหตุผลก็พิสูจน์ได้ต่างๆนานา เช่นเรียนเก่งได้เกรดดี แต่ทำงานไม่ได้เรื่อง ก็มีเยอะ..บางคนก็ยังทำชั่วติดคุก..ก็มี ฯลฯ การมั่นทำใจให้บริสุทธิ์ สะอาดและเป็นสุขเข้าไว้ แม้ยังพิสูจน์ไม่ได้ว่าจะได้ไปสวรรค์ในชาติหน้าหรือป่าว แต่ที่แน่ๆคือ..จะอยู่ในสวรรค์ของชาตินี้แน่ๆ และ ก็ต้องแน่นอนที่จะได้พบพานแต่สิ่งดีๆ แน่เลย พลังความดีงาม..เป็นอนุภาคทางบวกนะครับ น่าจะทำให้เอกภพ "พองตัว" เป็นอนันต์ มากกว่า ทำให้ "หดตัว" นะครับ บางที..เว้นคิดถึงเรื่องที่เรายังควบคุมมันไม่ได้ ก็น่าจะดีกว่านะครับ..รอให้มีปัญญามากขึ้น อำนาจในการควบคุม หรือการมีความรอบรู้ ก็จะพิจารณาเรื่องต่างๆได้โดยง่ายขึ้นกว่า ที่เรากำลังเป็นหรือกำลังวุ่นวาย..อยูขณะนี้ นะครับ โดย เพื่อนอาจารย์ [23 มี.ค. 2546 , 09:12:59 น.] ข้อความ 5 ซอยมือเร็วไปหน่อย..เลยพิมพ์ผิด เช่น ..ยาก..เป็น..อยาก ค้นหา..เป็น..คนหา...อันหลังยังพอได้เรื่อง ก็ต้องขอโทษด้วยครับ เรื่อง "เพศหญิง" ได้คัดสรรกันมามากขึ้น ก็พอมีเค้า...ผมว่าดีนะ เพราะบทบาทของผู้หญิงมีส่วนน้อยกับการปกครองในอดีต โดยเฉพาะในสังคมไทย แม้จะยกย่องกันบ้าง แต่ก็ยังน้อย ...เอกภพพอพองตัวมากเข้า..ก็ จะต้องถึงคราวหดตัวลง ..ผู้หญิงกลับมามีบทบาท มากขึ้นแทนผู้ชาย น่าจะอยู่ในช่วงเอกภพหดตัว ละมัง..ครับ อย่าไปกังวลเรื่องการแบ่งเพศมากนัก ในทางพุทธศาสนา..ไม่มีเพศในชั้นปรมัตต์ คือ ทุกคนที่เป็นมนุษย์สามารถบรรลุธรรมได้เท่ากัน สัญญาณการหดตัวของเอกภพ อาจขึ้นอยู่กับบทบาท ของสตรีก็ได้นะครับ ดรรชนีความเป็น "ตุ๊ด" อาจ พอเป็นตัวชี้แนะก็ได้เหมือนกัน ...หากผมต้องไปเกิดใหม่ ในช่วงเอกภพกำลังหดตัว ...แม้ผมเป็นเพศชาย แต่ก็อาจมีพฤติกรรมเป็นตุ๊ดก็ได้..who care? โดย ขออีกที [23 มี.ค. 2546 , 09:29:19 น.]