วันศุกร์, สิงหาคม 31, 2550

วิวาทะ..การเรียนการสอน


มีความเห็นว่าอย่างไร.. กับประเด็นที่ว่าเรียนมาอย่างไรก็สมควรทำงานอย่างนั้น ผมคิดว่าการเรียนสมควรบอกถึงประสิทธิภาพของความคิดที่พัฒนาขึ้นในทิศทางที่ถูก รู้จักประเมินความได้-เสียในทิศทางที่กำลังเดินไป ถ้าจะบอกว่าการทำงานที่มีสถานะว่าจบ สถาปัตย์ คำนำหน้าคือสถาปนิก มันจะดูแคบไปหรือไม่ ถ้าคำนำหน้าเปลี่ยนเป็นจบปริญญาตรี สิ่งที่ตามมาคือ การคิดเป็น มันจะดูดีกว่าหรือไม่ บ่นมานี้อยากรู้ว่าประเด็นนี้คิดกันอย่างไร จะลากยาวไปเรื่องอื่นก็ได้นะครับ เป้าหมายจริงๆที่อยากรู้ก็คือ การศึกษาปริญญาตรีให้อะไรกับคนเรียนมากน้อยขนาดไหน และอะไรคือสิ่งที่คนเรียนน่าจะได้ ขอบคุณสำหรับความคิดเห็นครับ


โดยคุณ : แวะมาเป็นประจำ. - [ 15 ต.ค. 2544 , 10:56:20 น. ]


ตอบ รู้สึกว่า มาตราฐานการศึกษาบ้านเราคง ยกระดับเป็น ปริญญาโทกันแล้ว เพราะระดับปริญญาตรี เริ่มเรียนกันแบบ นกแก้วนกขุนทอง คล้ายสมัยมัธยมกันแล้ว

ความจิงเรียนให้คิดเป็นคงเป็นสิ่งที่ทุกฝ่าย หวังไว้ จบไปประยุกต์ความรู้ได้ แต่ดูเป็น อุดมคติเหลือเกิน


โดยคุณ : M&e - [ 16 ต.ค. 2544 , 00:16:59 น.]


ตอบ ดูเหมือนบางคนที่เรียนปริญญาตรีอยู่ตอนนี้ยังไม่รู้ตัวเองเลยด้วยซำ้ว่าจบไปจะทำอย่างที่เราๆเลือกเอ็นท์กันเข้ามาหรือเปล่า เพราะวันๆพอเลิกเรียนก็เห็นแต่พุ่งไปเดินสยามเสียส่วนใหญ่ น้อยคนนักที่จะมุ่งไปหาแนวทางของตน(หรือไอ้ที่ทำอยู่มันใช่ก็ไม่รู้) ผมว่าก่อนที่เราจะเข้ามาเรียนในมหาวิทยาลัยนี้ เราอาจยังไม่แน่ใจด้วยซำ้ว่าตัวเองอยากเป็นอะไร จนกระทั่งเข้ามาเรียนแล้ว ถึงพอจะรู้ว่า อ้อ!นี่กูอยากเป็นอย่างนี้นะ อ้าว!นี่กูเลือกเรียนผิดคณะนี่หว่า อะไรประมาณนี้ คือกว่าจะรู้ตัวอีกทีก็เรียนมาแล้ว2-3ปี จะถอนตัวก็ช้าไปเสียแล้ว ทางออกก็คงจะมาลงที่ ป.โท ส่วนหนึ่งมั้งครับ กว่าจะรู้ว่าอยากเรียนอะไร อยากทำอะไรก็จบ ป.ตรีไปเสียแล้ว เดี๋ยวนี้เลยมีป.โท กันให้เกลื่อนเหมือนเป็นปกติ


โดยคุณ : ploi - [ 16 ต.ค. 2544 , 01:16:45 น.]


ตอบ ความเห็นเป็นอย่างนี้...
สิ่งที่ยากลำบากของการเรียนรู้ คือ คือการโยกย้ายสิ่งที่เรียนรู้ไปสร้างประโยชน์อื่นๆ transfering of knowledge is so damned difficulty เป็นหน้าที่ของครู-นักเรียนพึงกระทำให้ "ต้อง" ได้ เช่นการสร้างแบบเรียนแบบฝึกหัดเป็นต้น ในหนังสือ "พ่อรวยสอนลูก" เปรียบเทียบ เรื่องนี้ไว้น่าคิดน่าสนใจ เช่นในความตอนหนึ่ง...

--ปัญหาของระบบการศึกษา คือไม่ว่านักเรียน เรียนวิชาอะไร เขามัก จะออกมาทำอาชีพนั้น...มุ่งออกมาทำงานตามที่เล่าเรียนมา จนลืมไป ว่าเขากำลังทำงานให้คนอื่นและไม่ใช่เพื่อตัวเองเลย ถ้าต้องการมี ความมั่นคงทางการเงิน คุณต้องทำธุระกิจที่จะทำให้ทรัพย์สินของ คุณโตขึ้น...(ถ้าอยากรวย)

ทีนี้ลองคิดเล่นๆว่า ๑. จบแล้วไปทำงาน ฝึกงานในสำนักงานสถาปนิก หรือในองค์กรอื่นที่มีตำแหน่งสถาปนิกกำกับไว้จ้างงาน หรือ ๒. ไปประกอบธุระกิจที่อยู่อาศัยหรืออสังหาริมทรัพย์ โดยตัวเอง เป็นนาย คนจัดการควบคุมได้ จ้างผู้อื่นมาร่วมงาน เหมือน บิล เกตต์ หรือ... ๓. ทำอะไรอื่นๆ อยู่ไปวันๆโดยอย่าไปเบียดเบียน ไม่ให้มีชีวิตลำเค็ญ ฯลฯ

จะเลือกกันแบบไหนดี ? ...แล้วลองพิจารณาอีกความตอนหนึ่งที่ว่า..

--เราต้องควบคุมความต้องการ...หลายคนใช้มันในทางที่ผิด หลายคนตั้งตา รอวันเงินเดือนออก รอโอกาสจะได้เงินเดือนขึ้นก็เพราะความกลัวและ ความต้องการ โดยไม่คำนึงว่าชีวิตจะเป็นอย่างไรในวันข้างหน้า เหมือน ลาที่ถูกล่อให้เดินตามหัวแครอตจนไม่เคยเหลียวดูหนทางและหวังว่าพรุ่งนี้ จะมีแครอตให้มันเดินตามอีก....(ถ้าอยากอิสระ)

การศึกษาในทุกระดับสร้างฐานความคิดให้เกิดการเรียนรู้ด้วยตนเอง ในที่สุด คือการเลือกสรรหรือสร้างองค์ความรู้ของตนเองใหม่ แล้วเอาไปใช้ในชีวิตตนเองชีวิตใครชีวิตคนนั้น อย่าคิดว่า โรงเรียนจะให้อะไรกับเรา แต่อยู่ที่ว่าเราจะเอาอะไรใน "กองขยะ" กองใหญ่ๆจากโรงเรียนนั้น...ว่างๆลองนึกดู ความต้องการของเรา ลองอ่านข้อความนี้ดู....

--พ่อรวยสอนว่า..การมีชีวิตอยู่กับความกลัวเป็นสิ่งที่เลวร้ายมาก เรา ควรมีชีวิตอยู่ด้วยความหวัง ความฝัน และความสุข ไม่นอนก่ายหน้าผาก ว่าจะมีเงินเดือนให้ได้ใช้ไปอีกนานเท่าไร อย่าคิดว่าการมีงานทำจะทำให้ ชีวิตมั่นคง อย่าให้เงินควบคุมชีวิตของลูก....(ลูกกล้าคิดใหม่ไหมล่ะ?)

ความ "อีกจริง" เรียนให้คิดไม่ใช่อุดมคติหรอก เผอิญเราขี้เกียจคิด หรือคิดมากจนฟุ้งซ่าน จนเลย ชีวิตของเรานี้มีแต่ปัญหา...ปัญหา...แล้วก็อีกปัญหาๆ สาระของการเรียนหนึ่งคือการเรียนรู้การแก้ปัญหา วิชาต่างๆเป็นแค่กรณีศึกษา ระดับปริญญาเกิดเพราะ คนยังมองปัญหาไม่เจอ เลยชอบอยู่ใกล้ "กองขยะ" ไม่ยอมห่าง..บางคนร่วมสร้างกองขยะเอาเสียเลย
ก็จบกันดื้อๆแบเฉไฉไปเรื่อยอย่างเคยนะครับ


โดยคุณ : โม้เป็นประจำ - [ 17 ต.ค. 2544 , 11:08:48 น.]


ตอบ เคยดูหนังฝรั่งอยู่เรื่องหนึ่ง นางเอกบ่นเรื่องชีวิตวัยเด็กให้พระเอกฟัง "ไม่เข้าใจเลยว่าทำไมแม่ชั้นถึงชอบคิดอะไรง่ายๆ ชั้นบอกว่าชั้นรักสัตว์เขาก็บอกว่าไปเป็นสัตวแพทย์สิ ชั้นบอกว่าชั้นชอบท่องเที่ยวแม่ก็บอกว่าเรียนไกด์ก็ดีนะ ชั้นบอกว่าชั้นชอบร้องเพลงแม่ก็บอกว่าเป็นนักร้องก็ดูดีไปอีกแบบ ทำไมแม่จะต้องจับให้ชั้นไปเป็นอย่างหนึ่งอย่างใดให้ได้ก็ไม่รู้" ฟังแล้วก็สะดุดใจ ตอนเด็กๆผมวาดรูปสวยผู้ใหญ่เขาก็แนะนำให้เรียนถาปัด ไม่รู้จักหรอกว่าถาปัดเขาทำอะไรกัน พอรู้ตัวอีกทีก็มาอยู่คณะนี้เสียแล้ว


โดยคุณ : WC - [ 18 ต.ค. 2544 , 01:13:40 น.]

ตอบ ผมเองพี่สาวก็แนะว่าเรียนถาปัดดี คนเรียนน้อยสนุกสนานกันทั้งวัน ไม่เกะกะระรานใครๆ ผมเลยเชื่อพี่สาว ตอนนี้ผมอินกับหนังสือ "พ่อรวยสอนลูก" ไม่เชื่อที่เขาเขียนหรอก แต่ชอบวิธีคิดต่าง ลองอ่านดู...(จากเล่มสอง)

คำพูดน่าคิดเกี่ยวกับการศึกษา วินตัน เชอร์ชิล....."ผมพร้อมที่จะเรียนเสมอ แต่ผมไม่ชอบถูกสอน" จอห์น อัปไดค์......"เมื่อพ่อแม่ทั้งหลายพบว่าเด็กเป็นภาระอันหนักอึ้ง เขาจึงส่งเด็กไปอยู่ในคุกที่เรียกว่าโรงเรียน และใช้ การศึกษาเป็นเครื่องมือทรมาน" นอร์มัน ดักลาส...."การศึกษาคือโรงงานผลิตเสียงสะท้อนที่ควบคุมโดยรัฐ" เอช แอล. แม็กเคน..."ชีวิตในโรงเรียนเป็นชีวิตที่ไม่มีความสุขที่สุด" กาลิเลโอ......"ไม่มีใครสอนใครได้ อย่างมากที่ทำได้คือช่วยให้เขาค้นพบการเรียนรู้ด้วยตนเอง" มาร์ค ทเวน..."ฉันไม่เคยให้โรงเรียนเข้ามายุ่งกับการศึกษาของฉัน" อัลเบิร์ต ไอน์สไตน์...."การศึกษามีมากเกินไป โดยเฉพาะในโรงเรียนอเมริกัน"

โรเบิร์ต ที. คิโยซากิ..." ผมฝันจะสร้างระบบการสอนของผมเอง ระบบสำหรับ ผู้ต้องการเป็นเจ้าของกิจการหรือนักลงทุน ใจผมล่องลอย ไปสู่สมัยเด็ก.....ไม่ใช่ผมไม่ชอบโรงเรียนนะครับ แต่ผม "เกลียด" โรงเรียน เกลียดการถูกบังคับให้นั่งฟังคนที่ผมไม่นับถือ พูดสิ่งที่ไม่มีความน่าสนใจนานเป็นเดือนๆ ผมจะเป็นนักเรียน คนที่นั่งอยู่หลังสุด หันซ้ายหันขวา แกล้งคนโน้นทีแหย่คนนี้ที จนหมดชั่วโมง หรือบางทีก็ไม่เข้าห้องเรียนเฉยๆ ผมจึงตอบครู ที่ปรึกษาโดยไม่เสียเวลาคิดเลยว่า "ผมเกลียดการเป็นครู" " แท้จริงแล้วเป็นความรู้สึกทั้งรักทั้งเกลียด ผมรักการเรียนรู้ สิ่งใหม่ๆ แต่ผมเกลียดโรงเรียน เพราะโรงเรียนบังคับให้ผม เป็นในสิ่งที่ผมไม่อยากเป็น เชื่อว่าคงไม่ใช่ผมคนเดียวที่รู้สึก เช่นนี้

หากการจัดตัวเขียนเลอะเทอะอย่าว่ากันนะ ผมลองทดสอบบางอย่างครับ


โดยคุณ : โม้อีกที - [ 18 ต.ค. 2544 , 10:58:38 น.]

ตอบ..แบบชนะประกวด...การออกแบบบ้าน
เท่าที่เห็นผลปรากฏในข่าวทีวี เป็นลักษณะการออกแบบที่พยายามให้เกิดระบบหมุนเวียนดีที่สุด ของอากาศ ภายในอาคาร มีที่ว่างกลาง ช่วยเร่งการเคลื่อนไหวของลมที่พัดผ่าน

การพิจารณาทิศทางของลมพัดผ่าน คงต้องพิจารณาที่ตั้งของอาคารข้างเคียงด้วยหรือแม้แต่ไอของความร้อน ที่ลมอาจหอบพัดมาด้วย เช่นจากผิวถนน หรือความร้อนที่แผ่กระจายจากหลังคาอาคารข้างเคียง แต่ เพราะเหตุปัจจัยที่กำหนดไว้แน่นอนแล้วว่าลมเย็นจะผ่านพัดเข้ามาจากหน้าบ้าน หรือเข้าช่องเปิดต่างๆของบ้านเสมอๆ ลักษณะการออกแบบ เลยเห็นเหมือนเช่นปกติ ที่เคยเป็น ว่าบ้านตั้งอยู่กลางท้องนาโล่งๆ มีลมเย็นผ่านกระทบบ้านอยู่ตลอดเวลา...เพราะโมเดลที่เห็นเป็นแค่เพียงแสดงตัวบ้านอย่างเดียว

ผมเคยสังเกตเห็นว่า บางบ้าน เรือนคนใช้ที่อยู่หลังตัวบ้านใหญ่ ได้ลมพัดโชยแรง เนื่องจากซอกระหว่างแนวรั้ว และผนังทึบด้านข้างของบ้าน กลายเป็นอุโมงลมที่เหมาะสม....... คนใช้บ้านนั้นเลยนอนหลับสบาย ทั้งๆที่สถาปนิกไม่ได้คาดคิดไว้เลย

อาคารในบางประเทศ ใช้ปล่องกลางบ้าน เป็นเครื่องมือที่ทำให้ช่วยเร่งการหมุนเวียนของอากาศ เป็นลักษณะเครื่องมือการดูดอากาศเหมือนลักษณะการช่วยการเผาไหม้ของปล่องไฟเตาผิงอาคารที่มี court ตรงกลาง และมีบ่อน้ำช่วยเพิ่มความเย็นของอากาศ ที่หมุนเวียน พบมากในประเทศแถบตะวันออกกลางซึ่งเพื่อนชาวอาหรับเคยเล่าให้ฟัง

ทีนี้ ถ้าลองปรับเปลี่ยนความคิดใหม่กันลองดูบ้าง เช่น ผู้อยู่อาศัยลดการอบความร้อนในร่างกายตัวเองจากผลของเสื้อผ้า เมื่ออยู่บ้านถอดเสื้อหรือ ใส่เสื้อผ้าฝ้ายบางๆ เหมือนคนสมัยปู่ย่าตายาย พอไม่ให้อุจจาดตา บ้านอาจไม่จำเป็นต้องมีช่องเปิดมาก แต่มีกำแพงที่ออกแบบเพื่อป้องกันอากาศร้อนภายนอก พอไม่ให้แทรกซึมเข้าบ้านมากๆ ด้วยอากาศเย็นที่สะสมไว้ในบ้านตอนช่วงกลางคืน ก็อาจช่วยให้ความอบอุ่นได้พอตลอดทั้งวัน หรือมิฉะนั้นก็ใช้เวลาอยู่นอกบ้านมากๆในตอนกลางวันโดยเฉพาะในหน้าร้อน เหมือนชาวนาที่อาศัยร่มเงาจากต้นไม้


เมื่อต้องการความสบาย ประโยชน์ของบ้านอาจลดความจำเป็นลงบ้าง...ผมว่าถ้าสถาปนิกออกแบบให้ภายในบ้านอยู่สบายเกินไป อาจทำให้เราติดยึดอยู่กับที่ โดยไม่อยากออกไปสังคมกับคนนอกบ้านมากแล้ว ชีวิตก็อาจไม่มันนัก เพราะอยู่สบายเหมือนเทวดา ชนิดพรหมลูกฟักเกินไป

สรุป....คิดแบบบ้านหารสองเกินไป อาจได้ค่าเป็นศูนย์ คือไม่เหลืออะไรเลย ก็ได้นะครับ อยู่กับที่จนเนื้อตัวกลายเป็นจิ้งจกขาวเผือก กลัวแสงอาทิตย์ และความร้อนโดนกาย จนอาจเพี้ยนเอาก็ได้นะ..

ใจจริงๆแล้ว สำหรับเรื่องนี้ ผมชอบการออกแบบประหยัดพลังงาน เน้นที่ passive มากกว่า active ดังที่นิยมแบบโบราณ หากแต่ ด้วยสภาวะปัจจุบันที่มี contex เปลี่ยนไป การคิดโดยวิธีการแรก...น่าจะได้รูปแบบบ้านใหม่ๆ ตัวอย่าง เช่น มนุษย์อาจลองอยู่แบบ มดปลวก ใต้ผิวดินมากๆกว่าปัจจุบันหน่อย หลังคาบ้าน ก็จะได้กลายเป็นสวนสาธารณะสำหรับคนอื่นร่วมใช้ได้ด้วย จะมีโผล่เพียงปล่องสำหรับหายใจ และเพื่อแสงสว่างตามสมควร กลัวต้องดูดส้วมบ่อยๆ ก็อาจยอมให้โผล่บ้างก็ได้ สิ่งที่โผล่ดินเหล่านี้พอใช้แทน หมายหลักโฉนด หรือเครื่องหมายแสดงกรรมสิทธ์ อาณาจักรแห่งข้าฯว่าอยู่ตรงนี้นะ แค่เพียงเท่านั้นเอง ยามใดอยากเห็นโลกภายนอก ก็จะโผล่ตัวเองออกมาจากบ้าน ยามใดเลี่ยน หรือกลัวภัยเมื่อไร ก็หนีลงรูเสีย.....บ้านเมืองโดยรวม ก็จะได้ภาพปรากฏที่ไม่รกหูรกตาเช่นปัจจุบัน..

...ก็ลองแหยมความคิดเชยๆมาดูสำหรับการบ่นเรื่องนี้ครับ


จาก…เพื่อนอาจารย์

ถามว่า...ถ้าทำThesisแล้วปรึกษาอาจารย์นอกกลุ่มจะเป็นการข้ามหน้าข้ามตาอาจารย์ประจำกลุ่มหรือไม่ ได้มีโอกาสเข้าไปฟังการjury thesis เมื่ออาทิตย์ที่แล้วทำให้ได้รู้สึกว่างานของพี่หลายๆ คนยังไม่ครอบคลุมในdetailของสายงานต่างๆ ที่มีหลายๆสาย โดยเฉพาะในสายที่อาจารย์ผู้ร่วมให้คะแนนเชี่ยวชาญเฉพาะ ก็เลยเกิดข้อสงสัยว่า ในเมื่องานเป็นถึงงาน วิทยานิพนธ์ ทำไมพี่ๆ เขาไม่ได้ทำในส่วนนั้นๆ พออาจารย์ถามก็ตอบไม่ได้ หรือไม่ถูกต้องตามหลักความเป็นไปได้ หรือว่าไม่กล้าถามเพราะกลัวว่าจะเป็นการข้ามหน้าข้ามตา ท่านอาจารย์ประจำกลุ่มไปเลยทำให้งานที่น่าจะสมบูรณ์แบบมากๆ ไม่ต่างจากการทำ project ที่ผ่านมาเท่าไร รวมไปถึงที่เคยประสบเองในการทำprojectของปีต่ำๆลงมา เวลาไปถามท่านอาจารย์หลายๆท่าน เหมือนท่านจะเลี่ยงๆไม่อยากตอบเพราะไม่ได้เป็นอาจารย์ประจำกลุ่ม ทั้งๆที่ท่านเหล่านั้นเคยบอกว่า ช่วงเรียนนี้มีอะไรให้รีบถาม ถ้าจบไปถามจะคิดตังค์ เลยอยากจะถามว่า การที่นิสิต(ไม่เน้นแต่วิทยานิพนธ์)จะไปถามอาจารย์ที่มีความรู้เฉพาะในด้านนั้นๆ จะเป็นการข้ามหน้าข้ามตาอาจารย์ประจำกลุ่มหรือไม่ แล้วถ้าเป็นจะให้นิสิตทำอย่างไรเพื่อให้สามารถทำงานได้มีประสิทธิภาพสนองอาจารย์ทุกท่านได้มากที่สุด นอกจากการค้นคว้าเองที่ผมคิดว่า บางครั้งก็ไม่สะดวก และชัดเจนเท่าปรึกษาผู้มีประสบการณืโดยตรง


โดยคุณ : ปี4เตรียมThesis - [ 5 มี.ค. 2544 , 12:11:42 น. ]

ตอบ...เป็นการเสียหน้าหรือไม่? คงไม่มีการเสียหน้าอะไรกันหรอก เพราะปกตินักวิชาการ ก็มักชอบฉีกหน้ากันอยู่แล้ว เพราะต่างนึกว่าตัวเองฉลาดกันเสียเต็มประดา หรืออาจถือว่าเป็นการกลั่นกรองแก่กันและกันก็ได้การข้ามหน้าข้ามตาไม่ต้องเป็นเรื่องที่ต้องเกรงใจกันเลย อาจสนับสนุนให้มีเสียด้วยซ้ำไป..ว่าแต่ขยันจะปรึกษาจริงๆเหร้อ

ตอบ..ควรบังคับการปรึกษาหรือไม่?ผมเคยเสนอ (กับใครก็ไม่รู้)หลายหนแล้วว่า ไม่ต้องไปกำหนดนิสิตต้องไปปรึกษากับใครเป็นกลุ่มใดเฉพาะ ปล่อยให้เป็นไปตามอัชฌาสัยไปปรึกษาเทวดาที่สวรรค์ไหนก็ได้ แต่ถ้าเป็นสวรรค์ที่คณะเรา ก็ต้องบังคับให้ได้ว่า ถ้ามีเทวดาคนใดที่นิสิตต้องการปรึกษาก็ต้องเอาปืนจ่อหัวต้องให้คำปรึกษา (เพื่อกันเบี้ยว) เพราะถ้าเทวดาคนนั้นยังต้องการเอาเงินเดือน (ที่มักดูแคลนว่าน้อยนิด แต่ยังทะลึ่งไปเบิกเอาอยู่ดี) จึงต้องให้บริการเรื่องนี้ ยิ่งโดยเฉพาะ กับเทวดาบางคนที่ฝันว่า จะมีนิสิตจบแล้วไปปรึกษา และยอมเสียสะตังค์ให้ด้วย ต้องคุมกันให้เข้มๆ ส่วนเทวดาภายนอกก็ให้บุพการีของนิสิตคุมเอง จ่ายเงินเอง..........สรุปก็ไม่ว่ากันจะปรึกษาหรือไม่ปรึกษาใครก็ตามที

ตอบ..การให้คำปรึกษา+การแนะนำ+การชี้ทางเท่าที่พยามยัดเยียดคำปรึกษาแนะนำให้นิสิตก็มักไม่เชื่อกัน นิสิตมักเอาหูทวนลมกันบ่อยเพราะคิดว่าตัวเองก็ฉลาดเหมือนกัน หรือไม่ก็แนะนำอะไร ที่ไม่มีใครเข้าใจได้ หรือทำไม่ได้เลยก็มี หรือแนะนำอะไรไม่เห็นเข้าท่าน่าเชื่อได้ ก็มีซึ่งถ้าไม่มีการบังคับด้วยคะแนน ผมว่าระบบให้คำปรึกษาวิทยานิพนธ์สูญพันธ์แน่นอน..เพราะถ้ามีแต่เทวดาชอบติ ไม่แนะ และบอกทางขึ้นสวรรค์ การถ่อสังขารไปปรึกษาก็เสียเวลาเปล่าๆ
ตอบ..การจำกัดคำถามในการวัดผลเพราะมาตรฐานการวัดขั้นต่ำ มันไม่เคยลองกำหนดกันให้ชัดเจน เช่น ลองกำหนดว่าการเขียนแบบงานวิทยานิพนธ์ ในแบบที่ไม่แสดงช่องเปิด ต้องทำไม่ได้ หรือใส่รางน้ำไม่ถูกหลักโครงสร้าง หรือขนาดเล็กไม่พอระบาย ต้องได้F สถานเดียว ความคิดล้าสมัย โบราณกาเลต้องไม่แอบส่งเสริม ต้องขจัดความคิดตะกละตะกรามเกินเหตุ ของผู้ออกแบบ ที่ไม่ยอมเว้นที่ว่างให้สาธารณะ หรือยึดครอง ครอบครองหาดทราย หรือทรัพย์สินสาธารณะประโยชน์ของส่วนรวม ไม่เอาใจใส่อาคารข้างเคียงไม่สนใจมลภาวะของอาคาร ที่ไปทำให้สิ่งแวดล้อม หรือระบบนิเวศวิทยาเสียหาย เพราะไม่สนใจว่ามันคืออะไร ไม่มีใครเคยสอนไว้ในห้องเรียนไม่ตระหนักที่จะใช้พลังงานทดแทน ในที่ๆไม่มีพลังงานหลักมาประเคนให้ไม่ได้ หรือถ้ามีก็คอยแต่สวาปามแค่ตัวเองจนเกินเลย เพราะเผอิญเกิดมาเป็นเปรตมือยาวกว่าคนอื่น หรืออื่นๆ ฯลฯ(ต้องหยุดเพราะชักเกิดอารมณ์บูดแล้วละครับ) ก็ต้องขจัดความ(ไม่)คิดพรรค์นี้อย่าให้ได้ผุดได้เกิด หรือ แม้แต่การออกแบบเอาใจแต่ห้องเจ้านาย ปล่อยให้ห้องคนงานหรือห้องภารโรงไม่มีหน้าต่างให้หายใจ เป็นพวกศักดินาสุดๆ ต้องให้ F สถานเดียวหรือจะเอาถึงขั้นติดแอร์กี่ตัน ห้องถึงจะเย็นเยือก(โดยไม่แคร์ว่าอาคารจะดูเชย) และอื่นๆอีกมากมายพะเรอเกวียน ก็ต้องตกลงกันให้ชัดแจ้งไปเลยจะได้ลงดาบฟันตอน jury แบบซาดิสท์ได้สบายใจโดยไม่กลัวบาป เพราะตกลงกันก่อนแล้ว..หรือไม่เอาอย่างที่ครูประชาบาลบอกไว้ก็ดีนะ

ตอบ...กำหนดขอบเขตของปัญหาการออกแบบเมื่อกำหนดมาตรฐานขั้นต่ำได้แล้ว ก็ต้องจำกัดโครงวิทยานิพนธ์อย่าให้เว่อ ใหญ่โตมโหฬาร คลุมปัญหาที่ต้องคำนึงถึงมากมาย อีกทั้งโครงการใหญ่ๆ อาจเป็นการชี้ช่องให้โดนถลุงถามกันจนงงได้ง่ายกว่าโครงการเล็กๆ ที่มีขอบเขตปัญหากำหนดชัดเจน เช่น โครงการวิทยานิพนธ์ ออกแบบส้วมสาธารณะ โดยไม่ต้องตามแก้ปัญหาเลยไปถึง จะเอาอุจจาระ หรือปัสสาวะ ในบ่อเกรอะ-บ่อซึมไปใช้ทำปุ๋ยชีวภาพ อย่างไร หรือที่ไหนต่อไป เป็นต้น คือต้องกำหนดเพดานความสูงส่งของคำถามไว้ด้วยเหมือนกันนะ ไม่งั้นเจอคำถามเทวดา ก็จะยังยุ่งๆและงงๆอีกอยู่ดี

ตอบ..เอาคุณภาพหรือปริมาณเผอิญสังคมไทยทุกวัน เน้นความเป็นปริมาณมากกว่าคุณภาพ เพราะคนมันมากจนจะล้นโลกการเรียนก็เป็นแบบ อัดหรือแย่งเป็นปลากระป๋องส่งนอก ปลาเน่าปลาดี กระป๋องมีสนิม บุบๆเบี้ยวๆก็ต้องยัดส่งออกจากคณะให้เร็วสุดๆเท่าทีทำได้กระป๋องกับปลาก็เปรียบเหมือนอาจารย์ที่ปรึกษากับนิสิตที่ทำวิทยานิพนธ์ ต่างไม่อยากเข้าใกล้กันเท่าไรถ้าไม่เชื่อ ลองเลิกบังคับให้คะแนนซิ รับรองต่างคนต่างอยากเรียนอยากสอนคนเดียว เพราะปรัชญาแห่งการเรียนรู้ด้วยกัน และความเป็นสังคมแห่งความเป็นกัลยาณมิตร ไม่มีใคร get กันให้เมื่อยตุ้ม

ตอบ...การคัดเลือกคนปรึกษาและคนให้การปรึกษาเวลาเอาปลา (คนปรึกษา) มาแรกๆ ก็มีการคัดกันเป็นวรรคเป็นเวรแต่พอมาปรุงกันจนจะได้ที่ ไงถึงยังเจอเน่าตอนจะอัดกระป๋องส่งออก ส่วนด้านเจ้าเครื่องทำกระป๋อง(คนให้การปรึกษา) ใส่ปลา ทำทีไรกระป๋องเองก็บุบๆเบี้ยวๆทุกที แถมบางกระป๋องเพิ่มสนิมไปผสมโรงอีกต่างหาก พอตอนตรวจสอบคุณภาพสุดท้าย รสชาดปลา+กระป๋องไม่ดี ไม่มีรสชาดถูกปาก กระป๋องบุบ เจ้าปลาก็โทษกระป๋อง เจ้ากระป๋องก็โทษปลา ผมว่าบางทีคงต้องเลิกกิจการ เปลี่ยนโรงงาน จากทำปลากระป๋องเป็นโรงงานทำ พิชโช่กรอบใส่ซองละกัน ฉีกก็ง่ายเคี้ยวก็ง่าย ดีกว่าทำปลากระป๋องเดิมเป็นไหนๆ...สมัยนี้...เขา (ชาวเขา) ทันสม้ายกันแหล้วว...(ตัวอย่างไม่เห็นจะเกี่ยวกันเล้ย...เวรกรรมจริงๆ)

จบชั่วคราวจาก…เพื่อนอาจารย์

ตอบ...เรียนวิชาออกแบบ sk.d ยังไง...ที่ไม่ต้องได้คะแนน เอฟ


๑. พยายามนำเสนอความคิด ให้ใครๆรู้ให้ได้ว่าเรามี ความคิดที่ดีๆตามหลักวิชาที่ร่ำเรียนมา บวกการ มีคุณภาพของความคิดสร้างสรรค์อยู่บ้าง

๒. ตีความต้องการของโปรแกรมให้เข้าใจ ประเด็นความสามารถ ทางสถาปัตยกรรม อยู่ตรงไหน จะเน้นอะไร

๓. โชว์ทักษะการนำเสนอ ที่เคยฝึกฝนมา ให้สุดๆ ฝีมือการเสก็ตการเขียน ต้องมั่นฝึกฝน เช่นสังเกตผลงานเพื่อนๆที่ฝีมือเจ๋ง ได้คะแนน A บ่อยๆ

๔. แสดงความตั้งใจการเรียน การทำงานออกแบบของเราให้ได้ ให้อาจารย์ท่านซึมทราบให้ได้ ใช้มือเขียน สมองคิดๆๆๆ.. อย่าให้ผลงานดูเหมือนใช้เท้าช่วย เขียน ทำงานรีบๆ เหมือน นั่งรีบๆ..ขี้ๆๆในส้วม เสร็จแล้วสะบัดก้นหนี น้ำก็ไม่ตักราดขี้ ก่อนออกมา

ผมว่าถ้าพยายามทำได้อย่างที่แนะนำมา ก็ไม่น่าจะจะได้เกรดต่ำกว่า C-A หรือมีปัญหาอะไรมากมายนะครับผมเคยระบายเรื่องนี้มายาวๆ ในกระทู้ก่อนๆ ลองไปอ่านดู และคิดๆๆๆกันดู..พยายามมองปัญหาภายใน..อย่าพะวงปัญหาภายนอก ที่เราอาจบงการอะไรไม่ค่อยได้มากนัก...เชื่อผมเถอะ...pleaseeeee!!!

เมื่อเขาไม่ชี้แนะ ก็นึกเสียว่า ครูเป็นใบ้ ลองมองตาครูแทน มองใจได้ยิ่งดี ถ้ามองอะไรไม่เห็น ก็เป็นคนชี้แนะตัวเอง อย่าหวังพึงอะไรจากคนอื่นทุกอย่าง..นึกเสียว่าครูเป็นแค่เพื่อน เพราะเราไม่ค่อยเคารพครูเท่าไรนัก ไปเตะบอล ถ้าไม่เรียนรู้อะไรด้วยตัวเอง ก็เตะไปเสียแรงเปล่าๆ เป็นนักเตะบอลฮ่วยๆ ก็ไม่มีใครจ้างเล่น เพราะไม่มีใครดู ของบางอย่างไม่รู้จะตอบให้เปลี่ยนความคิดได้อย่างไร ก็ต้องปลอบใจ ให้เปลี่ยนทัศนะคติใหม่ โลกใหม่ที่สดใสกว่าก็มีให้เห็นได้ มีคำถามที่พระพุทธเจ้าไม่ตอบ เช่นภิกษุมัวถามว่า คนเราตายแล้ว ไปไหนเอ่ย เพราะรู้เป็นคำถามที่ไม่เกิดประโยชน์ ไม่เอาจิตอยู่กับปัจจุบัน ทั้งๆที่ท่านสอนเรื่องการเวียนว่ายตายเกิด สำหรับคนที่ยังมีกิเลส ก็ดันทุรังถามอยู่ได้ ...หนอยอดีตยังลืม ปัจจุบันยังเผลอ.. ริอยากรู้อนาคต...ว่าเข้านั่น

ก็ยังตอบไม่ตรงอยู่ดี....ใช่ปล่าวครับ รู้สึกวันนี้มีอารมณ์ อยากเถียงจัง เห็นต้องพอไว้ก่อนนะ..สำหรับวันนี้


จาก…เพื่อนอาจารย์

ตอบ ผมเคยบอกแล้วว่า สมัยเด็ก ผมชอบฟังคน (ผู้ใหญ่)คุยกัน เถียงกันในร้านกาแฟ มันอาจได้ความรู้และการเข้าใจชีวิต ที่จะช่วยนำทางผมได้บ้างในอนาคต

เรื่องคุยกันที่นี่ ผมมีความตั้งใจว่า ประสบการณ์ส่วนตัว และมุมมองปัญหา ของผมอาจช่วยนิสิต ตัดความกังวลใจบางอย่างลงได้บ้าง เปลี่ยนทัศนะคติ ให้มีผลดีกับตัวเอง จิตใจจะได้เป็นสุข สิ่งดีๆจะได้เกิดขึ้นกับตัวเราอยู่เสมอ...อีกทั้งยังคอยเตือนตัวผมเองด้วย ว่าคนอื่น โดยเฉพาะนิสิต เขามองเราอย่างไรบ้าง...นี่เป็นสิ่งที่ผมคิดว่าจะเป็นประโยชน์

ปัญหาบางอย่างมันตอบกันตรงๆ ไม่ง่ายนัก เหมือนบางทีเราคิดแบบในปัญหาใดปัญหาหนึ่ง มันไม่ชอบ ถูกใจ ตัดสินใจเลือกลำบาก บางที่จำเป็นต้องทวนปัญหา หรือปรับเปลี่ยนปัญหานั้นเสียใหม่ โอกาศของมุมมองปัญหา และการแก้ไข อาจเกิดทางเลือกสำเร็จใหม่ๆได้...นี่คือที่ผมพยายามเตือนในที่นี้

การเปลี่ยนแปลงทัศนคติ attitude changeเป็นการศึกษาที่ผมสนใจ เคยอ่านบทความทางวิชาจิตวิทยา เกี่ยวกับเรื่องนี้บ้าง สนุกดี ผลทางวิชาการเรื่องนี้ มีการนำไปใช้ในงานอาชีพโฆษณามาก เรื่องทัศนคติ ถ้าเราไม่ระวัง บางทีมันกลายเป็น โมหะ หรือ ความหลง เป็นอกุศลจิตได้นะครับ

ความกระตือรือร้น ในการคิดอยากปรับปรุงเปลี่ยนแปลงสังคม ที่ตนเองเกี่ยวข้อง ผมว่าเป็นเรื่องที่ดี ทุกคนควรเอาใจใส่ แต่ยุทธวิธี ในการดำเนินการ ผมว่าจำเป็นต้องทำให้ถูกกาละเทศะ ต้องมองผลกระทบ และตัวแปรอื่นให้รอบด้านด้วย อย่าใช้อารมณ์ที่เกิดจากตัวเรา เป็นบรรทัดที่เคร่งครัดจนเกินไป ผลการกระทำอาจไม่เกิดดังที่เราประสงค์ได้ ไม่มีใครอยากคิด และทำงานร่วมกัน ด้วยความโกรธต่อกันและกัน แต่ถ้าปรับกันให้เกิดความรัก และเอื้อาทร ต่อกันได้ อะไรมันก็จะง่ายไปหมด ทัศนคติที่ไม่ดี บางทีมันก็เปลี่ยนแปลงไปได้...ต้องใช้ความรักเป็นอาวุธสำคัญในการสร้างสังคมใหม่ที่ดีของเรานะครับ

ผมเข้ามาเป็นอาจารย์ ตอนช่วง ๑๔ ตุลา และ ๖ ตุลาต่อมา ชีวิตนิสิตและอาจารย์ช่วงนั้น สับสน ชุลมุน วุ่นวายมากๆ วันเกิดเรื่องราว นิสิตหลายคน คุยกับผมด้วยน้ำตา และความโกรธ บางคนบอกลา หลัง ๖ ตุลา เพื่อเข้าป่าจับปืนต่อสู้ เดี๋ยวนี้เป็นอย่างไรก็ไม่ทราบ (เผอิญผมมีนิสัยเสีย ไม่ชอบจำชื่อนิสิต เพราะกลัวมีอคติ ตอนกรอกคะแนน เดี๋ยวนี้เลยไปกันใหญ่ เจอหน้านิสิตเก่าจำได้ แต่นึกชื่อไม่เคยได้...ชาตินี้เป็นนักการเมืองยากแน่..)..หลายต่อหลายคน ผมเคยแนะว่า น่าจะเลือกการต่อสู้ที่เราถนัด มิฉะนั้นอาจพลาดพลั้งได้ง่าย การต่อสู้ทางปัญญา ผมว่าเสียหายน้อยที่สุด และเป็นการต่อสู้กับจิตของเราเองด้วยในเวลาเดียวกัน อย่ากลัวว่าเราจะเป็นเหยื่อ โดนหลอม ของความไม่ดี ไม่ถูกต้องของสังคมขณะนั้น เพราะถ้าจิตของเรามีกุศลจิตที่แท้จริง ผมว่าเราต้องหนักแน่นให้ได้ ถ้าแน่ใจว่าสิ่งที่เราจะทำถูกต้อง และเป็นธรรมต่อผู้อื่น ไม่ใช่เพื่อตัวเราเองเท่านั้นพอ ก็เหมือนพระพุทธเจ้าเอา ชนะ องคุลีมาล และเทวทัตได้ ก็ด้วยปัญญาและบารมีที่ท่านสั่งสมมา..นั่นแหละ

ทำความเข้าใจกับ ธรรมชาติ และปรากฏการณ์ของแต่ละสิ่งที่เราเผชิญปัญหา ให้รอบคอบและประณีต เลือกโอกาศและยุทธวิธี ที่เหมาะตามศาสตร์ปัจจุบันที่บันทึกไว้ให้อ่านให้ศึกษา แล้วนำมาใช้เมื่อเรามีโอกาสหน้าที่ ที่ต้องรับผิดชอบ ชนะแก้ปัญหาได้ ก็ดีไป ไม่สำเร็จ ก็นำกลับมาทบทวน แล้วพยายามใหม่เมื่อมีโอกาสอีก ไม่ได้ชาตินี้ ก็รอชาติหน้า...ก็ต้องคุยอย่างนี้ เพราะความรู้อาจเรียนทัน หรือเรียนเลยกันได้ แต่บารมี ความดี กุศลจริต สะสมกันมา ไม่เท่าเทียมกัน ก็ต้องยอมรับ ตามหลักพุทธศาสนาที่บันทึกไว้นะครับ

ผมเอ่ยเรื่อง skd ที่คุยกันนี้กับอาจารย์อื่น เมื่อวานนี้ ทำให้นึกถึงอาจารย์เก่าหลายคนที่ผมเจอมา โดยเฉพาะในคณะเรา คือท่านอาจารย์แสงอรุณ รัตตกสิกร หรือ "ครูแสง" ที่นิสิตแทบทุกคน ทึ่ง รัก และเคารพท่านมาก แม้ท่านล่วงลับไปแล้ว แต่หลายคนยังระลึกถึง และยังประทับใจท่านเสมอ...มันแปลกตรงที่วิธีการให้เกรด เป็นอารมณ์สุดๆ หาเหตุผลกันไม่เจอ (ตามที่ลูกศิษย์อย่างผมเข้าใจนะ) เหมือนที่คุณกังวลใจ และอยากให้ได้เหตุผลจะแจ้งสุดๆ ตอนนี้ ...แต่ตอนนั้นไม่มีใครข้องใจอยากทราบ หรือพยายามตอแยท่านเลย..ผมคนหนึ่งที่ไม่เคยสงสัยอะไรท่านเลย หากแต่ ศรัทธา และยอมรับสิ่งที่ท่านทำกับนิสิต ทั้งนั้น เพราะผมแน่ใจว่าท่านรักการศึกษาสถาปัตยกรรม และคนเรียนสถาปัตยกรรมทุกคน...ท่านทำให้ผมเกิดรสชาดในการเรียนการสอน ตั้งแต่แรกที่เข้าเรียนคณะนี้ และขณะนี้ ...ผมอยากสรุปว่ามันเป็นเพราะบารมีของท่านจริงๆ

คุณแต่ละคน ก็ควร และมี ความทรงจำที่ดีของครูเก่า กรุณาเก็บมันไว้เมื่อเราเจอครูคนอื่น เอาจิตใจและศรัทธาที่มีต่อท่านนั้น มา เผื่อแผ่ให้กับครูอื่นที่เรายังไม่ถูกใจนัก ผมว่าแค่นี้ก็พอ ทำให้ เราอาจเปลี่ยนแปลงทัศนคติเก่าได้นะครับ....อย่าบอกผมนะว่า ในชีวิตคุณไม่เคยเจอ สิ่งดี และครูดีนะ...ถ้าไม่มี ผมว่าคุณมีปัญหาที่ตัวเอง ต้องแก้ไขโดยการสร้างบารมี ต้องเข้าวัด หรือบวชเรียนพุทธศาสนา หรือศาสนาอื่นใด ให้มากๆ และหนักๆด้วยในชาตินี้ก่อน...แล้วจึงค่อยกลับมาเกิดใหม่ แล้วเรียนวิชา skd ต่อไป..ถึงตอนนั้น อะไรที่ดีๆ เป็นสุข ก็จะเกิดขึ้นแน่ๆ

ก็ขอระบายความในใจมาอีกยาวนะครับ


จาก…เพื่อนอาจารย์

ตอบ อ่านแล้ว สบายใจ ชื่นใจ ในความคิด และนับถือยิ่ง (ไม่ใช่เพราะมาเยินยอผมนะ..โปรดอย่าไว้ใจใครด่วนนัก เพราะเขาคนนั้นอาจเป็นพ่อมดก็ได้) ในผลผลิตบางส่วนที่เกิดจากสถาบันนี้ ผมสังเกตหลายต่อหลายคนว่า เบ้าหลอม (ซึ่งไม่ควรมีเบ้าหลอมกันเลย) บางครั้ง มันเปลี่ยน หรือบดบัง ศักยภาพที่มีอยู่ในแต่ละคนไม่ได้เลยจริงๆ หลายต่อหลายคน ไปประสพความสำเร็จในบทบาทอื่นๆ ทั้งที่ไม่ได้เรียนรู้สิ่งนั้นโดยตรง นี่เป็นความหลากหลายในวิชาสถาปัตยกรรม ที่บางอาชีพ เหมาว่า บ้าๆบวม หาจุดสรุปชัดๆไม่ได้ แม้ในหลักสูตร หรือความคิดอาจารย์ มันทำให้ผมค่อนข้างแน่ใจว่า การเรียนรู้ของเรานั้น องค์ประกอบของสถาบัน และครูนั้นเป็นเพียงส่วนหนึ่ง แค่เสี้ยวเดียว..นิดๆ..ที่สร้างสติปัญญาแต่ละคนเท่านั้น ไม่ใช่ทั้งหมดเลย

ผมปรารถนาอยากให้นิสิต เป็นว่าวที่ติดเครื่องยนตร์ หรือมีพลังอื่นใด เป็นของตัวมันเอง ส่งให้ลอยไปได้โดยไม่ต้องอาศัยลมจริงๆ เพราะลมนั้น มีหลายแบบ บางทีก็พัดเอื่อย ไม่มีแรงส่งว่าวให้ลอยพอ บางที่ก็พัดแรงเป็นพายุอุตลุด ทำให้ว่าว สับสน หมุนติ้ว จนหัวว่าวปักลงดิน หรือสายป่านขาด ไม่รู้ลอยไปไหน....ประเด็นคือว่า แล้วเครื่องยนตร์ หรือพลังอื่นที่มีติดว่าวแต่ละคน มันอยู่หนใดฤา...ตอบไม่ได้...กำลังแสวงหาอยู่ครับ..แม้ว่ายังหาไม่พบ แต่พยายามทำตัวเอง ไม่ให้เป็นลมบ้าหมูก็พอแล้ว..จริงไหม

ศาสตร์ทั้งหลาย เป็นเพียงการแยกชนิด เพื่อปรุงแต่งโลกนี้ให้ดูดี (ตามโมหะจริต) สุดท้ายก็ต้องไปรวมอยู่หนึ่งเดียว คือศาสตร์แห่งชีวิต เพราะว่าเรียนวิชาใด แล้วไม่ส่งผลดีต่อชีวิต ทำให้เป็นกุศล หรือเกิดกุศลจิตได้ ผมว่าเป็นศาสตร์ฮ่วยแตกทั้งเพ

เรื่องสาขาแลนด์เสคป หรือสถาปัตยกรรม หรือสาขาอื่นในคณะนี้ ที่ไม่ได้เอ่ยมา ผมคิดว่าไม่น่าต่างอะไรกันในเนื้อหา ยกเว้นเรื่องรูปเท่านั้นเอง สูงสุดแห่งเป้าหมายเดียวกัน คือการจรรโลงให้มนุษย์ใช้ สภาพแวดล้อมเหล่านี้ เป็นพาหะแห่งการพ้นทุกข์ได้อย่างไร..แสงเงาที่ระเบียงโรงเรียนที่เราประจักษ์ ก็เกิดขึ้นได้ท่ามกลางแมกไม้ หรือแม้แต่ห้องที่หลังคา หรือผนังมีรู ก็ได้นะครับ...ความประทับใจใดๆ เขา (ผู้รู้บางคน) โม้กันว่า เป็นสิ่งที่พระผู้เป็นเจ้า ประทานให้แต่ละคน ไม่เหมือนกัน แต่น่าจะแลกเปลี่ยนแบ่งปันกันได้..ท่านผู้ให้คงยินดีแน่

การเขียนเล่าสู่กันฟัง เป็นอีกมิติที่น่าสนใจ ในการสื่อ หรือระบายความคิด ผมว่ามันต่างรสชาดจากการพูดคุยปกติ... เขียนคุยกับคนรักที่เรารู้จัก มีรูปวางตรงหน้า ก็อีกรสชาด เขียนคุยกับคนที่เราไม่แน่ใจว่ารู้จักหรือป่าว แต่คุยกันได้ แลกเปลี่ยนความคิดแก่กันและกันได้ ก็เป็นรสชาดที่ยิ่งแปลก..นี่แหละคือโลกที่น่าสนใจ ของ ไซเบอร์สเปส ที่ผมว่าไม่น่ามองข้ามนะครับ..วันก่อนอ่านบทความและวิธีการสอนสถาปัตยกรรม ผ่านทางอินเทอร์เนต ของ อาจารย์ ท่านหนึ่ง ชื่อคล้ายคนจีน เน้นความคิดของการออกแบบ โดยสื่อทางการเขียนภาษา อย่างเดียวล้วนๆ ..ผมสนใจเรื่องนี้ เพราะคิดว่าน่าจะเปลี่ยนมิติการคิดที่เราเคยชิน หรือค่อนข้างจะตันแล้ว หรือยังหาทางออกใหม่ๆไม่ได้...ยังไม่รู้จะเริ่มลองที่ตรงไหนดี ด้วยความหวังว่า อาจทำให้นิสิตบางคน เจอพลังของตนเองแทนลมว่าวอย่างเดิมๆ

ก่อนจบขอแถมอีกนิด..สมัยที่เป็นนิสิตในสถาบันนี้ ผมสังเกตเห็นว่า ที่นี่เป็นสถาบัน ทำเบ้าหลอม เพื่อที่จะสอนให้นิสิตยอมรับ และมีความอดทนที่จะอยู่สบายๆในเบ้า .. แต่ก็มุ่งหวังเป็นนัยๆ เพื่อการแย้ง (กระทืบเบ้า หรือกระดอง) ในอนาคต เมื่อจบออกไป..ผมเลยยังไม่แน่ใจว่า ถ้าเราเริ่มการแย้งกันแล้วในวันนี้ ตอนเป็นนิสิต ต่อไปภายหน้าเราจะแย้งอะไรอีก หรือแย้งไปจนตลอดชีวิต แล้วไม่เคยยอมรับอะไรเลย ผมว่าเราอาจพลาดโอกาศ หรือของดีๆ ไปได้เหมือนกัน... โปรดอย่าไว้ใจตาเรา หรือความคิดเราเองด้วย เพราะบางครั้งมันก็มั่วๆได้เหมือนกันนะครับ

ผมก็เคยประชดเรื่องในทำนองนี้กับนิสิตเหมือนกัน....แต่ตามสภาพความจริงในปัจจุบัน ก็คงเป็นไปไม่ได้ ตราบใดที่ ยังมีผู้เลือกเรียนสถาปัตย์ ตอนสมัครสอบเอ็นทร้านซ์เข้ามหาวิทยาลัย
ข้อดีในการตั้งกระทู้นี้ ก็ตรงที่ การหันมาหยุดมองตัวเอง ทบทวนบทบาทที่ตนเองเลือกใน การเรียนรู้ และการประกอบอาชีพนี้ ซึ่งเป็นสิ่งที่ชาวพุทธควรกระทำเป็นปกตินิสัย อยู่เสมอๆ

การล้มกระดานแล้วกลับไปเริ่มต้นใหม่ ก็ไม่แน่ใจว่าทำได้ หรือมีผลดียั่งยืนนัก ก็เหมือนการทำรัฐประหารในทางการเมือง ที่ล้มเหลวมาแล้ว..ประเด็นที่น่าถูกต้อง คือการเสริม การมีส่วนร่วมของประชนทางการเมือง หรือส่งเสริม การมีส่วนร่วมของประชาคมทางการศึกษาด้วย

โรงเรียนเคยเริ่มต้นจากการเรียนในวัด ที่จริง เป็นการเริ่มต้น ของการสร้างคุณค่าตรง ที่ต้องเรียนรู้ทางจริยธรรม คู่ขนานกับการมีความรู้ในเรื่องทั้งหลาย แต่เมื่อเวลาล่วงเลยมา ก็มีการกลายพันธ์ จนเรื่องคุณธรรมไม่เน้น ให้ชัดแจ้งกันนักในมหาวิทยาลัย ซึ่งคงอาจถือเป็นเรื่องที่ผู้เรียนและผู้สอนต้องตระหนักเป็นธรรมชาติอยู่แล้วก็ได้....แต่ผลที่ปรากฏ คือเกิดข้อครหาในปัจจุบัน หรือเรื่องที่ต้องขุด เอามาย้ำเตือนกันให้แน่ใจอีกกันบ้าง

มองในแง่ดี ส่วนหนึ่งเป็นความกังวลที่เกิดขึ้น จากผลการศึกษามันไม่สะท้อนความดีงามจากผลของอาชีพนี้เท่าที่ควร...เพระหวังสูงในทางอุดมคติมากเกินไป...ก็ได้... แต่ถ้าความกังวลนี้มีมากเข้าๆ ก็อาจทำให้เราต้องทบทวน ทั้งเนื้อหาที่ศึกษา และการปฏิบัติจัดการในการศึกษาในคณะนี้ ที่ต้องปรับปรุงพัฒนากันแน่ๆ

ตอนนี้ที่คณะเราก็พยายาม เพิ่มครูทั้งอาชีพและสมัครเล่นเข้ามามีส่วนร่วมมากขึ้น ผมว่าเป็นสิ่งดีทีเดียว ที่ทำให้สถาบันนี้เป็นส่วนของประชาคม หรือ ให้เกิดมีความรับผิดชอบของทุกคนมากที่สุด เท่าที่ผู้บริหารพึงกระทำได้

ส่วนในการเรียนนอกระบบ ผมว่าก็เป็นอีกทางเลือกอื่น ที่จะช่วยเสริมกันและกัน อย่างเช่นระบบการเรียนรู้ของ มหาวิทยาลัยเที่ยงคืน ซึ่งผมสนใจ และคิดว่า พวกเราน่าจะลองเสริมในทางเลือกใหม่นี้ด้วย เพราะเครื่องมือทางเทคโนโลยี มีอำนวยให้พอกระทำได้ เช่นเว็ปบอร์ดนี้ ก็อาจถือเป็นจุดเริ่มต้น ของการจุดประกายความคิดเห็นที่ดี มีประโยชน์ใหม่ๆได้...ซึ่งในหลายๆทางเลือกที่มีขึ้น ก็จะทำให้ของเก่าที่มีอยู่เดิม ก็จำเป็นต้องพัฒนาให้ดีขึ้นได้ด้วย มิฉะนั้นก็ต้องเฉาตายไปโดยปริยาย.... สปิริตของโรงเรียนที่เกิดจากคนคุยกันใต้ต้นไม้ หรือ การเรียนแบบครูพักลักจำ ก็จะกลับมาอีก...หากแต่ในสภาพแวดล้อมที่ต่างกันก็ได้นะครับ...ขอเพียงแต่พวกเราอย่าสิ้นหวังเลยครับ


จาก…เพื่อนอาจารย์

กระทู้ถ้าชีวิตเราเหมือนภาชนะว่าง..จะเป็นแบบกระโถนหรือกระถางกันแน่

ท่าน ชยสาโรภิกขุ เป็นคนต่างชาติชาวอังกฤษ สนใจศึกษาพุทธศาสนามาก่อน เคยแสวงหาไปทั่วถึงอินเดียและเนปาล และเคยฝึกด้านโยคะสมาธิตัดสินใจบวชเป็นพระในบวรพุทธศาสนา และศึกษาธรรมกับท่านอาจารย์ชา แห่งวัดหนองป่าพง อุบลราชธานี เดินทางมาถึงเมืองไทยโดยมีเงินเหลือเพียง ๒๐๐-๓๐๐ บาท เพราะไม่ต้องการมีสตางค์กลับไปบ้านที่อังกฤษอีก และต้องอยู่ศึกษาและเป็นพระที่วัดนี้ไม่น้อยกว่า ๕ ปี เพื่อทดสอบว่ามีบารมีพอที่จะรักษาพรหมจรรย์ในชีวิตพระได้ตลอดรอดฝั่งหรือไม่ บัดนี้ท่านศึกษาและปฏิบัติธรรมจนร่วมนานกว่าสิบปีแล้ว ท่านพร้อมจะเป็นภิกษุไปตลอดชีวิตและดำเนินการเผยแพร่ธรรมเพื่อสันติสุขของชาวโลกสืบไป

นี่เป็นหนึ่งในข้อคิดหลายอย่างของท่านที่แสดงไว้..ดังความว่า

ชีวิตของเราก็เหมือนกับเป็นภาชนะว่างถ้าหากเราไม่สนใจไม่ตั้งใจในการฝึกฝนอบรมตนเอาแต่ของไม่สะอาดใส่ในกาย วาจา ใจของเราชีวิตของเราก็เป็นภาชนะว่างที่กลายเป็น "กระโถน"แต่ถ้าเราฝืนกิเลสของตัวเอง ไม่ทำตามกิเลสสนใจในการที่จะหล่อเลี้ยงชีวิตด้วยธรรมทำชีวิตให้เบิกบานโดยคุณธรรม มันก็เหมือนกับว่าเราตั้งภาชนะนี้ไว้ในที่ดีแล้วเอาดินใส่ เอาต้นไม้ใส่ รดน้ำพรวนดินเสร็จแล้วภาชนะนี้จะเรียกเป็นกระโถนไม่ได้ต้องเรียกว่าเป็น "กระถาง"

ความตอนหนึ่งจากธรรมเทศนา ณ จังหวัดอุบลราชธานีโปรดจดจำชื่อและติดตามงานคิดและปฏิบัติของท่านนะครับ

ขอคัดเนื้อหาธรรมของท่านมาให้ทราบอีก...ดังนี้

๑. ..........ชีวิตเป็นของไม่ยั่งยืนแต่ความจริงของชีวิตเป็นสิ่งไม่ตายเข้าถึงความจริงของชีวิตมากเมื่อไรก็ห่างไกลออกจากความตายมากเท่านั้น
๒....ธรรมของพระพุทธองค์เรียกว่าเป็น อกาลิโก (ไม่มีเวลา)เพราะคนที่ไหนก็ตาม เป็นคนชาติไหนวรรณะไหนก็ตามถ้าปฏิบัติตามคำสอนของพระพุทธองค์อย่างถูกต้องแล้วล้วนแต่สามารถเข้าถึงธรรมะได้ทั้งนั้น
๓.......การดึงจิตออกจากโลกกลับมาสู่ธรรมเป็นเนกขัมมบารมี เป็นเหมือนการออกบวชให้พวกเราหาโอกาสที่จะออกบวชทุกวันคือออกจากความโลภ ความโกรธ ความหลง จิตเป็นกุศลปล่อยวางสิ่งที่ไม่ดีไม่งามนั้นเป็นการออกบวช
๔.......วิปัสสนา คือความรู้แจ้ง เกิดในจิตที่สงบแล้วถ้าจิตไม่สงบมันอดยุ่งกับอารมณ์ไม่ได้เมื่อมันยุ่งกับอารมณ์ ไปถือกรรมสิทธิ์ในอารมณ์จิตไม่สามารถที่จะเห็นอารมณ์ตามความเป็นจริงวิปัสสนาไม่เกิดเงื่อนไขสำคัญของวิปัสสนาจึงอยู่ที่จิตใจที่ตั้งมั่นเป็นสมาธิ
๕......เธอทั้งหลายจงเจริญสมาธิภาวนาให้มากเถิดเพราะผู้ที่ทำสมาธิได้ดีแล้วย่อมรู้เห็นสิ่งทั้งหลายตามความเป็นจริง
๖....สติ เป็นตัวระลึกสัมปชัญญะเป็นตัวรู้ขาดสติแล้วก็ลืมลืมว่าเรากำลังทำอะไรอยู่ขาดสัมปชัญญะแล้วก็หลงไม่รู้ว่าอะไรเป็นอะไรอยู่ในปัจจุบันมีประโยชน์หรือไม่ควรเจริญหรือควรละ
๗....เราขาดสัมมาทิฏฐิ (ปัญญาอันเห็นชอบ คืออริยสัจ ๔) ข้อเดียวปฏิบัติเท่าไหร่ เราอาจจะไม่ได้ผล

หลวงพ่อชาบอกว่า....
เหมือนกับตักปลาในหนองที่ไม่มีปลา จะขยันหมั่นเพียรเท่าไหร่ถ้าไม่มีปลาอยู่ในที่นั้นความเพียรก็จะเป็นหมัน

๘........พุทธศาสนาเป็นศาสนาเดียวในโลกที่ยืนยันอย่างไม่หวั่นไหวว่ามนุษย์สามารถพัฒนาตนให้ถึงจุดสมบูรณ์โดยไม่ต้องอาศัยสิ่งนอกตัวทั้งสิ้น

๙....และ ๑๐...แจ้งในกระทู้ข้างต้นแล้ว

เดี๋ยวนี้คนตะวันตกเขา "ทันสมัย" แล้วโยมล่ะยังคงเก็บตกของ "ล้าสมัย" ของพวกเขาอยู่เหรอะ.....อนิจจา


จาก…เพื่อนอาจารย์

"ลูกศิษย์ฝรั่ง สอนไม่ยากหรอกดึงไปดึงมาเหมือนควายเดี๋ยวมันก็เป็นเท่านั้นแหละ"

คำปรารภของ ท่านอาจารย์ชา สุภัทโท

ที่มาส่วนหนึ่ง...ของอาชีพ..อาจารย์
สำหรับผม..เพราะอยากและชอบเรียนหนังสือไปตลอดชีวิต ตอนสมัครเป็นอาจารย์ ก็ตอบการสัมภาษณ์ เหมือนที่คุณถามมานี่ล่ะ..มีกรรมการท่านหนึ่ง สวนกลับมาว่า.."เฮ้ย สมัครผิดที่ละมั้ง คุณต้องมาสอนซิ"..ผมก็สู้สวนตอบกลับไปแบบไม่ได้ก็ไม่ได้ว่ะ..."ก็ถ้าผมไม่เรียนด้วย ผมจะเอาอะไรไปสอน..อ้ายที่เรียนทำโก้ได้ปริญญาเมืองนอกแค่สองปี..กลับมาสองสามวันเผลอๆ ก็หมดน้ำยาแล้วครับ"...โชคดีผมเถียงแบบน่ารัก..น่าร๊าก เลยแบบมั่วๆได้มากินเงินเดือนที่นี่...
ประวัติการเรียนที่นี่ของผม..คุณผิดคาดแน่ๆ..เพราะผมห่วยกว่าอาจารย์ทุกคนที่นี่เลยครับ...จึงเป็นบัญชาของสวรรค์ ที่ผมต้องมาแก้ทุกข์ที่นี่...ยังไม่รู้อีกนานเท่าไร ท่านถึงจะเรียกกลับไป พิจารณาอีกว่า จะอยู่ถาวรที่สวรรค์ คอยสอพลอท่าน (?)ใกล้ๆ หรือไปลงนรกให้พ้นหูพ้นตา...ก็ยังไม่รู้เลยครับ

เรื่องงานออกแบบ..อุปมาเหมือนพระในวัด เลยทำแต่ที่ในวัด ตามที่สมภารสั่ง พอมีค่า ม่าม่า ไว้แอบฉันตอนกลางคืนได้บ้าง จะไปทำอะไรนอกวัด ก็ขัดๆกับปัญญาที่มีของผม...คือรู้พระอภิธรรมยังไม่แจ้ง นักธรรมเอก ก็ไม่ได้ เทศน์ยังไม่ค่อยมีคนเชื่อ..ขนาดอยู่ในวัด ก็แค่นานๆครั้งเป็นแค่พระสำรองกิจ...จะคิดไปเปิดบริษัทเทศน์นอกวัด..ก็บ้าจี้ซิคุณ...เลี้ยงลูกสองคนที่บ้าน (สึกแล้วนะ) ก็หืดขึ้นคอ เลี้ยงเพิ่มลูกๆ (นอกกระดอง) ในบริษัทอีก มิพาลตายเร็วหรึ... ยิ่งพวกเราช่วยกันทำจนฉิบหาย จะเจ้งประเทศอยู่ลำมะล่อ...ผมว่าผมคิดถูกว่ะ

ด้วยความบกพร่องทางส่วนตัวของผมดังกล่าว...เลยต้องทำงานออกแบบเป็นงานอดิเรก..แบบพอกันไม่ให้ลูกศิษย์เหยียดหยาม...เรียนหนังสือ (หลอกว่าเป็นสอน) กับพวกคุณๆเป็นงานหลัก..ตอบมาให้แล้วนะ..อย่าไปโพนทะนา ให้ท่านสมภาร (กลับเข้าวัดแล้ว) รู้ล่ะเดี่ยวโดนจับสึก แบบหล่วงพี่ที่หนีเที่ยวคาเฟ่ในข่าว..นะหนูนะ...ว่าจะไม่ยาวแล้วเชียวตู (บ่น)ก็บอกไปแล้วไง...พ่อ russian เอ้ย..มีอารมณ์ขัน (ซึ่งก็ขันอยู่แล้ว) เสียบ้าง ผมเผ้าจะได้ไม่ร่วงเร็ว (แต่อาจต้องหงอก) คิดเป็นแบบนักเรียน และอยู่ในวัด ทำได้แค่ไหน ก็ดีแล้วทั้งนั้น ใครให้เกรดอย่างไร ก็ช่างประไร เป็นพระก็ต้องสมถะ พึงชอบในสิ่งที่ตนมีอยู่ คือมีสันโดษ ไม่ใช่อยู่อย่างโดดเดี่ยวนะครับ เทศน์ดี ภาวนาดี องค์พระปฏิมาท่านรู้ ไม่ต้องไปอวดใครหลอก เช่น สมภาร หรือสีกาที่คอยอุปฐากอยู่ หรือ ไปอวดอิทธิฤทธ์ ปาฎิหารกับ สามเณรน้อย (เจ้าปัญญาด้วย..ป่าวไม่รู้นะ) เช่นพวกคุณ ตอบส่งเดช หรืออวดส่งเดช เดี๋ยวก็กลายเป็นพระบ้า...โดนจับสึกเอาง่ายๆ...สามเณรฉลาดก็น่าจะใช้ปัญญาพึงมีเห็นได้...อย่าเอาเวลาไปคอยแอบจับผิด พระผิดศีลผิดวินัยเลย...เริ่มภาวนาของตนเองเลยดีกว่า ภาวนามากๆก็เห็นธรรมเอง..มีดวงตาเห็นธรรมเป็นของเราแล้ว...อะไรต่ออะไรที่เห็น มันก็มีเหตุปัจจัยของมันเองทั้งสิ้น...ใจเรามันเป็นธรรมชาติว่างั้นเถอะ..

ขออีกนิด...เอาอย่างสิทธาระถะซิ (งานเขียนของ Heman Hassa) ปรารภกับพระพุทธเจ้าว่า ที่ท่านอธิบายอะไรต่ออะไร นั้นครบถ้วนสมบูรณ์ แต่มีสิ่งหนึ่งที่ท่าน ตอบไม่ได้คืออะไรเกิดขึ้นใต้ต้นโพธ์ พระพุทธเจ้าวางเฉย...เป็นอุเบกขา (หมายตอบถึงหนทางการตรัสรู้ไม่มีเหมือนกันทุกคน คือทางใครทางมัน บอกให้กันและกันก็ไร้ประโยชน์) และแล้ว สิทธาระถะก็ลาออกจากบรรพชิต กลับไปเริ่มต้นใหม่อย่างคนธรรมดา เรียนรู้สรรพสิ่งต่างๆ จนมาสิ้นสุดลงเป็นคนแจวเรือจ้าง ที่เพื่อนคือ โควินทะ ยกเรือให้ เพราะตนตรัสรู้แล้ว พร้อมไปเป็นบรรชิต สุดท้ายสิทธาระถะแจวเรือไปๆ จะตรัสรู้และกลับไปเป็นบรรพชิต หรือไม่ โปรดไปหาอ่านเองนะ....หลวงพี่ขอเตือนสามเณรน้อยมาถ้วนหน้า...แล


จาก…เพื่อนอาจารย์

คุณธรรมของครูอาจารย์และผู้บริหาร...มีดังนี้

"ความมีกัลยาณมิตรและเป็นกัลยาณมิตรนี้เป็นคุณสมบัติที่เราต้องการข้อแรกทีเดียวเราต้องตั้งเป้าหมายว่าทำอย่างไรจะให้ชุมชนหรือสังคมของเรา เป็นชุมชนแห่งกัลยาณมิตรคือคนที่อยู่ในชุมชนทางวิชาการ เช่นมหาวิทยาลัยนั้นจะต้องเป็นกัลยาณมิตรต่อกัน คือ เป็นปัจจัย หรือสิ่งแวดล้อมแก่กันในทางที่เอื้อต่อกันในการศึกษาหรือในการพัฒนาทุกด้าน ครูก็เป็นปัจจัยเอื้อต่อการพัฒนาชีวิตของลูกศิษย์ครูอาจารย์เองด้วยกัน และลูกศิษย์ต่อลูกศิษย์ด้วยกัน ก็เป็นปัจจัยเอื้อต่อกันผู้บริหารก็เป็นปัจจัยเอื้อต่อการเจริญงอกงามของครูอาจารย์และทุกคนในชุมชน"

ความตอนหนึ่ง...จากหนังสือ "เพื่อชุมชนแห่งการศึกษา และบรรยากาศแห่งวิชาการ" โดย พระธรรมปิฎก ( ป. อ. ปยุตโต)

อัญเชิญ…พระราชดำรัส


ถ้าครูไม่ห่วงประโยชน์ที่ควรจะห่วง หันไปห่วงอำนาจ ห่วงตำแหน่ง ห่วงสิทธิ์ และห่วงรายได้กันมาก ๆ เข้าแล้ว จะเอาจิตเอาใจที่ไหนมาห่วงความรู้ ความดี ความเจริญของเด็ก ความห่วงในสิ่งเหล่านั้นก็จะค่อย ๆ ปั่นทอนทำลายความเป็นครูไปจนหมดสิ้น จะไม่มีอะไรเหลือใช้ พอที่ตัวเองจะภาคภูมิใจ หรือผูกใจใครไว้ได้ ความเป็นครูก็จะไม่มีค่าเหลือ อยู่ให้เป็นที่เคารพบูชาอีกต่อไป


พระราชทานแก่ครูอาวุโสในโอกาสเข้าเฝ้าฯณ พระตำหนักจิตรลดารโหฐานวันเสาร์ที่ 21 ตุลาคม 2531

การเรียนการสอนวิชา sk.d


ตอบ


ขอขอบใจจริงๆ ที่ชมและคุยมา..เลยขอเปิดใจอีก โดยยังไม่ทราบว่า เป็นจำเลยด้วยหรือปล่าว
ผมเชื่อที่ความรู้ และปัญญา ที่ทุกคนอาจเรียนทันและเลยกันหมดได้ เพราะบารมีที่สะสมกันมา อาจไม่เท่ากัน ด้วยเหตุนี้ จึงไม่มีศิษย์ และอาจารย์ ในความเป็นจริงทางการศึกษา ตามหลักพุทธศาสนา (ที่ผมเข้าใจ)


เรื่องวิชา skd ในความเข้าใจของผม เห็นว่า เป็นงานออกแบบเชิงปฏิบัติการ ในสตูดิโอ อย่างฉับไว คือเอาความรู้ที่เรียนและเข้าใจ มาในวิชาอื่น มาสังเคราะห์ หรือประยุกต์ใช้ แก้ปัญหาการออกแบบ ที่กำหนดตามโปรแกรมแต่ละครั้ง โดยคำนึงถึง คุณภาพทางความคิดเคร่าๆ พอได้ความเข้าใจทางคุณภาพความคิด ทางการออกแบบสถาปัตยกรรม ขั้น Ideation, Conceptual or Schematic design ไม่มุ่งสาระ รายละเอียดและความสมบูรณ์ เหมือน วิชา PD ...เพราะมีเวลาที่ทำงานน้อยกว่า ด้วยเวลารวม ประมาณ 6 ชั่วโมง

ความมุ่งหวังผลของวิชา skd เจาะจงตามวัตถุประสงค์ ของโปรแกรมแต่ละอัน ที่อาจารย์กำหนด ในความเห็นผม ควรระบุสิ่งนี้ไว้ในวัตถุประสงค์ หรือการประเมินผล ที่อ่านเข้าใจได้ ในโปรแกรมด้วย...สำหรับส่วนตัว ผมมักกระทำสิ่งนี้ในทุกโปรแกรม ที่รับผิดชอบ...ลักษณะ หรือชนิดของปัญหาในโปรแกรม ผมมักเน้นเรื่องจินตนาการเป็นหลักเสมอๆ พูดให้ชัดอยากเห็น ความคิดเชิงแปลก ใหม่แต่เป็นไปได้ หรือความคิดสร้างสรรค์นั่นเอง..สิ่งนี้สอนไม่ได้ แต่ผมว่ากระตุ้น ให้แต่ละคนดึงศักยภาพของตนที่อาจหลบซ่อน ให้ปรากฏได้แน่ (ซึ่งแน่นอน ต้องไว้ใจและศรัทธาผมด้วย..ช่วยไม่ได้จริง)

การประเมินสำหรับผมโดยส่วนตัว ศาสตร์ทางสถาปัตยกรรม แยกแยะออกเป็น เชิงปริมาณทั้งหมด เหมือนทางคณิตศาสตร์ได้ยาก เช่น 2+2 อาจ = 22 หรือไม่ใช่ = 4 ก็ได้ (ซึ่งเป็นการ analogy ไม่ตรงนัก) ปัญหาทางสถาปัตยกรรม ที่อ้างกันมากใน ศาสตร์ทางวิธีการ ที่ผมสนใจเป็นเฉพาะ ก็อ้างเสมอว่า เป็นปัญหาชนิดแบบเปิด (illdefined or wicked problem) คือเป็นปัญหา ที่ประเมินเชิงคุณภาพ มีเรื่องคุณค่า และความอคติส่วนบุคคล และของแต่ละสังคม-วัฒนธรรม เกี่ยวข้องอยู่เสมอ ด้วยเหตุนี้ ศรัทธาและคุณค่า ของผู้ประเมินจึงเป็นสิ่งที่เกี่ยวข้องด้วย..ผมชอบที่ Frank Lloyd Wright กล่าวอ้างไว้ว่า ตัวเขาไม่เคยสนใจเข้าร่วมการประกวดแบบใดๆ เพราะเห็นว่าแบบที่ประกวดชนะนั้น คือแบบของ ผู้ตัดสิน ไม่ใช่ของสถาปนิกที่กระทำอิสระโดยตรง ประเด็นนี้ คือว่า skd ที่ได้ผลดี ก็ต้องขึ้นอยู่กับ การประเมิน เชิงคุณภาพ ของอาจารย์แต่ละท่านด้วย ซึ่งหลากหลายมาก

การชี้แนะสำหรับของผม เท่าที่นึกได้ คือว่า ๑. ผลงานควรนำเสนอคุณภาพ ของ ทักษะ ฝีมือ และการเสนองานเชิง การเขียน เท่าที่ฝึกฝนกันมา และยอมรับตามรูปแบบนิยมเฉพาะของแต่ละยุคสมัย..คือพิจารณาจากผลงานของผู้ที่ ผ่านการประเมินที่ดีมาแล้ว (ถ้าต้องการพัฒนาการ)...เหนืออื่นใด ควร เน้นให้ปรากฏเห็น ถึง ความตั้งใจทำงาน และให้ได้รวมสาระที่จะอธิบายความคิด รวบรัดและไม่ซ้ำซ้อนด้วย..คล้ายที่เคยฝึกมาในวิชา sketch ๒. แสดงความรู้ความเข้าใจที่เกี่ยวข้อง ที่แต่ละคนศึกษามา ให้ปรากฏในงานด้วย เช่น คุณภาพทาง architectural form and space เป็นต้น ๓. ความคิดสรุปที่ดี ควรเข้าใจได้ ในแง่ ทึ่ง แปลกใหม่ หรือเชิงสร้างสรรค์อื่นมากๆ...เรื่องนี้ พูดให้ชัดยากจริงๆ แต่เห็นแล้ว พวกเราทั่วๆไป ควรรู้สึกได้ และพอพูด..บลา..บลา..ตามเหตุผลส่วนตัวได้ แต่พูดให้ชัดเหมือนคณิตศาสตร์ไม่ได้แน่นอน ๔. การพัฒนาโดยรวมของการนำเสนอในวิชานี้ ในแต่ละโปรแกรม หรืออาจารย์แต่ละท่าน ต้องศึกษาจาก ผลงานนิสิตที่แต่ท่านให้ เกรดสูง..ศึกษาแล้ว ผมคิดว่าคุณควรพิจารณาในสิ่งที่คุณเห็นด้วย และยอมรับได้ หากแต่พึงระวังด้วยว่า...อย่ามัวคิดเอาใจคนอื่น โดยละเลยเอาใจตัวเองด้วย..

ถึงกระทำดังที่ผมกล่าวข้างต้น..ด้วยความถ่อมตน ผมคาดเดาว่า...อาจได้เพียงความใกล้เคียง หรือน่าจะได้ผลที่ไม่น่าขาดทุน หากแต่อาจมีกำไรน้อย หรือมาก ไม่แน่นอน และยืนยันไม่ได้ นอกจากคิดว่าอย่างต่ำไม่น่าจะน้อยกว่า c
ครู หรืออาจารย์ทั่วไป ชอบความตั้งใจทำงาน ความขยัน เอาใจใส่ ของนักเรียน หรือนิสิต ซึ่งผลงานคุณน่าจะทำให้ปรากฏและเข้าใจได้ เมื่อสัมผัส แม้ว่านิสิต ผู้นั้นจะไม่เก่งเลอเลิศก็ตาม เช่นความคิดอาจพื้นๆธรรมดา ไม่ทึ่งหรือสร้างสรรค์นัก (ซึ่งก็ขึ้นอยู่กับคุณค่าแต่ละคนที่มองอีกแหละ) เพราะความตั้งใจ เหมือนการแสดงน้ำใจ แห่งความเคารพ นบนอบอาจารย์ทางหนึ่งด้วย

แต่ก่อน....เรื่องการวิจารณ์ หรือเสนอแนะ ผมเคยกระทำ ในวันจันทร์ต่อมา หนึ่งอาทิตย์หลังจันทร์ที่ทำงานในสตูดิโอ คือเปิดโอกาศให้ซักถามปัญหา แต่มีนิสิตสนใจโดยรวมน้อยลงเรื่อยๆ จึงต้องเลิกลาไป ขณะนี้เปลี่ยนเป็นการให้งาน skd ทุกจันทร์ติดต่อกัน ส่วนการวิจารณ์ ให้อ่านดูในผลงานแต่ละคนที่อาจารย์เขียนไว้ หรือเมื่อเห็นผลการประเมินแล้ว ก็ซักถามกันเป็นการส่วนตัว

สิ่งดังกล่าวนี้... จากกระทู้ ผมเห็นว่ายังมีปัญหาที่ตัวอาจารย์เจ้าของโปรแกรมด้วย..ด้วยความเคารพ ผมว่าแต่ละท่านรวมทั้งผมน่าจะมีปัญหาไม่เหมือนกัน...ในความคิดผม (ซึ่งไม่มีอำนาจบริหาร หรือตัดสินใจ) ถ้าวิชาใดมันไม่มีความสุข ทั้งผู้สอนและผู้เรียนแล้ว คิดแบบฟันธง ในทางที่เป็นไปได้ โดยไม่บังคับใคร...ก็ คือยกเลิก หรือเปลี่ยนแปลงวิชานั้นเสียเลย เพราะวิชานี้กระทำมานานตั้งแต่ก่อตั้งคณะนี้....อาจารย์อาจเลี่ยนกันแล้ว..แต่ไม่กล้าบอก......

กระนั้นก็ตาม..ในส่วนตัว ผมพยายามเลี่ยง ความเลี่ยน..แต่อยากหาทางให้คุณๆและผมมีความสุข สำหรับวิชานี้ เพราะยังเห็นว่า เรื่องจินตนาการ ที่เรามีกันมาแต่เด็ก อยากคงไว้ แต่ มันไม่รู้ไปเน้นให้ชัดๆได้ในวิชาอื่นใด..ก็เลยคิดว่า ควรใช้วิชานี้.....เพราะการจินตนาการ หากใช้เวลามากๆ ไตร่ตรองมากๆ มันก็ลบหายไปเร็วในที่สุด....เรื่องนี้แนะนำ และสอนกันยาก ทำได้เพียงการกระตุ้นให้ได้อารมณ์เท่านั้น....จินตนาการไปแล้วก็แล้วกัน ได้รู้ได้เห็น ก็อาจพอร่วมอารมณ์กันได้บ้าง ไม่ได้บ้าง แต่เอาให้ประเมินกันชัดๆ ก็ยาก...เรียกว่าของใครของมันอยู่ดี.... ก็คล้ายคุยกันในเว็ปนี้แหละ มีอารมณ์อยากคุยก็คุย อยากตอบก็ตอบ ตรงมั่ง ไม่ตรงมั่ง ก็ไม่ควรแคร์ เพราะต่างคน ก็ต่างเข้าใจ... ก็นึกได้แค่นี้.. ทำให้คนตอบคนอ่านสบายใจแค่ไหน ก็แค่นั้น.. เลี่ยนเมื่อไหร่ หมดอารมณ์สนุก ก็เลิก เท่านั้นเองครับ

วิชา skd นี้โดยส่วนตัวผมอีกที (เพราะรับผิดชอบหลายคน และไม่รู้นิสิตรำคาญคนไหน). ..ถ้าต้องการเพิ่มเติม..กรุณานัดคุยเฉพาะของงานแต่ละคน ที่ผมเป็นผู้รับผิดชอบโปรแกรมได้ตลอดเวลา...แต่ต้องนัดมาส่วนตัวก่อน ถึงแม้ว่าผมยังไม่ได้ประเมินเสร็จก็ตาม ได้เห็นผลงานคุณ และเผชิญหน้ากันจะๆเลย..รับรองจะกระทำด้วยความเห็นอกเห็นใจ แก่กันและกันจริงๆ.. ด้วยความปรารถนาอยากให้ทุกคน รวมทั้งผมด้วย มีชีวิตอยู่ในโลกนี้ ด้วยเวลาที่เหลือของแต่ละคน อย่างมีความสุข และมีสัมมาทิฐิด้วยกันทุกๆคน

ก็เปิดใจตอบได้แค่นี้ และในเวลานี้นะครับ...ผมมันฉลาดไม่พอ..ที่ไม่สามารถเขียนตอบให้สั้นได้จริงๆจาก…เพื่อนอาจารย์

๑. คำตอบ skd สำหรับคนได้แต่..FFFFFF

เรื่องนี้ผมเองก็โดนถามมาเยอะ แทบทุกปี คำตอบก็มักลังเลอยู่เหมือนกันว่าตอบแบบเดิมคืออย่าไปแคร์มันมาก ก็ไม่น่าถูกต้องนัก กล่าวคือ เกรดเป็นสิ่งสำคัญสำหรับนักเรียน เหมือนเงินก็สำคัญสำหรับคนทำงานทั่วไป ถ้าได้เกรดดี เวลาตอบพ่อแม่ว่าการเรียนเราเป็นอย่างไร ได้เกรดดีๆ พ่อแม่เราก็เป็นปลื้ม เราก็พูมใจว่าได้ตอบแทนพระคุณท่านทางหนึ่ง แต่การเรียนบางครั้งก็ไม่ราบรื่นเสมอไป เหมือนการดำเนินชีวิตนั่นแหละ สาเหตุมันเกิดจากหลายกรณี ความคิดเห็นอาจไม่พ้อง หรือไม่ได้มาตราฐานของอาจารย์ก็ได้ ทั้งๆที่ความคิดเห็นของคุณดีและถูกต้องก็ได้ การทำให้ได้เกรดดี หรือหาเงินได้มากๆ มันมียุทธวิธีมากมาย ทั้งดีและเลว ประเด็นสำคัญเมื่อได้สิ่งที่ต้องการมาแล้ว ก็อาจทำให้เราเองไม่มีความสุขแบบยั่งยืนก็ได้ ถ้ายึดทฤษฎี หรือคำสอนของพระพุทธเจ้า ก็น่าจะเป็นคำตอบนี้ได้ ผมเคยยกอ้างเสมอว่า ถ้าเงินและอำนาจ เป็นที่สุดของชีวิตแล้ว พระพุทธเจ้าคงไม่ละหนี ออกไปบวชเป็นภิกษุ ที่ไม่มีอะไรเลย ทั้งเกรด หรือเงิน..แน่ละถ้ามองเชิงจิตวิทยา คนเกิดมารวย ได้เกรดดีมาตลอด ก็คงชิน แต่ตรงกันข้าม เกิดมาจน เรียนห่วยมาตลอด ก็อยากลิ้มรสใหม่ๆบ้าง คิดอย่างนี้ ผมว่าเป็นธรรมดาของมนุษย์ คือชอบเวียนว่ายตายเกิดในวัฏฏสงสารนี้ ผมเชื่อว่าผู้มีปัญญา ก็ต้องคิดที่ไม่ธรรมดา มุ่งแสวงหาความสุขแบบยั่งยืนตามภูมิปัญญาของแต่ละคนเข้าไว้ น่าจะเป็นผู้เจริญในที่สุดได้...พล่ามมาเสียยืดยาวชักจะจบไม่ลง เอากันดื้อๆ อีกนิด..เมื่อคืนดูหนังพวกมาเฟียทั้งหลาย มุ่งหาเงินเป็นสรณะ เพราะเงินคืออำนาจ สำหรับสังคมมนุษย์ปัจจุบัน ผลของความสุดท้าย ตายโหงแทบทั้งนั้น อุปมาเหมือนนักเรียนมุ่งเรียนเพื่อเกรด หาใช่ความรู้ที่ตนเองประจักษ์ได้ ผมว่าน่าลงท้ายเป็นผู้ด้อยปัญญาในที่สุด คงเห็นนิพพานอยาก อย่าว่าแต่ได้สัมผัสเลยนะ...อาเมนน

ทิปสำรับเรียนให้ได้เกรดดี คือทำอะไรทำอย่างมีความสุข (อ่านรายละเอียดเพิ่มเติมในหนังสือธรรมมะของท่านพุทธทาสภิกขุ) หรือเรียนด้วยความสนุกร่าเริง บำรุงใจให้เปี่ยมด้วยความดีงามเสมอๆ สิ่งดีๆๆ เกรดดีๆๆ เงินดีๆๆ ก็มาหาเราแน่นอน ไม่ต้องไปเพรียกหาแน่เลย..จบจริงๆ

๒. ประโยชน์ของวิชา skd สำหรับผู้ที่เบื่อๆๆๆๆ

ในความเห็นส่วนตัว ผมมองวิชานี้ เป็นช่องทางที่จะฝึกฝนทักษะด้านจินตนาการล้วนๆได้ ซึ่งผมว่าจำเป็นต่อความคิดสร้างสรรค์ ผมจึงพยายามเน้นโปรแกรม ที่จินตนาการเป็นหลัก อีกทั้งนิสิตได้มีการฝึกฝนการสะท้อนความคิด ทางการขีดเขียน สร้างสื่อเพื่อให้ผู้อื่นประทับใจและเข้าใจได้ด้วย เรื่องเวลาทำงานผมมักให้โปรแกรมวันศุกร์ เพื่อมีเวลาไตร่ตรอง ช่วงวันหยุด วันจันทร์จะได้ตัดสินใจเสนอความคิดมาส่ง....บอกตรงๆผมเองไม่เบื่อและเห็นว่าน่าจะเป็น


ประโยชน์ดังกล่าว...ที่เคยพบมาเทอมละโปรแกรมที่ผมรับผิดชอบ ความคิดของนิสิตบางคนดีเหลือเชื่อ...น่าสนใจมาก เผอิญผมไม่ทราบจะบันทึกเก็บไว้อย่างไร...ไม่งั้นคงได้เห็นกันตามที่ผมพูด....ผมเคยเขียนบทความที่เกี่ยวกับความคิดสร้างสรรค์ ว่าการพัฒนาน่าจะใช้วิชานี้เป็นหลักได้อย่างดี..จินตนาการสอนกันไม่ได้ แต่อาจกระตุ้นกันได้.....ส่วนการประเมินผมดูความตั้งใจในการทำงาน ทักษะฝีมือ และจิตนาการที่พอเป็นรูปธรรม ไม่ใช่ความปารถนาล้วนๆ อีกทั้งดูความรู้เสริมที่นิสิต ได้มาจากการอ่านนิยายจินตนาการ หรืออื่นๆบ้าง...เขียนอะไรมาไม่เคยให้ต่ำกว่า c- เพราะไม่อยากทำลายน้ำใจกันมากนักโดยไม่จำเป็น... ผมมีความเห็นดังนี้นะ....

๓. สำหรับคนที่ชอบ comment ใน skd

เรื่องนี้ ขออนุญาตโต้กันมากหน่อยนะ....อยากบอกว่า..การเรียนวิชาอะไร ควรมองให้สนุก อย่ามองอะไรให้เป็นทุกข์น่าจะดีกว่า ขอแก้ต่างแทนดังนี้ อจ.ที่ไม่คอมเมนต์ อาจตั้งใจตรวจก็ได้ การวัดอาจใช้วิธีการ "ฉับพลัน" ชอบ หรือไม่ชอบซัดกันตรงๆ ท่านอจ.แสงอรุณ (อจ.เก่าของคณะเรา..ตายไปแล้ว) ที่ผมเคารพรัก ก็ใช้วิธีนี้ ผมก็ยอมรับว่าอ่านกฏเกณฑ์ท่านไม่เคยถูก นึกว่าบางงานได้ A กลับกลายเป็น F ตรงข้ามบางที่นึกว่าจะ F กลายเป็น A ผมกลับคิดว่ามันได้อารมณ์ดี คือค้นพบว่า ในชีวิตจริงของคนเรา มันก็พลิกผันได้บ่อยๆเช่นกัน ทำให้ผมได้คิดว่า ชีวิตนั้นมันเป็น เช่น "ไม่แน่หรอกนาย" โดยหาเหตุ บางทีไม่ได้เลย จริงๆนะ...ถ้ามองอะไรเป็นเรื่องสนุกเข้าไว้ ทำโปรแกรมซ้ำก็มันดี ถ้าผมทำมากครั้ง ผมก็จะคิดเปลี่ยนความคิดให้ได้ทุกครั้ง รับรองไม่เอาของเก่าถึงได้ A แล้วมาฉายซ้ำเด็ดขาด ผมเป็นเด็กบ้านนอก คิดอะไรแบบคนบ้านนอก ไม่เคยสงสัยคนเป็นครูทุกคนที่สอนผมมา...มองท่านในแง่ที่ดีมีประโยชน์ต่อการพัฒนาคุณค่าชีวิตของผมเองเสมอ...อยากให้นิสิตอย่าเป็นคนมองอะไรในแง่ร้าย..ไม่งั้นจะมีแต่ความเศร้าหมองโดยเราไม่รู้ตัวป่าวๆ...เชื่อเด็กบ้านนอกคนนี้เถอะ..ชีวิตจะมีแต่ความสุขจริงๆ..ไม่ได้หลอกตัวเองเลยที่ตอบมาแบบนี้ครับ...สาบานได้

๔. การบ่นกับตนเอง ที่โลกเมื่อวันวาน หายไปแล้ว.....

ไปอ่านมาหมดแล้ว...ใจแป้วลงเยอะ ภาพ skd วันนี้ ต่างจาก ๓๐ ปีก่อนมาก สมัยนั้นนิสิตแข่งกันทำงาน เพื่อขายความคิดแปลกๆ ที่ไม่เหมือนใคร หรือแม้แต่เพื่อนฝูง ก็ปิดกันเป็นความลับสนิท ..ฝึกฝนฝีมือกันสุดๆ..อจ.เพียงตอบกลับมาเป็นเกรดเท่านั้น แปลกันเองว่าอจ. แต่ละท่านคิดอย่างไร เช่น...ชอบที่สุด...ขอบบ้าง....เฉยๆ...ชอบเล็กน้อย...ฮ่วยแตก...ฮ่วยสุดๆ แทนค่าด้วย A..B..C..D..F อันสุดท้ายเคยเห็นอจ. ให้คะแนน ติดลบ..(ไม่เคยกังขา..เพราะรู้ว่า อจ. ก็เป็นคนมีกิเลสธรรมดา)...สมัยนั้นสนุกเป็นบ้าเลย ไม่ค่อยเครียดกันเหมือนสมัยนี้....ถ้านิสิตสถาปัตย์ไม่สนเรื่องจินตนาการ.. (เพราะขาดสิ่งนี้แล้ว ผมว่าอะไรก็ไร้ค่าหมด)... คิดแต่จะออกแบบเชิงปฏิบัติให้สำเร็จใน เวลาไม่ถึงวัน (ซึ่งไม่รู้คิดให้ถูกได้อย่างไร..นึกไม่ออกว่าอะไรคือเหตุผลพอเป็น absolute truth.ที่ยอมรับตรงกันได้ มาวัดกันเห็นชัดๆ)..กันแล้ว บางทีอาจต้องพิจารณาตัวเองเรื่องนี้ครับ...ขอเวลาคิดช่วงปิดเทอมนี้หน่อย....เศร้าใจจริงๆว่ะ

๕. ตอบผู้แสวงหา ในสิ่งที่ไม่มี.....

เหตุผลหนึ่งของผม คือว่า คุณเอาปัจจัยภายนอกมาเป็นเกณฑ์ อาจลืมปัจจัยภายใน คือตัวเองไป คุณจึงไปแสวงหากฎจากภายนอก คือครู ถ้าคุณชอบเรื่องกฎ ควรเน้นกฎของคุณ คือกฎที่เกิดภายใน เพราะเป็นของคุณโดยสมบูรณ์ และควรพัฒนาเสมอให้สัมพันธ์กับภายนอกบ้างและด้วย ..อันความเป็นอัฉริยะ และความโง่ เกิดจากกฏที่อาจทวนกระแส กับกฏภายนอก หรืออาจสัมพันธ์กันน้อยมาก อาจไม่สัมพันธ์เลยก็ได้ แต่อันหลัง อาจปรากฏ หรือยอมรับ หรือสาบแช่ง...หลังคุณตายไปแล้วก็ได้ คุณจะแคร์อย่างไรเรื่องนี้เป็นเรื่องของแต่ละบุคคล ขึ้นอยู่กับ บุญกรรมเก่าหรือ ที่พระผู้เป็นเจ้าสร้างมา....

ทัศนะคติเรื่องนี้สำคัญมากๆ ผมแน่ใจว่ากฏภายนอก การแสวงหาเพื่อให้รู้จริง อยากมาก และไม่ค่อยจะแน่นอนสม่ำเสมอๆ เพราะมีปัจจัยหลายอย่างที่ควบคุมไม่ได้ เพราะไม่ใช่ของ ของคุณ......ผมสอนตัวเองและลูกๆเสมอ...ส่วนตัว สำหรับผมพอเข้าใจ และเชื่อได้บ้าง เป็นบ้างครั้งบางคราว... แต่ลูกๆอาจไม่เชื่อ หรือไม่เข้าใจได้เลย..ผมก็ไม่ว่า แต่เวลาสร้างประสบการณ์ของกันและกัน จะช่วยไขปัญหาของแต่ละคนได้ที่สุดเองครับ

อย่าเป็นนักเสี่ยงโชค หรือนักการพนันเลยครับ มันเป็นอบายมุข ตามหลักพระพุทธศาสนา..เลิกเสีย...จะได้ไม่ต้องห่วง..กองสลากกินแบ่งรัฐบาลนี้ว่าจะเจ้งเลย

กลับไปรวมมาให้อ่านอีก...คงได้อ๊วก..แตก จนเลิกคิดเรื่องนี้นะๆๆๆจาก….เพื่อนอาจารย์
ผมมีความเห็นดังนี้นะ....

๓. สำหรับคนที่ชอบ comment ใน skd

เรื่องนี้ ขออนุญาตโต้กันมากหน่อยนะ....อยากบอกว่า..การเรียนวิชาอะไร ควรมองให้สนุก อย่ามองอะไรให้เป็นทุกข์น่าจะดีกว่า ขอแก้ต่างแทนดังนี้ อจ.ที่ไม่คอมเมนต์ อาจตั้งใจตรวจก็ได้ การวัดอาจใช้วิธีการ "ฉับพลัน" ชอบ หรือไม่ชอบซัดกันตรงๆ ท่านอจ.แสงอรุณ (อจ.เก่าของคณะเรา..ตายไปแล้ว) ที่ผมเคารพรัก ก็ใช้วิธีนี้ ผมก็ยอมรับว่าอ่านกฏเกณฑ์ท่านไม่เคยถูก นึกว่าบางงานได้ A กลับกลายเป็น F ตรงข้ามบางที่นึกว่าจะ F กลายเป็น A ผมกลับคิดว่ามันได้อารมณ์ดี คือค้นพบว่า ในชีวิตจริงของคนเรา มันก็พลิกผันได้บ่อยๆเช่นกัน ทำให้ผมได้คิดว่า ชีวิตนั้นมันเป็น เช่น "ไม่แน่หรอกนาย" โดยหาเหตุ บางทีไม่ได้เลย จริงๆนะ...ถ้ามองอะไรเป็นเรื่องสนุกเข้าไว้ ทำโปรแกรมซ้ำก็มันดี ถ้าผมทำมากครั้ง ผมก็จะคิดเปลี่ยนความคิดให้ได้ทุกครั้ง รับรองไม่เอาของเก่าถึงได้ A แล้วมาฉายซ้ำเด็ดขาด ผมเป็นเด็กบ้านนอก คิดอะไรแบบคนบ้านนอก ไม่เคยสงสัยคนเป็นครูทุกคนที่สอนผมมา...มองท่านในแง่ที่ดีมีประโยชน์ต่อการพัฒนาคุณค่าชีวิตของผมเองเสมอ...อยากให้นิสิตอย่าเป็นคนมองอะไรในแง่ร้าย..ไม่งั้นจะมีแต่ความเศร้าหมองโดยเราไม่รู้ตัวป่าวๆ...เชื่อเด็กบ้านนอกคนนี้เถอะ..ชีวิตจะมีแต่ความสุขจริงๆ..ไม่ได้หลอกตัวเองเลยที่ตอบมาแบบนี้ครับ...สาบานได้

๔. การบ่นกับตนเอง ที่โลกเมื่อวันวาน หายไปแล้ว.....

ไปอ่านมาหมดแล้ว...ใจแป้วลงเยอะ ภาพ skd วันนี้ ต่างจาก ๓๐ ปีก่อนมาก สมัยนั้นนิสิตแข่งกันทำงาน เพื่อขายความคิดแปลกๆ ที่ไม่เหมือนใคร หรือแม้แต่เพื่อนฝูง ก็ปิดกันเป็นความลับสนิท ..ฝึกฝนฝีมือกันสุดๆ..อจ.เพียงตอบกลับมาเป็นเกรดเท่านั้น แปลกันเองว่าอจ. แต่ละท่านคิดอย่างไร เช่น...ชอบที่สุด...ขอบบ้าง....เฉยๆ...ชอบเล็กน้อย...ฮ่วยแตก...ฮ่วยสุดๆ แทนค่าด้วย A..B..C..D..F อันสุดท้ายเคยเห็นอจ. ให้คะแนน ติดลบ..(ไม่เคยกังขา..เพราะรู้ว่า อจ. ก็เป็นคนมีกิเลสธรรมดา)...สมัยนั้นสนุกเป็นบ้าเลย ไม่ค่อยเครียดกันเหมือนสมัยนี้....ถ้านิสิตสถาปัตย์ไม่สนเรื่องจินตนาการ.. (เพราะขาดสิ่งนี้แล้ว ผมว่าอะไรก็ไร้ค่าหมด)... คิดแต่จะออกแบบเชิงปฏิบัติให้สำเร็จใน เวลาไม่ถึงวัน (ซึ่งไม่รู้คิดให้ถูกได้อย่างไร..นึกไม่ออกว่าอะไรคือเหตุผลพอเป็น absolute truth.ที่ยอมรับตรงกันได้ มาวัดกันเห็นชัดๆ)..กันแล้ว บางทีอาจต้องพิจารณาตัวเองเรื่องนี้ครับ...ขอเวลาคิดช่วงปิดเทอมนี้หน่อย....เศร้าใจจริงๆว่ะ

๕. ตอบผู้แสวงหา ในสิ่งที่ไม่มี.....

เหตุผลหนึ่งของผม คือว่า คุณเอาปัจจัยภายนอกมาเป็นเกณฑ์ อาจลืมปัจจัยภายใน คือตัวเองไป คุณจึงไปแสวงหากฎจากภายนอก คือครู ถ้าคุณชอบเรื่องกฎ ควรเน้นกฎของคุณ คือกฎที่เกิดภายใน เพราะเป็นของคุณโดยสมบูรณ์ และควรพัฒนาเสมอให้สัมพันธ์กับภายนอกบ้างและด้วย ..อันความเป็นอัฉริยะ และความโง่ เกิดจากกฏที่อาจทวนกระแส กับกฏภายนอก หรืออาจสัมพันธ์กันน้อยมาก อาจไม่สัมพันธ์เลยก็ได้ แต่อันหลัง อาจปรากฏ หรือยอมรับ หรือสาบแช่ง...หลังคุณตายไปแล้วก็ได้ คุณจะแคร์อย่างไรเรื่องนี้เป็นเรื่องของแต่ละบุคคล ขึ้นอยู่กับ บุญกรรมเก่าหรือ ที่พระผู้เป็นเจ้าสร้างมา....

ทัศนะคติเรื่องนี้สำคัญมากๆ ผมแน่ใจว่ากฏภายนอก การแสวงหาเพื่อให้รู้จริง อยากมาก และไม่ค่อยจะแน่นอนสม่ำเสมอๆ เพราะมีปัจจัยหลายอย่างที่ควบคุมไม่ได้ เพราะไม่ใช่ของ ของคุณ......ผมสอนตัวเองและลูกๆเสมอ...ส่วนตัว สำหรับผมพอเข้าใจ และเชื่อได้บ้าง เป็นบ้างครั้งบางคราว... แต่ลูกๆอาจไม่เชื่อ หรือไม่เข้าใจได้เลย..ผมก็ไม่ว่า แต่เวลาสร้างประสบการณ์ของกันและกัน จะช่วยไขปัญหาของแต่ละคนได้ที่สุดเองครับ

อย่าเป็นนักเสี่ยงโชค หรือนักการพนันเลยครับ มันเป็นอบายมุข ตามหลักพระพุทธศาสนา..เลิกเสีย...จะได้ไม่ต้องห่วง..กองสลากกินแบ่งรัฐบาลนี้ว่าจะเจ้งเลย

กลับไปรวมมาให้อ่านอีก...คงได้อ๊วก..แตก จนเลิกคิดเรื่องนี้นะๆๆๆ

จาก….เพื่อนอาจารย์

วันอังคาร, พฤษภาคม 08, 2550

ลองฟังความเห็นของคนอื่น ที่มีต่อสิ่งที่เราตัดสินว่าสวย ดูครับ


นานนานจะอ่านเจอ บทความที่น่าถกเป็นประเด็นสาธารณะ เกี่ยวกับสถาปัตยกรรมมั่ง น่าสนใจครับ เลยเอามาpostฝากเพื่อนอาจารยคับ เขียนโดย ชาตรี ประกิตนนทการ มหาวิทยาลัยศิลปากร

สะพานพระราม ๘ ทัศนะอุจาด ทำลาย "ประวัติศาสตร์" ของ "เมือง"-กรุงเทพฯ


หลังจากสะพานพระราม ๘ เปิดใช้งานอย่างเป็นทางการเมื่อวันที่ ๒๐ กันยายน ๒๕๔๕ ปฏิกิริยาที่เกิดขึ้นของคนส่วนใหญ่ต่อสะพานพระราม ๘ ล้วนเป็นไปในเชิงบวกแทบทั้งสิ้น


หลากหลายคำพูดจากคนทั่วไปและหลายต่อหลายบทความ ที่ปรากฏทางหน้าหนังสือพิมพ์หรือวารสารต่างๆ แม้กระทั่งความคิดเห็นในอินเตอร์เน็ต ต่างมีแนวโน้มไปในทิศทางเดียวกัน ไม่ว่าจะกล่าวถึงในแง่มุมใดๆ ก็ตาม อาทิ สะพานพระราม ๘ จะกลายเป็นสัญลักษณ์ใหม่ของกรุงเทพฯ สะพานพระราม ๘ มีรูปทรงที่สวยงาม สะพานพระราม ๘ เป็นสะพานข้ามแม่น้ำเจ้าพระยาที่แสดงออกซึ่งเอกลักษณ์สถาปัตยกรรมไทยที่งดงาม เป็นต้น


แต่หลายคนคงไม่ทราบว่ากว่าที่สะพานพระราม ๘ จะเสร็จสมบูรณ์ ปรากฏให้เราเห็นเช่นปัจจุบันนี้นั้น ได้เกิดความขัดแย้งทางความคิดที่หลากหลายมาก่อนอย่างมากมาย มีการวิพากษ์วิจารณ์ถึงข้อดีข้อเสียและข้อจำกัดต่างๆ มาไม่น้อย


แต่ที่น่าแปลกใจก็คือ ความคิดเห็นที่ขัดแย้งอีกด้านนั้นกลับไม่ได้กลายเป็นหัวข้อวิพากษ์วิจารณ์ที่กว้างขวางแต่อย่างใด ทั้งนี้มิได้หมายความว่าความเห็นแย้งเหล่านั้นเป็นสิ่งที่ถูกต้องเสมอไป เพียงแต่สงสัยว่าสังคมให้ความสนใจต่อประเด็นถกเถียงดังกล่าวน้อยไปหรือไม่ ให้ความสนใจกับข้อมูลจากอีกด้านหนึ่งอย่างวิเคราะห์วิจารณ์ดีเพียงพอแก่การตัดสินใจหรือไม่ ซึ่งคำตอบที่พบก็คือไม่


แน่นอนความคิดคัดค้านหลายประการอาจขาดน้ำหนักที่น่าเชื่อถือ แต่ก็มีหลายประเด็นเช่นกันที่สังคมน่าจะต้องนำมาขบคิดว่ามีเหตุผลเท็จจริงแค่ไหนอย่างไร แต่สังคมกลับมิได้ใส่ใจกับประเด็นโต้แย้งเหล่านั้นเท่าที่ควร ซึ่งส่วนหนึ่งน่าจะมาจากความไม่ใส่ใจต่อสิ่งที่เกิดขึ้นรอบๆ ตัว โดยเฉพาะอย่างยิ่งถ้าไม่ได้มากระทบกับตัวเองโดยตรง


แต่ในกรณีของสะพานพระราม ๘ นั้นมีปัจจัยเสริมที่ทำให้สังคมส่วนใหญ่ละเลยความเห็นแย้งต่างๆ อย่างเฉยชายิ่ง นั่นก็คือได้มีการสร้างภาพลวงตาหรือข้อเท็จจริงลวงที่เป็นเพียงภาพเสมือนจริงมากกว่าที่จะเป็นความจริง จากฝ่ายสนับสนุนโครงการนี้ เพื่อให้สาธารณชนทั่วไปเห็นภาพเฉพาะด้านที่ดีของโครงการ จนทำให้เพิกเฉยต่อข้อมูลจากอีกด้านหนึ่ง โดยพยายามป้อนข้อมูลเพียงด้านเดียวเข้ามาหาเราทุกวันๆ จนทำให้ภาพเสมือนจริงเหล่านั้นกลายเป็นความจริงในความรู้สึกของเราไปในที่สุด


ดังนั้นบทความนี้จึงมุ่งที่จะเข้าไปศึกษาคำโฆษณาชวนเชื่อเหล่านั้นอย่างวิเคราะห์วิจารณ์ให้มากขึ้น พยายามเข้าไปตรวจสอบคำกล่าวอ้างต่างๆ ที่เกิดขึ้นกับสะพานแห่งนี้ ว่ามีข้อเท็จจริงตามคำโฆษณานั้นมากน้อยแค่ไหนอย่างไร หรือเป็นเพียงการกล่าวความจริงเพียงครึ่งเดียวเพื่อให้เห็นเพียงด้านที่ดีด้านที่เป็นบวกเท่านั้น อีกทั้งมีผลเสียใดๆ เกิดขึ้นบ้างตามมาหลังจากสะพานพระราม ๘ ได้เปิดใช้งานอย่างเป็นทางการ


แต่ด้วยข้อจำกัดในความรู้ของตัวผู้เขียน ทำให้เป้าหมายแห่งการตรวจสอบของบทความนี้จึงจำกัดอยู่เฉพาะเรื่องผลกระทบที่เกิดขึ้นจากรูปแบบสถาปัตยกรรมของสะพานพระราม ๘ ที่ส่งผลต่อเมืองและอาคารทางประวัติศาสตร์ต่างๆ ที่อยู่ใกล้เคียง และวิเคราะห์วิจารณ์เรื่องความมีเอกลักษณ์ไทยบางอย่างในตัวสะพานเท่านั้น โดยศึกษาถึงกระบวนการสร้างภาพมายาให้แก่รูปแบบตัวสะพาน ตลอดจนการสื่อสารต่อสาธารณชนทั่วไปผ่านบทความต่างๆ หรือคำกล่าวอ้างที่เราได้ยินกันจนชินหู ซึ่งบทความนี้ได้มุ่งประเด็นความสนใจในคำกล่าวอ้าง ๓ ประการหลักๆ ดังต่อไปนี้


๑. สะพานพระราม ๘ มีรูปแบบที่สวยงาม ดังนั้นจึงไม่เป็น "ทัศนะอุจาด" ของเมือง

๒. สะพานพระราม ๘ จะทำหน้าที่เป็นสัญลักษณ์ใหม่ของกรุงเทพมหานคร

๓. สะพานพระราม ๘ เป็นสถาปัตยกรรมที่สะท้อนเอกลักษณ์ไทย ดังนั้นจึงไม่ขัดแย้งกับบริบทแวดล้อมของเมืองเก่า


ทั้ง ๓ ประเด็นข้างต้นถึงแม้อาจจะไม่ได้มีการกล่าวตรงๆ ดังว่านี้ก็ตาม แต่คำพูดต่างๆ ที่ได้ยินได้ฟังและได้พบมานับตั้งแต่สะพานแห่งนี้เปิดใช้จนถึงปัจจุบันส่วนใหญ่แล้วก็ไม่หนีจากความเชื่อ (ที่ยังไม่ได้รับการตรวจสอบอย่างจริงจังเลย) ดังกล่าวทั้ง ๓ ประการข้างต้นนี้แทบทั้งสิ้น


นอกจากนี้ทั้ง ๓ ประเด็นข้างต้นล้วนเป็นประเด็นทางวัฒนธรรมที่น่าสนใจ และต่างก็ได้รับคำโฆษณาเพียงด้านเดียวจากฝ่ายผู้รับผิดชอบโครงการ


ดังนั้นผู้เขียนจึงอยากที่จะนำเสนอข้อมูลอีกด้านเพื่อให้สังคมในวงกว้างเป็นผู้ตัดสินใจ ทั้งนี้มิใช่ว่าผู้เขียนมีเจตนาที่จะฟื้นฝอยหาตะเข็บ ติในสิ่งที่แก้ไขไม่ได้แล้ว หรือสิ่งที่ผู้เขียนกล่าวจะต้องเป็นความจริงทั้งหมดแต่อย่างใด เป็นแต่เพียงอยากที่จะนำเสนอความคิดเห็นที่แตกต่างและตั้งเป็นประเด็นข้อคิดเห็นเล็กๆ เอาไว้ เพื่อที่ว่าการตัดสินใจใดๆ ต่อโครงการในอนาคตข้างหน้าที่จะต้องมีอย่างแน่นอนนั้น จะได้มีการเปิดเป็นเวทีสาธารณะอย่างกว้างขวางมากกว่าที่เป็นอยู่ และให้โอกาสภาคประชาชนเข้าไปตรวจสอบมากขึ้น อย่าคิดเพียงว่าโครงการเช่นนี้เป็นเรื่องเฉพาะทางเฉพาะกลุ่ม เช่น พวกวิศวะ หรือสถาปนิก หรือเฉพาะแวดวงผู้รับผิดชอบโดยตรงเท่านั้น แต่โครงการเช่นสะพานพระราม ๘ นี้ เป็นโครงการที่ส่งผลกระทบทางสังคมมากกว่าที่คาดคิดกัน และเป็นประเด็นทางวัฒนธรรมมิใช่เรื่องทางเทคนิคเพียงอย่างเดียว

โดย ไทแมน [3 มี.ค. 2546 , 22:44:30 น.]



ข้อความ 1

http://www.matichon.co.th/art/art.php?select_date=2003/02/01&index=&show=2&selectid=0606010246 ขอโทดคับ มันยาวมากpost ไม่หมด ลองตามอ่านดูละกันนะคับ

โดย ต่อคับ [3 มี.ค. 2546 , 22:51:38 น.]

ข้อความ 2

ขอขอบคุณ ไทแมน เช่นเคยนะ ที่ยังคิดถึงกันอยู่ ว่าแต่..ยังอยู่ที่ต่างจังหวัดหรือที่กทม.กันแน่ แวะเวียนมาเยี่ยมน้องๆที่เพิ่งจบไปหรือป่าว? ปีนี้ มีมือคอมเสนองานหายห่วง เล่นเอางงๆ ใน"ความสวย" จนเพลินเลี่ยงดู "นิสัย" ของงาน ไปบ้างตามสมควร เมื่อกี้เพิ่งกลับมาจากประชุม ในเรื่องนี้ มีข้อสังเกตุให้พึงระวังว่า ต่อไปจะเกิด อาชีพทำงานคอมให้กับงานวิทยานิพนธ์กันแน่ ถ้าไม่พึงระวังให้ดีๆ มีงานในกลุ่มผมเขียนด้วยมือ อ่อน"ความสวย" ไปหน่อย ปรากฏเกือบเดี้ยง


ที่เกริ่นมาเรื่อง "ความสวย" นั้น น่าจะใกล้ เคียงข้อพิพาทเรื่องสะพานพระราม ๘ ที่ฝากมา ให้อ่าน..เท่าทีสังเกตทัศนะคติของพวกเรา มัก ไม่เป็นที่น่ายอมรับของสังคมส่วนใหญ่เท่าไรนัก เริ่มกันในสามกรณีใหญ่ที่แล้วมาเป็นต้น เช่น เรื่องสร้างทางรถไฟฟ้า ทำถนนเรียบแม่น้ำเจ้าพระยา และการคิดขุดเจ้าพระยา ๒ ก็มีการคัดค้านจากพวกเรา กันตรึม อันที่สำเร็จฝ่าการคัดค้านไปได้ คือ รถไฟฟ้า ในกทม. หากไปถามประชาชนทั่วไป เหมือนกรณี สะพานพระราม ๘ ขณะนี้ ผมว่าไม่มีใครเห็นด้วยกับที่เคยแย้งของพวกเรา มากนัก เพราะทั้งสองกรณีมันช่วยสนองตัณหา เรื่องการจราจรให้กับพวกเขามาก คนเรานั้น ขณะกำลังดิ้นรนหรืออดยากกัน เรื่องความงาม หรืองานศิลปะ ดูจะเป็นทางเลือกทีหลัง แต่เมื่อ ไรสะบายปากสะบายท้องกันแล้ว ก็จะร้องหา ความสุขอื่นต่อไป โดยเฉพาะตัณหาทางศิลปะ


ทั้งศิลปะและความจำเป็น (ไม่ใช่ความต้องการ) นั้นมีคุณค่าสำหรับมนุษย์เสมอ เพียงแต่ต้อง ตระหนักให้ดีว่า อะไรคือคุณค่าที่แท้จริงของ ศิลปะและความจำเป็นนั้น เพราะถ้าเกินเลยไป ก็ จะเป็นเรื่องของตัณหาทั้งนั้น ..ในทางพุทธฯ กล่าวถึงเรื่อง "ความงาม หรือความสวย" ที่ไกล ต่างจากที่พวกเราเชื่อกันหรือเรียนกัน บางครั้ง เราเองก็โดนเสี้ยมสอนให้รับรู้ ที่ไม่มีเหตุผล แข็งแรงพอเพียง ผมเองพักหลัง..ลดเรื่องเหล่านี้ ไปเยอะ ไม่ใช่ไม่เห็นด้วยกับความงามที่เราเรียนกัน แต่เพราะไม่แน่ใจว่าการ"สัมผัส" ความจริงพรรค์นี้ ตรงกับของชาวบ้านหรือเปล่า บางครั้งก็กลัวกลาย เป็น"พวกนอกคอก" สำหรับสังคมสถาปนิกไทย ไปเลย เช่นเรื่องการอนุรักษณ์ ผมก็ยังหาคำอธิบาย ไม่ค่อยได้จุใจนัก เลยบางครั้งกลายเป็นคนหา กำพืดตัวเองไม่เจอ ..แต่พอเรื่องศาสนาพุทธแล้ว ชักจะสนใจว่า น่าจะเป็นรากเหง้าที่คนไทยควรศึกษา แล้วเอามาอธิบายหรือหาทางออกของการโต้แย้ง เรื่องดังที่ ไทแมน ฝากมา บางทีจะลดอัตตา หรือ ความกังวลใจไปได้บ้างนะครับ ผมมีคำอธิบาย ความงามในแง่พุทธศาสนาที่เก็บไว้พอสมควร รู้สึกเคยเอามาอ้างและโพสต์ไว้บ้างแล้ว โดย เฉพาะคำอธิบายของท่านเจ้าคุณพระธรรมปิฎกฯ นับว่าทันสมัยกว่าใคร ...ว่างจะกลับไปทบทวน เรื่องนี้อีกที


อาชีพของพวกเราถ้าจะขยายขอบเขตไปจากที่ เรียนรู้กันในคณะ น่าจะต้องเอาใจใส่กับทรรศนะ ของมวลชนเหมือนกัน ไม่งั้นพวกเราก็จะกลายเป็นพวก "เว่อ" ในสายตาของคนไทยส่วนมาก เหมือนในขณะนี้ ว่างๆ..บางทีอาจต้องกลับคืนสู่ "สามัญ" กันเสียบ้าง ก็น่าจะดี...นะครับ


ฝอยกันแค่นี้ก่อนนะ ...ดีใจที่ยังมาเจอกันอีก คิดหาหญิง "ชาวบ้าน" แต่งเมียหรือยัง? เอาที่ เชยๆแหละดี ..เพราะมีคู่แข่งน้อยกว่าหญิงเว่อ เรื่องนี้..คือสุดยอดของความสวยความงาม ยิ่งใหญ่กว่ากรณีการโต้แย้งเรื่องสะพานพระราม ๘ จริงๆ..นะครับ..จะบอกให้

โดย เพื่อนอาจารย์ [4 มี.ค. 2546 , 18:28:23 น.]

ข้อความ 3

อยู่เกาะครับอาจารย ปลีกตัวเขียนหนังสือเป็นงานหลัก tect เป็นงานรอง ถ้ามีสนพ .ไหนยอมพิมให้แล้วจะเอามาอวดครับผม

โดย ไทแมน [7 มี.ค. 2546 , 13:52:47 น.]

ข้อความ 4

ส่งมาให้อ่านบ้างสิ เผื่อจะเอาไปให้เขาพิมพ์ ว่าแต่ว่าเรืองความสวยความงามของพวกเรา คงต้องพูดกันเป็นเรื่องเป็นราว มีเหตุมีผล มีข้อพิสูจน์ มากกว่า บรา บรา บรา เพราะศาสตร์เรา ไม่ใช่เรื่องส่วนตัว แต่เป็นสิ่งสาธารณะ

โดย ครูประชาบาล [9 มี.ค. 2546 , 10:19:51 น.]

ข้อความ 5

หลายเรื่องก้อได้ความคิดมาจากตอนที่นั่งคุยกับครูหลายหลายหนแลัวก้อจดจดมาขยายความน่ะคับ ต้องขอบคุณครูประชาบาลไว้ล่วงหน้าเลยคับ ที่ช่วยให้ความคิดทั้งทางตรงและทางอ้อม ไว้เกลาเสร็จเมื่ไหร่จะส่งไปให้ดูแนนอนคับ

โดย ไทแมน [13 มี.ค. 2546 , 14:10:53 น.]

ข้อความ 6

ฝากให้..ไทแมน ลองพิจารณาดู...นะครับ


ความงามกับการพัฒนาทางจิตวิญญาณ


ในความจริงมีความงาม ถ้าเข้าถึงความจริงของสรรพสิ่ง ก็จะประสบความงาม การประสบความงามทำให้เกิด ความสุข ในธรรมชาติของสรรพสิ่งมีความงามอยู่ทั่วไป ความสุขที่ได้สัมผัสกับความงาม พัฒนาจิตใจให้สูงและ เจริญขึ้น ..ความงาม ๑๐ ประการที่ประสบได้ในวิถีชีวิต


๑. ความงามของธรรมชาติและปรากฏการณ์ทางธรรมชาติ

๒. ศิลปะ เป็นความงามที่มนุษย์สร้างขึ้นควร เพื่อการลดกิเลส

๓. ความงามในงาน งานที่ทำอย่างประนีต ให้เกิดประโยชน์สำเร็จ

๔. ความงามในความรู้ รู้จริงรู้ทั่วรู้การเชื่อมโยงด้วยกันทั้งหมด

๕. ความงามของจิตใจ พัฒนาให้เจริญในพรมวิหารธรรม

๖. ความงามในวาจา ด้วยปิยวาจา ความจริง วจีสุจริต

๗. ความงามในการกระทำ ไม่เบียดเบียน มีศิลเป็นความงาม

๘. ความงามในความเป็นชุมชน การรวมตัวเอื้ออาทรกันตามโอกาส

๙. ความงามในสัญลักษณ์ทางศาสนา ส่งเสริมให้คุณค่าคำสอน

๑๐. ความงามในสติ(ศีล) สมาธิ และปัญญา เพื่อพัฒนาสู่สังคมแห่งความรู้

โดย เพื่อนอาจารย์ [22 มี.ค. 2546 , 09:39:51 น.]

ข้อความ 7

ผมเชื่อว่า เราสามารถหาทฤษฎีมากมายเพื่อมา อธิบายในสิ่งที่เราทำขึ้นมา ดังนั้นความงามตามทฤษฎีที่มีมาก่อนก็ตาม หรือความงามที่ไม่เคยมีปรากฎตามทฤษฎีก็ตาม ล้วนแล้วแต่ต้องตรวจสอบด้วยความรู้สึกทั้งสิ้น ความรู้สึกจึงเป็นเหมือนประตูบานแรกแห่งการนำ ทางให้พบความน่ารื่นรมย์แห่งองค์ประกอบต่างๆ รูปร่างที่เราเห็นปรากฎเป็นเพียงผลที่ได้รับจาก การรู้สึกในเบื้องต้น คำถามที่ผมมักคุยกับลูกค้าคือ คุณรู้สึกอย่างไร เราอยากฟังสิ่งที่เขารู้สึกมากกว่า สิ่งที่เรารู้สึก เพราะคนที่เรียนโดยการครอบ ความคิดอย่างพวกเรา กับลูกค้ามักรู้สึกแตกต่างกัน แต่สิ่งที่เราค้นพบคือ ในโลกนี้ไม่มีอะไรที่สอดคล้อง อย่างแท้จริงหรือขัดแย้งอย่างถาวร


โดย สันต์57 [22 มี.ค. 2546 , 19:19:59 น.]

คุณคือใคร?...ใคร่อยากถาม


อยากทราบว่าเพื่อนอาจารย์กับครูประชาบาลคือใครในคณะเราหรือครับ เป็นความลับหรือเปล่าอยากู้จังเลยครับ

โดย เด็กโง่ [12 ธ.ค. 2545 , 06:22:53 น.]

ข้อความ 1

ผมเคยฟังรายการวิทยุ และติดใจนักจัดรายการสาว เพราะซุ่มเสียงเธอไพเราะมาก ช่างพูดสรรจำนรรจา เลยอยากใคร่ได้ยลโฉม แต่พอค้นหาจนเจอะเจอ อารมณ์สุนทรีย์ที่เคยมีมาลดหายไปเกือบหมด เพราะความจริงดันไม่ตรงกับอุปทานที่คิดฝันไว้

ขณะนี้ก็กำลังติดใจการสนทนาธรรมะกับนักปฏิบัติ สาวคนหนึ่งในเว็บบอร์ด คุยมานานซาบซึ้งใจมาก แน่ใจว่าเป็นกัลยาณมิตรทางธรรมที่ดีมากผู้หนึ่ง ฝันไว้ว่าคงเป็นคนผิวขาวเนียน เรียบร้อย และคงน่ารัก แต่สาบาลกับตัวเองว่าจะไม่พยายามไปเจอตัวจริงๆเด็ดขาด เพราะกลัวฝันในรูปนั้นจะสลายไป พร้อมอคติในสาระ ที่จะต้องคุยกันต่อไป เนื่องจากยังไม่บรรลุอรหันต์ธรรม ยังมองเห็นสังขารเป็นปฏิกูลเดียวกันและเหมือนกันหมดไม่ได้ เลยอยากรักษาฝัน..ไม่ขอทราบข้อมูลอื่นที่ไม่จำเป็นอีกต่อไปแล้ว

อีกเรื่อง ในการทดสอบอารมณ์สุนทรีย์ในเรื่องงานศิลปะ กับบรรดาผู้รักศิลปะและภาพวาดที่ส่วนมากเป็นเด็กๆ พบว่า..ในการดูภาพวาดที่บอกชื่อศิลปินที่มีชื่อเสียง กำกับไว้ด้วยที่ภาพนั้น จะได้คะแนนนิยมชมชอบ มากกว่าภาพวาดที่ไม่ระบุชื่อศิลปินไว้ ทั้งๆที่เป็น ภาพวาดเดียวกัน นี่คืออคติหนึ่งในเรื่องความสุนทรีย์

กลับมาเรื่องตัวจริง เสียงจริง ใครเป็นใครในที่นี่ ถ้าเผอิญรู้เข้า เชื่อไหม? อารมรมณ์ที่อยากพูดคุยกันจะ หมดหายไปทันที เพราะพอนึกหน้าทีไร อยากหนี ไปให้สุดโลก ยิ่งเจอประเภทแก่ชรา เหนียงคอห้อย ยิ่งเวทนาจนไม่อยากให้เกิดขึ้นกับตัวเองที่ยังหนุ่มหล่อ ทั้งที่รู้ต่อไป ข้าก็จะเป็นเช่นเจ้า ..แต่ขอรอก่อนจ้ะ

เพราะฉะนั้น จะให้การคุยในเว็บบอร์ดนี้สนุก ต้องคิดเสียว่าทุกคนเป็นผีสาง ไร้รูปตัวตน แต่มีจิต ใต้สำนึกที่ดีบริสุทธิ์กันทุกคน คุยกันด้วยจิตเช่นนี้ จะมีอรรถรส และสุนทรีย์มากกว่าคุยกันแบบซึ่งหน้า เพราะสาระที่คุยอาจเกิดเพราะจิตปรุ่งแต่ง ไม่ใช่จิตแท้ ที่มุ่งสนใจในสาระและประโยชน์ของธรรมมากกว่าสิ่งอื่นใด

เมื่อคืนก่อน..กลับไปอ่านเรื่องกามนิต-วาสิษฏี ฉบับ แปลของเสถียรโกเศสและนาคะประทีป ..ภาคบนดิน ตอนที่กามนิตสนทนาธรรมกับพระพุทธเจ้า แล้วอยากรู้ ว่าเป็นใคร พระพุทธเจ้าก็เลี่ยงที่จะบอก เพราะอยาก ให้เอาที่สาระธรรมที่พระองค์กำลังโปรดกามนิต ไม่อยากให้ติดที่รูปลักษณ์ ชื่อเสียงและบรรดาศักดิ์ กามนิตก็ยังดื้อด้าน ไม่ยอมเชื่อธรรมที่แสดง แต่ อยากไปสอบถามพระพุทธเจ้าโดยตรงก่อนเชื่อ ตื่นเช้าเลย ตาลีตาเหลือกรีบออกจากบ้านคนปั้นหม้อ เพื่อจะไปเฝ้าพระพุทธเจ้าให้ได้ จนโดนโคบ้าขวิด ตายอยู่ข้างถนนในกรุงราชคฤห์ พระสารีบุตรผ่านมา พบและทราบเรื่องราวที่กามนิตประสงค์จะพบพระพุทธเจ้า ก่อนตายให้ได้ และพระสาวกก็มีฌานรู้ด้วยว่าพระพุทธเจ้า กำลังประทับอยู่ที่บ้านช่างปั้นหม้อนั่นเอง ที่ๆซึ่ง กามนิตเผ่นออกมาก่อนหน้า โดยไม่รู้ว่าตนอยู่พักร่วมกับ พระพุทธเจ้ามาตลอดคืนที่นั่น ..ท่านรำพึงว่า..กามนิต หนุ่มนี้ สนใจเพียงรูปลักษณ์ของพระศาสดา หาใช่ที่ พระธรรมคำสั่งสอนอันสำคัญเหนือสิ่งอื่นใดไม่ ดังที่.. พระพุทธเจ้าได้สำทับไว้ก่อนหน้ากับกามนิตว่า ธรรมใดๆ.. ที่พิจารณาไว้แล้วว่าเป็นประโยชน์ และดีในการปฏิบัติกับ ตนเองได้แล้ว ก็ไม่ควรสนใจไปอีกว่าธรรมนั้น..เป็นของใคร หรือคนพูดนั้นเป็นใคร หล่อหรือสวยอย่างไร เป็น ศ.หรือ เป็น ดร.หรือไม่ ..ฯลฯ ....ดังนี้เป็นต้น

ก็เลยพล่ามมาเสียยาวเฟื้อยเหมือนเดิม ยังคงเป็นผีเร่ร่อน ในเว็บบอร์ดนี้อยู่ดี..ครับ

โดย เพื่อนอาจารย์ [12 ธ.ค. 2545 , 12:00:57 น.]

ข้อความ 2

ถ้าเช่นนั้นคุณเพื่อนอาจารย์ก็คงเป็นผีสางที่มีตบะแก่กล้าจริงๆครับ ได้พูดคุยกับคุณเพื่อนอาจารย์สนุกกว่าคุยกับเพื่อนๆรุ่นเดียวกันเยอะเลย แบบว่าจินตนาการของคุณเพื่อนอาจารย์มันช่างสูงส่งจนสุดที่ปรมัตถพิกัด+กับแนวคิดทางพุทธปรัชญาที่ไม่ใช่การงมงายสักแต่เชื่อเหมือนคนอื่นๆที่ยังหลงกับรูปลักษณ์ทางกายภาพ ว่างๆก็ขอความกรุณาเช่นเคยนะครั่บ(-_- )

โดย ผีจญิมโณเภดัย [12 ธ.ค. 2545 , 15:40:05 น.]

ข้อความ 3

ฮ่าๆๆ....นั่นสิ เหมือนความรักในเนตมั๊ย อาจารย์ ...ไม่เจอตัว เห็นในความคิด ไม่ฟังเสียงแต่ได้ยินก้องในความคิด ว่าดี...

โดย ชักจะเพี้ยนแล้วตรู [12 ธ.ค. 2545 , 17:45:36 น.]

ข้อความ 4

เป็นคำตอบที่ได้รู้จักและสัมผัสกับจิตวิญญาณมากเลยครับขอบคุณครับแอบนึกในใจเหมือนกันว่าจะได้คำตอบประมาณนี้ แต่ก็คิดไม่ได้ว่าท่านคือคนที่ผมเคยเดินผ่านที่คณะหรือที่ใดมุมไหนในโลกและไม่ได้ทักทายทั้งที่เหมือนเคยรู้จักและคุ้นเคยมานานในที่แห่งนี้ ถึงยัง..ไงก็ขอเคารพด้วยจิตคารวะผีเร่ร่อนในเว็บบอร์ดตนนี้อยู่ดีครับ

โดย กามนิตหนุ่ม [12 ธ.ค. 2545 , 18:03:13 น.]

วันพุธ, พฤศจิกายน 29, 2549

ความรัก...คือ...อะไร

เมื่อคืนก่อน..นอนดูหนังจีนเรื่อง"กระบี่เย้ยยุทธจักร์" งานวรรณกรรมของกิมย้งปรมาจารย์หนังจีนกำลังภายใน มีตอนหนึ่ง..แม่ชีน้อยอี่ลิ้ม ตอบคำถามแม่นางอิ๋งอิ๋ง....ว่า

"คนเราถ้าจะรักใคร จะต้องไม่มีเงื่อนไข และไม่ต้องการสิ่งตอบแทน...ใดๆ อะไรก็ตาม ที่ทำให้คนที่เรารักมีความสุข ตัวเราเองย่อมต้องเป็นสุขไปกับเขาด้วย... อันความรักมักเกิดความหึงหวง.. แต่ถ้าเรารักเขามากจริงๆแล้ว เราจะไม่มีความหึงหวงนั้นเลย"

ฟังแล้ว...แม่นางอิ๋งอิ๋ง ก็เข้าใจ ..บรรลุธรรมนี้แล

2 : ขอเพิ่มเติม..การรำพัน..เรื่องความรัก ของปรมาจารย์หนังจีนกำลังภายใน...อีกผู้หนึ่ง ...ท่านโกเล้ง..ฉายามังกรโบราณ

ความรัก คืออะไร?

รักกันดูดดื่มจนลืมตาย รักจนกระทั่งประสาทเลอะเลือน รักจนกระทั่งปัญญาโง่งม รักจนกระทั่งหากขาดเธอฉันก็จะตาย นอกจากเธอแล้วฉันไม่ต้องการสิ่งอื่นใดอีก รถยนต์ก็ไม่ต้องการ ตึกก็ไม่ต้องการ ชื่อเสียงก็ไม่ต้องการ อาชีพการงานก็ไม่ต้องการ มิตรสหายก็ไม่ต้องการ กระทั่ง พ่อ แม่ พี่ น้อง สามี และ บุตรก็ไม่ต้องการ กระทั่งแม้ทรัพย์สินเงินทองเพชรพลอย ก็ไม่ต้องการ กระทั่งแม้ชีวิตก็ไม่ต้องการ นี่จัดว่าเป็นความรักได้ไหม? ...แน่นอน ต้องเป็น

หากว่าแม้กระทั่งอารมณ์ความรู้สึกเช่นนี้ยังไม่อาจจัดว่าเป็นความรัก จะยังมีอารมณ์ความรู้สึกใดที่จัดว่าเป็นความรักได้อีก?

..แต่ว่า..ความรักเช่นนี้สามารถรักษาไว้ได้นานเท่าใดเล่า?

ความรักและมิตรภาพไม่เหมือนกัน

ความรัก คือสิ่งจริงแท้ คือสิ่งที่เข้มข้น คือการไม่คำนึงถึงสิ่งอื่นใด คือการไม่คำนึงถึงความเป็นความตาย คือสิ่งที่สามารถทำให้หูของ คนเปลี่ยนเป็นหนวก ดวงตาของคนเปลี่ยนเป็นบอด และที่น่าเสียดาย ที่ความรักโดยทั่วไปแล้วมักเป็นสิ่งที่สั้นเพียงชั่วระยะหนึ่ง แต่ว่านี่ย่อมไม่ใช่เรื่องน่าเศร้า

แต่เมื่อยามที่ความรักแท้จริงได้รับการฟูมฟักดูแลอย่างตั้งใจ ย่อมจะออกดอกอันงดงามและหอมจรุงชนิดหนึ่ง...ดอกไม้แห่งมิตรภาพ

มิตรภาพและความรักนั้นไม่เหมือนกัน โดยพื้นฐานแล้วกลับเป็นสิ่งเกี่ยวโยงกัน เพราะว่าล้วนแต่เป็นอารมณ์ความรู้สึกที่บริสุทธิ์ที่สุด ดั้งเดิมที่สุด และเป็นความรู้สึกที่ปัจจุบันที่สุดเช่นกัน และเนื่องจากมนุษยชาติมี ความรู้สึกเช่นนี้เอง ดังนั้นมนุษยชาติจึงดำรงอยู่เป็นนิรันดร์

คนที่รู้จักกันนานปี แต่งงานเป็นสามีภรรยากัน ถึงท้ายที่สุดแล้วต้องมี มิตรภาพต่อกันและกัน มิตรภาพของคนที่ไว้ใจซึ่งกันและกัน มิตรภาพ แห่งการพึ่งพาแก่กันและกัน มิตรภาพที่จะไม่จากกันจนกว่าความตาย จะมาพลัดพราก ....ความรู้สึกผูกพันระหว่างท่านและสามีหรือภรรยาของท่าน คือมิตรภาพ? หรือว่าคือความรัก?

จาก..."เดียวดายใต้เงาจันทร์..โก้วเล้ง รำพัน" แปลเรียบเรียงโดย เรืองรอง รุ่งรัศมี...สำนักพิมพ์มติชน

3 : คราวนี้ลองมาฟังอีกทัศนะในแง่พระพุทธศาสนา อันเป็นคำสอนของสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า นะครับ....

รักด้วยเมตตาเป็นอย่างไร ? รักด้วยตัณหาเป็นอย่างไร ?

ความรักด้วยเมตตา .....เป็นความเยื่อใยในคนอื่น ใคร่ จะให้เขาได้ดีมีสุข โดยไม่ได้คำนึงว่า การได้ดีมีสุขของ คนเหล่านั้น ตนเองจะมีส่วนเกี่ยวข้องหรือไม่

ส่วนความรักด้วยตัณหา ......เป็นเพียงความอยากได้ เป็นเพียงความเพลิดเพลินว่า ถ้าบุคคลนั้นมีอยู่เป็นไป อยู่ก็เป็นความสุขแก่เรา แม้ว่าบางครั้งจะเป็นการกระทำ ที่คิดว่าจะให้ผู้อื่นได้ดีมีสุขก็ตาม ตนเองต้องมีส่วน เกี่ยวข้องในความได้ดีมีสุขนั้นด้วย จึงจะกระทำ

ความรักด้วยเมตตา ......ไม่มีการหวังผลตอบแทน แม้ เพียงให้ผู้อื่นเห็นความดีของตน จึงไม่เป็นเหตุแห่งความ ทุกข์ ความเสียใจเนื่องจากความผิดหวังในภายหลัง

ส่วนความรักด้วยตัณหา ...มีการหวังตอบแทน ต้องการ ให้เขารักตอบ โดยที่สุด แม้เพียงให้เขาเห็นความดี ของตน เพราะฉะนั้น จึงมีโอกาสเป็นเหตุแห่งความ ทุกข์ความเสียใจ อันเนื่องมาแต่ความผิดหวังในภาย หลังได้ สมตามพระดำรัสที่ว่า "ที่ใดมีรัก ที่นั่นมีทุกข์"

นี่เป็นความแตกต่างระหว่าง เมตตา กับ ตัณหา ความจริง คนเรายังละตัณหาไม่ได้อย่างพระอรหันต์ ก็มีทั้งความรักด้วยเมตตา และตัณหา เพียงแต่ว่า ใน ทั้งสองอย่างนั้น อย่างไหนจะเป็นประธานออกหน้ากว่า กันเท่านั้น

เพื่อเป็นการทำความรู้จักกับธรรมชาติ ที่ชื่อว่า "เมตตา" นี้ ดียิ่งขึ้น จึงควรทราบลักษณะเป็นต้นแห่งความเมตตานี้ก่อน ดังต่อไปนี้

เมตตา - มีความเป็นไปโดยอาการเกื้อกูล เป็นลักษณะ - มีความนำเข้าไป ซึ่งประโยชน์เกื้อกูลเป็นรส (กิจ) - มีการกำจัดความอาฆาตเป็นอาการปรากฏ - มีการเล็งเห็นภาวะ ที่สัตว์ทั้งหลายน่าพอใจ เป็นเหตุใกล้ให้เกิด

ก็สมบัติ คือ คุณของเมตตานี้ ได้แก่ความเข้าไปสงบความ พยาบาทได้นั่นเอง เพราะธรรมชาติของเมตตา เป็นไปเพื่อ กำจัดโทสะ ความเกิดขึ้นแห่งความใคร่ จัดว่าเป็นความวิบัติ ของเมตตา เพราะเหตุที่จะกลับกลายเป็นความรักด้วย ตัณหาไป ดังนี้

เพื่อเป็นการปลูกอุตสาหะ จะได้กล่าวถึงอานิสงส์ หรือ ประโยชน์ที่จะพึงได้รับจากการเจริญเมตตา ผู้เจริญ เมตตา พึงได้รับอานิสงส์ ๑๑ ประการ คือ
๑. หลับเป็นสุข ๒. ตื่นเป็นสุข ๓. ไม่ฝันร้าย ๔. เป็นที่รักของมนุษย์ทั้งหลาย ๕. เป็นที่รักของอมนุษย์ทั้งหลาย ๖. เทวดารักษา ๗. ไฟก็ดี ยาพิษก็ดี อาวุธก็ดี ย่อมล่วงเกินเขาไม่ได้ ๘. จิตย่อมตั้งมั่นได้เร็ว ๙. มีสีหน้าผ่องใส ๑๐. ไม่หลงตาย ๑๑.

เมื่อยังแทงตลอดธรรมที่สูงไปกว่านี้ไม่ได้ ก็จักเข้าถึงพรหมโลก

วิธีเจริญเมตตา
อันดับแรก ก่อนที่จะเจริญเมตตา ควรพิจารณาคุณของขันติ คือความอดกลั้น และโทษของความโกรธก่อน ถามว่า เพราะเหตุใด เพราะว่าการเจริญเมตตานี้เป็นไปเพื่อละโทสะ และเพื่อบรรลุธรรม คือ ขันติ ถ้าเราไม่รู้จักโทษของความโกรธ เราก็จะละความโกรธไม่ได้ และถ้าไม่รู้จักคุณของขันติ ก็จะบรรลุขันติไม่ได้

ควรพิจารณาเสมอว่า คนเราถ้าขาดความอดกลั้นเสียอย่างเดียว จะทำการงานอะไรๆ ให้สำเร็จมิได้เลยเพราะมีปัญหาอะไรนิดๆหน่อยๆ เขาก็ทนไม่ได้ คืองานหนักหน่อยก็บ่น ไม่ถูกใจผู้บังคับบัญชา หรือ เพื่อนร่วมงาน แม้ในเรื่องเล็กๆน้อยๆก็บ่น ก็ทนไม่ได้ จะหยุดงาน จะลาออก อย่างนี้แล้วจะไปประสบความสำเร็จในการงานอาชีพอะไรได้ เพราะมัวแต่ตั้งต้นกันใหม่ เริ่มกันใหม่อยู่ร่ำไป ทางโลกซึ่งเป็นเรื่องหยาบ ยังเป็นอย่างนี้ ทางธรรม โดยเฉพาะการปฏิบัติธรรมในส่วนเบื้องสูง จะป่วยกล่าวไปใยถึงความสำเร็จ ขันติจึงเป็นธรรมที่ต้องการอย่างยิ่ง ในเบื้องต้น ขาดขันติแล้ว การเจริญกุศลทุกอย่าง ย่อมสำเร็จไปไม่ได้ แม้แต่กุศลขั้นต่ำสุด คือทาน ได้แก่การให้ก็จะทำได้ไม่ดี เพราะพอ รู้สึกว่ายากลำบากหน่อยก็จะทำได้ไม่ดี เพราะพอรู้สึกว่ายากลำบาก หน่อยก็จะไม่ทำ เมื่อกุศลขั้นต่ำสุด ยังทำไม่ได้ กุศลที่สูงยิ่งไปกว่านี้ จึงมิจำเป็นต้องพูดถึง เพราะเป็นเรื่องที่ต้องฝืนกิเลสมากกว่า จึงต้อง ใช้ความอดกลั้นมากกว่า

ก็เป็นอันว่า ขันติคือความอดกลั้น เป็นธรรมที่จำเป็นต้องมีกำกับใน การกระทำกุศลทุกอย่าง เพราะเหตุนั้นนั่นเอง จึงทรงตรัสสรรเสริญธรรม คือ ขันตินี้ไว้ในฑีฆะนิกาย มหาวรรค ว่า

ขนฺตี ปรมํ ตโป ตีติกฺขา นิพฺพานํ ปรมํ วทนฺติ พุทฺธา

ซึ่งแปลว่า "ขันติ คือ ความอดกลั้นเป็น ตบะ (ธรรมเครื่องแผดเผา กิเลสให้ไหม้ไป) อย่างยิ่ง พระพุทธเจ้าทั้งหลายกล่าวนิพพานว่า เป็นธรรมที่ยอดเยี่ยม" ดังนี้ หรือใน ขุทกนิกาย ธรรมบท ๒๕/๖๙ ว่า

ขนฺติพลํ พลานีกํ ตมฺหํ พฺรูมิ พฺราหฺมณํ

ซึ่งแปลว่า "เรากล่าว บุคคลผู้มีขันติเป็นกำลังเป็นกองทัพนั้นว่า เป็นพราหมณ์" ดังนี้ หรือใน สังยุตตนิกาย สคาถวรรค ๑๕/๓๒๕ ว่า

ขนฺตฺยา ภิยฺโย น วิชฺชติ

ซึ่งแปลว่า "ประโยชน์ยิ่งกว่าขันติ หามีไม่" ดังนี้เป็นต้น นี้เป็นคุณของขันติที่พึงพิจารณาเนืองๆ
ส่วนสำหรับโทษของความโกรธนั้น มองเห็นได้ง่าย เช่นว่า - คนเราจะประสบความสำเร็จในงานอาชีพ เพราะความโกรธ ก็หาไม่ ที่แท้แล้วมันจะล้มเหลวพินาศไปก็เพราะความโกรธนั่นแหละ

- คนมักโกรธ ไม่มีใครอยากเข้าใกล้อยากคบเพราะเขากลัวจะ มีเรื่องทะเลาะเบาะแว้งขัดเคืองใจกัน
- คนเราเมื่อความโกรธครอบงำ โอกาสที่จะขาดสติสัมปชัญญะ กระทำกรรมชั่วด้วยกาย วาจา และด้วยใจ ย่อมมีได้ ทั้งๆที่ไม่คิด ว่าจะทำได้มาก่อน ซึ่งอย่างน้อยมันก็จะเป็นเหตุให้ต้องเสียใจ เสวยทุกข์โทมนัสในการกระทำของตนในภายหลังได้ ในเมื่อได้สำนึก
- หลายคนต้องเสวยทุกข์ เสวยความลำบากเพราะการถูกลงโทษ ลงอาญาจากทางบ้านเมือง รวมทั้งต้องเสวยทุกข์ด้วยความเดือดร้อน ในอบาย เพราะกรรมชั่วที่ทำด้วยความโกรธ ฯลฯ

อนึ่ง โทษของความโกรธ พึงทราบโดยนัยตรงข้ามกับอานิสงส์ ของเมตตา ประการที่กล่าวมาแล้วนั่นเทียว นี้เป็นโทษของความโกรธที่พึงพิจารณาเนืองๆ

ก็เมื่อจะอบรมจิต เจริญเมตตา ควรแยกบุคคลที่เป็นอารมณ์ของ เมตตาออกก่อน ไม่ควรเจริญในบุคคล ๔ ประเภทก่อน คือ คนที่เกลียด ๑ คนกลางๆ ๑ คนที่รักมาก ๑ คนมีเวร หรือเป็นศัตรูกัน ๑ เพราะจิตใจที่ยังไม่คุ้นเคยกับความรู้สึกของเมตตา เมื่อพยายามจะ แผ่ความรักไปยังคนที่เกลียด โดยทำให้เป็นที่รัก ย่อมลำบาก ทำได้ยาก ถ้าพยายามแผ่ไปในคนที่รักมาก เช่น บุตร ภรรยา หรือสหายรัก โอกาสที่ จะเกินเลยกลายเป็นตัณหาไปก็มีมาก สำหรับบุคคลที่เป็นกลางๆ ไม่ได้รัก แต่ไม่ถึงกับเกลียด การที่จะทำให้ความรู้สึกพอใจ อิ่มเอิบใจเป็นไปใน บุคคลนั้นได้นานๆ ย่อมเป็นการลำบาก ส่วนผู้ที่มีเวรเป็นศัตรูกันมาก่อน นั้นเล่าก็แทบจะไม่ต้องพูดถึงกันเลย เพราะปกติเพียงแต่นึกถึงเขาใน แง่ดีบ้าง ก็ยังยากอยู่แล้ว จะป่วยการกล่าวไปใยถึงการที่จะแผ่เมตตาไปในเขา เพราะฉะนั้น แรกเริ่มเดิมที ควรเว้นบุคคลเหล่านี้เอาไว้ก่อน

เมื่อเป็นเช่นนี้จะให้เริ่มที่ใครก่อนเล่า ?
ตอบว่าในตนเองก่อน ควรสงสัยว่า ทำไมจะต้องให้แผ่เมตตาไป ในตนก่อน เพราะตามปกติ คนเราก็มีความรักในตนเองอยู่แล้ว? ตอบว่า ความรักที่มีในตนนั้น สำหรับผู้ที่มิได้มีจิตอบรมมาทางเมตตา จนเกิดความคุ้นเคยแล้ว มักจะเป็นไปด้วยอำนาจตัณหาไม่ใช่เมตตา เพราะมันเกิดขึ้นโดยสักแต่เห็นว่า "เป็นเรา" เมื่อเป็นเช่นนี้อะไรๆ ที่เกี่ยวกับตัวเรามันก็เป็นไปได้ในด้านดีไปเสียทั้งนั้น

ก็แต่ว่า ความเมตตาที่เป็นไปในตนที่ประสงค์เอาในที่นี้ ได้แก่ที่ทำให้ เกิดขึ้นในฐานะว่า เราก็เป็นสัตว์โลกผู้หนึ่งเช่นเดียวกับคนอื่นๆที่รักสุข เกลียดทุกข์เท่านั้นเอง พูดง่ายๆว่า การเจริญเมตตาในตนก็คือการทำ ความใคร่ต่อประโยชน์สุข และประโยชน์เกื้อกูลต่อบุคคลอื่นให้เกิดขึ้นโดย ตั้งตนไว้ในฐานะแห่งพยานนั่นเอง โดยนัยว่า "เราเป็นผู้ใคร่สุขเกลียดทุกข์ รักชีวิตและไม่อยากตายฉันใด แม้บุคคลอื่น สัตว์อื่นทั้งหลายก็ฉันนั้น" ดังนี้เป็นต้น ซึ่งแม้แต่พระพุทธเจ้าเองก็ตรัสไว้ใน สังยุตตนิกาย สคาถวรรค ๑๕/๑๐๙ ว่า

สพฺ พา ทิสา อนุปริคคมฺม เจตสา เนวชฺฌคา ปิยตรมตฺตนา กฺวจิ เอวํ ปิโย ปุถุ อตฺตา ปเรสํ ตสฺมา น หึเส ปรมตฺตกาโม

ซึ่งแปลว่า " เราเที่ยวตามค้นหาด้วยใจตลอดทิศทั้งปวง ก็ไม่ได้พบพานบุคคล ผู้เป็นที่รักยิ่งกว่า ตน ในที่ไหนไหนถึงตนของคนเหล่าอื่น ก็เป็นที่รัก มากมายอย่างนี้เหมือนกัน เพราะฉะนั้น บุคคลผู้รักตน ไม่ควรเบียด เบียนผู้อื่น" ดังนี้

เมื่อได้อบรมเมตตา โดยตั้งต้นไว้ในฐานะพยานอย่างนี้ จนคุ้นเคย คล่องแคล่วดีแล้ว ต่อไปก็ให้แผ่ไปในบุคคลอื่นๆ คือในบุคคลผู้เป็น ที่รักอย่างกลางๆ ไม่ถึงกับเป็นที่รักมากค่อนไปในทางเคารพบูชา เช่น ผู้ตั้งอยู่ในฐานะเป็นครูเป็นอาจารย์เป็นต้น จนคุ้นเคยคล่องแคล่วดีแล้ว ต่อจากนั้นก็แผ่ไปในบุคคลที่รักมาก ที่มีเวร หรือเป็นศัตรูกันถ้าหากว่า มีตามลำดับ

ก็แต่ว่าเวลานึกถึงบุคคลผู้มีเวรกันนั้น ความขัดเคืองย่อมมีโอกาสเกิดขึ้นได้ เพราะได้ระลึกถึงโทษที่เขาได้ทำไว้แก่เรา ก็เป็นเหตุขัดขวางการเจริญเมตตา เพราะฉะนั้น ต้องทำให้ความขัดเคืองอันนั้นสงบลงไปโดยอุบายวิธีดังต่อไปนี้ก่อน

- ลำดับแรกตักเตือนตนเองว่า พระพุทธเจ้าทรงติเตียนผู้ที่โกรธตอบผู้อื่นว่า เลวกว่าเขา เพราะเหตุที่รู้อยู่แล้วว่า ความโกรธนั้นเป็นของไม่ดี ก็ยังทำให้มัน เกิดขึ้นในใจของตนอีก เท่ากับช่วยขยายความโกรธนั้นให้แผ่กว้างออกไป

- คนที่เป็นศัตรูย่อมปรารถนาไม่ดีต่อศัตรูของตนว่า "ขอให้ผิวพรรณทราม" บ้าง "ขอให้อัตคัด ยากจน" บ้าง "ขอให้ทรัพย์สมบัติพินาสวอดวาย" บ้าง ตลอดจน "ขอให้ตกนรก" บ้าง ก็แต่ว่าการที่เราโกรธเขาแล้วปรารถนาอย่าง นี้นั้น ผู้ที่มีโอกาสประสบความไม่สวัสดีก่อนเป็นคนแรกคือ เรานี้เอง เพราะความโกรธที่เกิดขึ้นขณะนี้ กำลังทำให้เรามีหน้าตาขมึงทึง ผิวพรรณทราม และถ้าหากว่าลุแก่อำนาจของความโกรธแล้ว เราก็ต้องทำกรรมชั่ว มีหวังว่า จะต้องประสบกับความอัตคัด ยากจน เป็นต้น ตลอดแม้จน ตกนรกก็ได้ พราะฉะนั้น การโกรธเขาก็คือการให้ทุกข์แก่ตน เหมือนซัดทรายทวนลม ไปฉะนั้น

ถ้าได้ตักเตือนตนอย่างนี้แล้วยังมิได้ผล ก็ลองใช้วิธีอื่นดู คือ ความประพฤติของคนเรามี 3 แบบ คือ ความประพฤติทางกาย ความประพฤติทางวาจา และความประพฤติทางใจ

บางคนความประพฤติทางกายไม่ดี เช่น เป็นคนหยาบคายทางกริยา ลุกลี้ลุกลน ไม่สำรวม แต่ ความประพฤติทางวาจาของเขาดี คือ พูดจาอ่อนหวาน พูดจาชัดถ้อยชัดคำ พูดง่ายๆ ว่าดีทางเจรจาให้คน ฟังชอบใจ กรณีนี้ให้เรานึกถึงแต่ความประพฤติทางวาจาของเขา โดยอย่าพยายามนึกถึงความประพฤติทางกายของเขา ความขัดเคือง ก็มีโอกาสสงบลงได้

หรือบางคนความประพฤติทางวาจาไม่ดี มีพูดจาสามหาว มากไปด้วย คำหยาบเป็นต้น แต่มีความประพฤติทางใจดี เช่นเป็นผู้มากในการทำกุศล เช่นชอบช่วยเหลือผู้อื่นเป็นต้น อย่างที่เราเรียกว่า ปากร้ายใจดีนั่นแหละ เราก็อย่าพยายามนึกถึงความประพฤติทางวาจาของเขาให้พยายามนึกถึง ความประพฤติทางใจของเขาเท่านั้น ความขัดเคืองก็มีโอกาสสงบลงได้

หากว่าบางคนมีความประพฤติไม่ดีเลยทั้งสามทาง ก็ไม่มีอุบายวิธีอื่นใด นอกจากตั้งความกรุณาให้เกิดขึ้น ว่า "บุคคลผู้นี้ อุตส่าห์ได้อัตตภาพมา เป็นมนุษย์แล้ว ก็ปล่อยโอกาสให้เสียไป จะประพฤติอะไรให้สมกับ อัตตภาพไม่มีเลย เขามีโอกาสท่องเที่ยวไปในโลกมนุษย์ก็แต่อัตตภาพนี้ เท่านั้น อัตตภาพต่อไปก็เห็นทีว่าจะท่องเที่ยวอยู่แต่ในอบายมีนรกเป็นต้น เป็นแน่แท้" ดังนี้ ความขัดเคืองก็พอจะสงบระงับไปได้เหมือนกัน

ถ้าหากว่า โดยอุบายวิธีนี้แล้ว ยังไม่ได้ผลอีก ยังมีความโกรธความขัดเคืองอยู่ นั้นเอง ก็ลองให้โอวาทตนเองดังต่อไปนี้ดู

คือ ให้พิจารณาถึงภาวะ ที่บุคคลมีกรรมของตน ว่า "ทุกคนมีกรรมเป็นของตนจะ ประสบสุข ประสบทุกข์ ก็ด้วยกรรมของตนที่ได้กระทำไว้เท่านั้น ไม่มีใครทำให้ บัดนี้ตัวเจ้าอาศัยความโกรธ คิดจะกระทำตอบแทนต่อเขา ก็กรรมที่คิดจะกระทำ ต่อเขานั้น มันจะเป็นไปเพื่อความทุกข์ ความไม่สวัสดีแก่เขาก็หาไม่ ที่แท้ตัวเจ้า ผู้กระทำนั่นแหละ จะเป็นผู้รับผลแห่งกรรมนั้น เปรียบเหมือนการจับก้อนอาจม หรือ ก้อนถ่านลุกแดง ใคร่จะปาให้โดนผู้อื่น คนจับปานั่นแหละเป็นคนเปื้อนอาจม ก่อน ถึงฝ่ายเขาก็เช่นเดียวกัน การที่เขามุ่งร้ายต่อเรา ทำกรรมไม่ดีต่อเขา เขานั่นแหละ จักเป็นผู้รับผลแห่งกรรมชั่วที่เขาก่อไว้ มิใช่เราทำให้" ดังนี้ ก็อาจจะยังความโกรธ ความไม่พอใจให้สงบระงับได้

ถ้าหากว่า โดยอุบายนี้แล้ว ยังไม่ได้ผลอีก ยังมีความโกรธความขัดเคืองอยู่นั่นเอง ก็ลองใช้อุบายอื่นอีก คือ สำหรับบุคคลผู้มากด้วยศรัทธาในพระรัตนตรัย ก็พึง พิจารณาความประพฤติของพระศาสดาในครั้งยังเป็นพระโพธิสัตว์ บำเพ็ญ ปารมีอยู่ โดยอาศัยเรื่องราวในชาดก อันกว่าด้วยการบำเพ็ญขันติบารมีว่า ในครั้งนั้นๆ พระโพธิสัตว์ทรงอดกลั้นต่อความโกรธ ไม่ลุแก่อำนาจของความโกรธ แม้ต่อผู้ที่มาปลงชีวิตของพระองค์ดังนี้ เป็นต้น สำหรับเราเรื่องก็เพียงเล็กๆน้อยๆ ไม่ถึงขนาดว่าจะเอาชีวิตอะไรกันยังอดกลั้นไม่ได้ ป่วยการที่จะนับถือพระพุทธองค์ ว่าเป็นศาสดา ด้วยว่าโอวาทจากพระองค์เพียงเล็กๆน้อยๆ ก็ยังปฏิบัติตามไม่ได้

หากว่าความโกรธยังไม่สงบอีก แม้ด้วยอุบายวิธีนี้ เพราะเหตุที่เป็นผู้มีกิเลสสะสม มาหนาแน่น อย่างยากที่จะสะสาง ก็พึงพิจารณาความที่ตนมีความเกี่ยวข้องในด้านดี กับคนอื่น มาแล้วในสังสารวัฏฏ์อันยาวนาน โดยนัยแห่งพระดำรัส ที่ตรัสไว้ใน สังยุตตนิกาย นิทานวรรค ๑๗/๒๒๓-๒๒๔ ว่า

"น โส ภิกฺขเว สตฺโต สุลภรูโป โย น มาตา ภูตปุพฺโพ ฯเปฯ" ดังนี้ เป็นต้น

ซึ่งแปลว่า "ดูกร ภิกษุทั้งหลาย สัตว์ที่ไม่เคยเป็นมารดา ที่ไม่เคยเป็นบิดา ที่ไม่เคยเป็นพี่ชาย น้องชาย ที่ไม่เคยเป็นพี่สาว น้องสาว ที่ไม่เคยเป็นบุตร ที่ไม่เคยเป็นธิดาหาได้ไม่ง่ายเลย" ดังนี้ เพราะฉะนั้น ความคิดอย่างนี้ว่า "ในสังสารวัฏที่เราเกิดๆ ตายๆ อยู่นาน หนักหนานี้ ผู้นี้อาจเคยเป็นบิดา เป็นมารดา ผู้เคยถนอมกล่อมเกลี้ยงเลี้ยงดูเรามา ตั้งแต่ยังอยู่ในครรภ์ด้วยความรัก แม้ชีวิตก็ยินดีสละให้ได้ ในเวลานี้โทษที่เขาทำ กับเราแม้ว่ามีอยู่ แต่เมื่อเทียบกับบุญคุณในอดีตก็เป็นของเล็กน้อยนัก ไม่น่าถือ โกรธเลย" อะไรทำนองนี้ ความโกรธก็อาจสงบระงับได้

หรือไม่เช่นนั้น ก็โดยอุบายแยกธาตุ โดยนัยว่า "ธรรมทั้งหลายทั้งปวงเป็นอนัตตา ไม่ใช่ตัวตน ความจริงแล้ว สัตว์บุคคลหามีไม่ ที่แท้แล้วก็เป็นเพียงความเป็นไป ของนาม และรูป ซึ่งนามนั้นก็ยังประกอบด้วยขันธ์ต่างๆ มีเวทนาขันธ์ สัญญาขันธ์ สังขารขันธ์ และวิญญาณขันธ์ ถึงรูปแม้ว่าจะเป็นรูปขันธ์อย่างเดียว แต่รูปขันธ์นั้น ก็ยังประกอบด้วยมหาภูตรูป ๔ และอุปาทายรูป"

ก็ที่เราสำคัญว่า "โกรธเขานั้น โกรธใคร โกรธอะไร โกรธเวทนาหรือโกรธสัญญา โกรธธาตุดิน หรือโกรธธาตุน้ำ -- - - - " ก็จะหาบุคคลผู้ที่เราจะโกรธไม่ได้ ความโกรธย่อมมีโอกาสสงบระงับได้เหมือนกัน

ถ้าหากว่าไม่สงบระงับอีก ก็ลองใช้วิธีจำแนกทาน คือให้ตัดอกตัดใจสละของ อะไรๆที่มีค่าพอที่จะรู้สึกว่าเป็นการบริจาคให้แก่ผู้ที่เราผูกโกรธ ไม่พอใจคนนั้นไป วิธีนี้อาจจะสงบระงับความโกรธ ความไม่พอใจแต่ดั้งเดิมได้ เพราะการให้เป็นการ สร้างความรู้สึกที่เป็นมิตรอย่างหนึ่ง

อุบายวิธีต่างๆ เพื่อสงบระงับความโกรธความไม่พอใจเท่าที่กล่าวมานี้ ก็สามารถนำไปใช้ได้ในกาลทุกเมื่อความโกรธสงบระงับเป็นอย่างดีแล้ว ก็อบรมเมตตา ทำให้เป็นธรรมชาติที่คุ้นเคย ต่อไป

ที่กล่าวมาทั้งหมดนี้ เป็นเพียงเนื้อหาสาระบางประการที่ควรทราบเกี่ยวกับ เมตตาพรหมวิหาร ส่วนเนื้อหาสาระ เกี่ยวกับการเจริญเมตตา จนจิตสงบ ระงับไปตามลำดับจนกระทั่งบรรลุถึงอัปปนา หรือ ฌาน จะไม่ขอกล่าวในที่นี้ ความละเอียดในเรื่องนี้ ผู้สนใจจะหาดูได้ในคัมภีร์วิสุทธิมรรคเถิด.

บางส่วนจาก ปัญญาสาร ฉบับที่ ๖ เรื่อง เมตตา โดย ไชยวัฒน์ กปิลกาญจน์ (เก็บความจากคัมภีร์วิสุทธิมรรค มาเรียบเรียงอธิบาย) อภินันทนาการ จาก มูลนิธิ แนบ มหานีรานนท์

ป.ล...เรื่องของ"พรหมวิหารสี่" เป็นเครื่องมือสำคัญที่ทำให้ คนเราดำรงชีวิตอยู่อย่างมีความสุข และทำให้ โลกทั้งมวลมีความสุขและสันติด้วย....นะครับ

วันพฤหัสบดี, พฤศจิกายน 09, 2549

ร้านกาแฟ..ธุรกิจแบบเศรษฐกิจพอเพียง


มีร้านกาแฟแบบนี้....บ้างไหม? ท่านเคยคิดทำร้านขายกาแฟ ให้ผู้ซื้อเป็นผู้กำหนดราคาเองหลังจากดื่มกาแฟที่ท่านบริการแล้วเสร็จ บ้างไหม?คิดให้หนักก่อนที่จะร้อง..ยี้..แล้วบอก...ม่ายเอา

ร้านกาแฟส่วนมากในระบบทุนนิยม (สร้างหนี้ก่อนเปิดร้าน)มักกำหนดราคาเพื่อการตลาดและโลภ ...ทั้งที่เกินความเป็นจริงไม่ตรงกับการสมยอมและด้วยความพึงพอใจของลูกค้าเป็นหลักท่านลองขอเขาดมกาแฟก่อนทางร้านใส่เครื่องชง ว่ามีกลิ่นคุ้มค่าเงินที่ท่านต้องจ่ายหรือไม่? ...ส่วนมากเรามักจ่ายเกินคุณภาพของมัน

ต้นทุนกาแฟ(อย่างเดียว ) ๑ ช๊อท..คั่วเอง บดเอง ชงเอง ...ฟันธง..ไม่เกินสามบาท เชื่อหรือไม่? ไม่มีลูกค้าดื่มกาแฟสดไทยในเมืองไทยจ่ายเงินให้คุณต่ำกว่า ๒๐ บาทต่อแก้ว..แน่นอน โปรดอย่ากลัวจนเงินเกินที่ลูกค้าบางคนจ่ายให้มา ..คุ้มกับที่ให้คนไม่มีสตังค์(จริงๆ)ดื่มฟรี...แน่นอน..ชัวร์

มาลองทดสอบเรื่องนี้กันดีไหม? ....นี่แหละแนวคิดทำเศรษฐกิจแบบพอเพียง ..ไม่มีเงินเก็บและรวยความสุข ...ก็ให้มันรู้ไปเลยใจถึงกันอย่างนี้ซิ ถึงจะเป็นแฟนพันธ์แท้..คนรักกาแฟ

ผมก็ไม่ต่างกันเท่าไรเกิดมาโดยมีระบบทุนนิยมตะวันตกอัดสมองและการกระทำในเรื่องธุรกิจแต่ถ้าเราลองหวลกลับไปสู่อดีตของเราเราจะเห็นและเข้าใจความต่างกัน

แนวคิดเรื่องเศรษฐกิจพอเพียงเป็นเรื่องละเอียดอ่อนละเมียดละไมมากต้องอาศัยธรรมปฏิบัติเป็นฐานของความคิดเรื่องแรก..ถ้าเราจะมีธุรกิจกาแฟ ต้องรักและมีความรู้และสติและกุศลในทานเป็นเบื้องต้น เพิ่มพูนสติและความรู้ที่จะทำสิ่งนั้นๆให้มีผลดีสูงสุดเสมอๆ ..ผลตอบแทนธรรมปฏิบัติของเราก็จะตามมาไม่ต้องกลัวจน

สรรพสิ่งทั้งหลายในจักรวาลนี้มีความเชื่อมโยงเป็นองค์รวม เราชอบคิดแบบแยกส่วนและรวบรัดธรรมปฏิบัติในการทำงานของพวกเราเลยสับสนน้อยบ้าง มากบ้าง ตามระบบทุนนิยมผิด ที่เรามั่วนิ่มเป็นถูก กันในขณะนี้

คนรุ่นใหม่ๆกำลังตกเป็นเหยื่อของข่าวสารที่เป็นเท็จกันมาก โดยเฉพาะกระแสทางการตลาดหรือระบบ mba ที่เอาวัตถุหรือเงินเป็นที่ตั้งตามอย่างชาติตะวันตกบางชาติที่เมามันมุ่งสร้างความสุขจากภายนอก มากกว่าการสร้างความสุขจากภายในจิตใจของตัวเราเอง

คนรุ่นใหม่ต้อง คิดใหม่ คิดใหญ่ คิดริเริ่ม ด้วยฐานความรู้ความเข้าใจที่เรามีกันมา และทบทวนให้ถ่องแท้ในความพอดี พอเพียง และมีธรรมปฏิบัติเป็นหลัก กุศลในการกระทำย่อมเกิดตามหลักของทฤษฎีองค์รวม ดังพล่ามมาแล้ว
อย่าเพิ่งเชื่อ...แต่ก็อย่าเพิ่งปฏิเสธ...นะครับ

ใจเย็นๆครับอย่าเพิ่งกลัว"บุญ"ที่ยังมาไม่เห็นคุณภาพของกาแฟเป็นสิ่งที่เราต้องรักและรักษาไว้ยิ่งได้ผลที่ไม่พอใจก็ยิ่งต้องเร่งคุณภาพให้ดีขึ้น เป็นที่สุดเท่าที่เราทำได้ซึ่งต้องอาศัยความพอใจของลูกค้าเป็นหลัก

เมื่อคืนก่อนอ่านเรื่องกาแฟเรื่อง ลุงพร ชอนอาชีพในเศรษฐกิจชาวบ้านของมติชนท่านพัฒนาคุณภาพจากการให้คนชิมฟรีจนนานเดี๋ยวนี้ท่านยังขายด้วยราคาเพียง ๑๐ บาทล่าสุดที่ otop เมืองทอง ท่านขายได้ ๑๗๐,๐๐๐ บาท รวม ๙ วันทำยอดขายสูงสุดได้วันละ ๓๗,๐๐๐ บาท

นี่แหละครับ ตัวอย่างอนิสงษ์ของคนทำดีอย่าดูถูกคนไทยด้วยกัน ...โดยเฉพาะลูกค้าของเราครับ .....

อย่ากลัวจนเพราะทำความดี...นะครับ

ลองหลับตา..แล้วลืมภาพและความคิดทุนนิยมที่พบเห็นสร้างเป้าวัตถุประสงค์ที่ความสุข ไม่ใช่กำไรจากตัวเงิน

หากมีความสุขที่จะทำ...ก็จงทำ เงินทุนก็คิดแบบพอเพียง หาญาติ หาเพื่อน พวกพ้องให้มาร่วมทุนกัน อย่าสร้างหนี้ที่ตัวเองอาจรับความทุกข์ไม่ไหวเมื่อผิดพลาด ต้องมีการป้องกันความเสี่ยง ตามหลักเศรษฐกิจพอเพียง ภาพลวงๆทั้งหลายที่พบเห็นตามร้านที่มีอยู่ ลืมเลือนให้สิ้น มีเก้าอี้ให้ลูกค้าที่นับเสมือนเพื่อน มิตรสหาย พ่อแม่ ได้นั่ง มีที่ๆตั้งเครื่องชงกาแฟพอ เพื่อบริการกาแฟที่มีคุณภาพเป็นหนึ่งแค่นี้ก็นับเป็นร้านกาแฟที่ดีได้แล้ว อย่างอื่นเป็นเครื่องปรุงแต่ง

ลูกค้า ให้ถือเสมือนเป็น..เพื่อนๆ ญาติๆ พ่อแม่ ของเราทุกคนความรัก ความเมตตา และมิตรภาพ ที่เราหยิบยื่นให้ ต้องกลับมาตอบแทน เป็นส่วนมาก ไม่มีขาดทุน ความสุขจึงตามมา

ต้องฝึกจิตใจให้ยิ่งใหญ่ ใจใหญ่ เมตตาที่สูง อย่าเอาอย่างพวกนักธุรกิจขี้งก บ้าการเอาเปรียบผู้อื่น ...แล้วเจ้งในที่สุดซึ่งมีตัวอย่างให้พบเห็นมากมาย อย่างเช่นในเหตุการณ์เกิดขึ้นเร็วนี้

เมื่อ เป็นเจ้าของร้านกาแฟที่มุ่งความสุขเช่นนี้ ไม่มีวันล้มเหลวเพราะคิดจากความสุขบนพื้นฐานของความว่างเปล่า(ของจิต) ธุรกิจบนพื้นฐานเช่นนี้ จึงไม่มีอะไรที่ต้องกังวลใจ บนความว่างเปล่าของ(จิต)เจ้าของร้าน จึงทำให้มีพื้นที่มากมายให้(จิต)ผู้อื่น โดยเฉพาะลูกค้าได้จับจอง ไม่มีวันเจ้ง ไม่ว่าธุรกิจกาแฟเป็นขาขึ้นหรือขาลงไม่มีความหมาย เพราะความสุขและมิตรภาพ คือความยั่งยืนของธุรกิจร้านกาแฟที่ควรเป็นอย่างยิ่งในปัจจุบันนี้

ถ้าไม่เข้าใจ...หรือไม่อยากเป็น...ไม่เชื่อเมตตาธรรม และไม่เชื่อว่าชีวิต...มี จิตที่ความว่างเปล่า...ก็จงเป็นเจ้าของร้านกาแฟ ที่ทุกข์ระทมตลอดไปเถิด ...ไม่ว่าธุรกิจกาแฟจะขาขึ้นหรือขาลง ก็ไปไม่รอดหรอก...ครับ

จาก...คนรักกาแฟ...ตัวจริง

วันพุธ, กันยายน 06, 2549

คิดฟุ้ง..คุยเฟื่อง


space..ไทยๆ

space หรือที่ว่างแบบ ไทยๆ หรือแบบพอเพียงนี่มันควรจะเป็นรูปแบบไหนครับอาจารย์ เป็นแบบโล่งๆจัดกิจกรรมหลากหลายได้ในแบบชีวิตความเป็นอยู่ของชาวไทยสมัยก่อนหรือเปล่าครับ...แล้วมันจะเอามาใช้กับยุคสมัยนี้ได้อย่างอย่างไรครับ ...ขอบคุณอาจารย์มากครับ
โดย เด็กตึกแถว [13 ก.ค. 2548 , 18:42:35 น.]

ข้อความ 1
หรือว่าขึ้นอยู่กับกิจกรรมและวิถีชีวิตครับ
โดย เด็กตึกแถว [13 ก.ค. 2548 , 18:43:35 น.]

ข้อความ 2
พูดกันถึงที่ว่างในการออกแบบสถาปัตยกรรม โดยเฉพาะสถาปัตยกรรมไทย กิจกรรมและ วิถึชีวิตเป็นเรื่องสำคัญอย่างที่คุณอ้าง..ครับ

ความแตกต่างในเรื่องนี้หรือวัฒนธรรม ทำให้สถาปัตยกรรมของแต่ละชนชาติมี ความแตกต่างกัน มากกว่ารูปแบบ
ปัจจุบันวัฒนธรรมเชื่อมโยงกันมากขึ้น บางครั้งกลืนกินกันไปจนอาจยากที่จะ สังเกตุความแตกต่างได้ แต้ถ้าพิจารณากันให้ ละเอียดและเอาใจใส่มากขึ้น ความแตกต่าง ก็ยังเห็นๆกันได้อยู่

ความแตกต่างที่สำคัญ คือ เรื่องดินฟ้าอากาศ อันชี้นำหรือกำหนดให้วิถีชีวิตและกิจกรรม แตกต่างกันด้วย เรื่องที่ว่างของสถาปัตยกรรม ในอดีตของแต่ละชาติพึงเห็นได้ชัดเจน แม้ แต่ชาวเอเซียด้วยกันก็ตาม

ในหนังสือเรื่อง"เยินเงาสลัว" อธิบายเรื่อง ที่ว่างและสุนทรีย์ของชาวญี่ปุ่นได้อย่างน่าสนใจ หากมีใครศึกษาเรื่องทำนองนี้ เยินเงาสล้ว ในเรื่องที่ว่างของไทย ก็จะน่าสนใจไม่แพ้กัน

หากคุณมีเวลาลองไปเดินในบริเวณวัดพระแก้ว ตามลำพังและปล่อยอารมณ์ให้เต็มที่ ละก้อ คุณก็อาจได้สัมผัสสื่งนี้ได้ชัดเจนกว่ารูปทรง ที่พวกเรามักเน้นความต่างกันเป็นส่วนมาก จนบางทีเป็นการดัดจริต ติดยึดกับอดีตแบบ คนปัญญานิ่ม ไม่ลงลึกลงในความเข้าใจ สถาปัตยกรรมไทยที่เพียงพอ

ความคิดอย่างพอเพียงประสานความรู้ด้วย การมีสติปัญญาอย่างเพียงพอ เราก็จะสามารถ สร้างสถาปัตยกรรมที่งดงามและสมดุลป์กับ ธรรมชาติที่เราเป็นของแต่ละคนแต่ละชนชาติ ได้อย่างน่าชื่นชม.....นะครับ
โดย อาจารย์ [25 ก.ค. 2548 , 16:10:18 น.]

อยากรบกวนอาจารย์ช่วยอธิบายความสัมพันธ์ของ อดีต ปัจจุบัน และอนาคต ทั้งในทาง 1.พุทธศาสนา 2.วิทยาศาสตร์ 3.สถาปัตยกรรม เผื่อผมอาจจะเอาไปประยุกต์ใช้ในการออกแบบอ่ะครับ.....ขอบคุณอาจารย์ล่วงหน้าครับ
ปล....ตอนนี้อาจารย์เป็นไงบ้างครับ....ขอให้อาจารย์สุขภาพแข็งแรงนะครับ แล้วจะไปทานกาแฟร้านอาจารย์ครับ
โดย เด็กตึกแถว [19 มิ.ย. 2548 , 00:58:13 น.]

ข้อความ 1
เรื่อง...อดีต ปัจจุบัน และอนาคต

เมื่อตอนสองยามคืนก่อน ผมเขียนตอบมาแล้ว แต่.. ปรากฏว่ายาวเกินไป เซิฟเวอร์รับไม่ได้ เผอิญ.. ผมเข้าอินเทอร์เนทด้วยพีดีเอ จึงย้อนกลับไปแก้ไขไม่ได้ เลยต้องบรรเลงเพ้อเจ้อเรื่องนี้กันใหม่

นี่ถ้าอดีตเอาคืนมาได้ ผมก็คงยึดอดีต เอาข้อความที่ เขียนไว้ก่อนมาฉายซ้ำ...จึงไม่เป็นการคิดและเขียน ใน..ปัจจุบัน เมื่อเอาอดีตกลับมาได้ เราก็มักคิดเอาเป็น บันทัดฐาน เอาไปฉายซ้ำเรื่อยๆ บางครั้งก็ฝันเฟื่องไป.. อนาคต คิดปรับปรุงไปฉายซ้ำ หรือยัดเยียดให้เข้ากับเรื่อง ที่คล้ายๆกัน ....นี่เป็นตัวอย่างพฤติกรรมของผมที่เกิดขึ้น ในอดีตเมื่อคืนก่อนเท่านั้น..นะครับ ยังมีอีกมากมายที่ผม มักคิดและปฏิบัติทำนองนี้

ในแง่พุทธศาสนา...(เท่าที่สติปัญญาผมเข้าใจว่า)..เรามักติด ยึดกับ"อุปทาน" ของอดีต กับฝันเฟื่องเรื่องอนาคต เสมอๆ เลย ไม่เคยพบกับปัจจุบัน.. การฝึกเจริญสติและภาวนานั้น ก็เพื่อให้ จิตเข้าถึงปัจจุบันจริงๆ คนที่บรรลุธรรมในแนวทางพระพุทธศาสนา จะไม่ติดยึดกับอุปทานของ อดีตและอนาคต สภาพที่เกิดขึ้นของ ปัญญาในจิตขณะนั้น จึงเป็นเรื่องของความแท้จริงในสภาวะของ สรรพสิ่งทั้งหลายที่เกิดขึ้นในโลกสมมุติใบนี้ แต่...คนที่ยังยึดติดกับ อุปทานของอดีตและอนาคต ปัญญาที่เกิดขึ้นจึงไม่ตรงกับความเป็น จริงแท้ทั้งสิ้น...มันเป็นแค่ความจริงที่เกิดจากอุปทานที่ยึดไว้ในจิต ของแต่ละคน ...ซึ่งก็คือความจริงสมมุติของโลกในขณะนี้
โดย คุยครั้งที่ ๑ [20 มิ.ย. 2548 , 12:35:56 น.]

ข้อความ 2
ในแง่วิทยาศาสตร์...สาระของวิชาวิทยาศาสตร์บริสุทธิ์ (natural science) สำหรับนักวิทยาศาสตร์ ก็เพื่อการค้นหาความเป็นจริง ของธรรมชาติหรือของสรรพสิ่งทั้งหลาย พยายามศึกษากลไกของ ความเชื่อมโยงกันต่างๆนั่นเอง แต่เนื่องจากสภาวะจิตของนักวิทยา ศาสตร์ยังมีอุปทานติดยึดกับอดีตและอนาคต ไม่เป็นจิตปัจจุบัน ผล ทางทฤษฎีที่ประกาศ จึงเป็นความจริงสมมุติทั้งสิ้น ..พูดให้ฟังดี ก็ เป็นเพียงแค่ "เงา" ของความจริงเท่านั้น ...พ่อมดทางวิทยาศาสตร์ เช่น ไอสไตน์ เอง ก็ยอมรับในประเด็นนี้

ผลข้างเคียงของวิทยาศาสตร์บริสุทธิ์ (ที่ยังไม่สมบูรณ์) คือ วิทยาศาสตร์ ประยุกต์ที่แตกแขนงเป็นเทคโนโลยี ผลิตวัตถุกลไกต่างๆตามอุปทาน ของแต่ละคน จนทำให้ชีวิตของแต่ละคนสับสนวุ่นวายไปกันใหญ่ ก่อผล กระทบในเรื่องความสมดุลป์ของธรรมชาติต่างๆนานา ดังที่เราเผชิญ กันอยู่ในขณะนี้ และจะดำเนินต่อไปตามอุปทานที่ขยายเป็นความโกรธ โลภและหลง ....ตราบเท่าที่จิตยังห่างไกลกับสภาวะที่เป็นปัจจุบัน
โดย คุยครั้งที่ ๒ [20 มิ.ย. 2548 , 12:44:38 น.]

ข้อความ 3
ในแง่สถาปัตยกรรม ..เพราะจิตสถาปนิกยังข้องแวะกับอดีตและอนาคต ไม่เคยฝึกและเข้าใจความเป็นปัจจุบัน จึงนำเอาวิทยาศาสตร์ประยุกต์ของ เทคโนโลยีมาต่อแขนงให้ความเป็นจริงของสภาพแวดล้อมเตลิดเปิดเปิง ออกไปอีก เลยกลับกลายเป็นตัวเร่งทำลายความสมดุลป์หรือความเป็น จริงของธรรมชาติต่อๆไป ถ้าเราฝึกจิตให้อยู่ปัจจุบันมากๆ เราก็จะเข้าถึง สถาปัตยกรรมพอเพียงหรือสถาปัตยกรรมยั่งยืนได้มากขึ้น รูปลักษณ์ของ มันจะเป็นอย่างไรนั้น ผมว่าขึ้นอยู่กับผู้สร้างสรรค์ จะให้เกิดความสมดุลป์กับ ธรรมชาติได้มากน้อยอย่างไร จนเกิดความพอดี..ที่ตรงกับปัจจุบันที่สุด ไม่ใช่ กับอดีตที่เปลี่ยนแปลงไปแล้ว หรือสำหรับอนาคตที่ยังมาไม่ถึง และไม่จำเป็น ที่ต้องพยายามจะหยั่งรู้ไปให้ได้ก่อน ...

อาจารย์ฝรั่งของผมในอดีต เคยแย้งนักวิทยาศาสตร์ประยุกต์ ที่นำเอา สถาปัตยกรรมในอนาคต ที่จะเกิดขึ้นในห้วงอวกาศมาให้วิจารณ์ ท่านบอกกลับไปว่า ...นั่นเป็นสถาปัตยกรรมที่เป็นอยู่ขณะนี้ ไม่ใช่สถาปัตยกรรมของอนาคต ..เพราะเรื่องของอนาคต..ไม่มี ใครหยั่งรู้ได้ ..นอกจาก "พระเจ้า"..เท่านั้น

นี่เป็นการโม้ที่ผมพยายามให้จิตของผมเป็นปัจจุบันที่สุด ...แต่อนิจจา จิตผมก็ยังติดกับอุปทานของอดีตและอนาคต อีรุงตุงนังเหมือนคนอื่น หรือคุณ..เช่นกัน..ไม่มีขอยกเว้นครับ ...โปรดอย่ายึดคำตอบของผม เป็นสาระ ขอเพียงให้ช่วยสร้างแรงบันดาลใจในเรื่องที่คุณถามมา ก็พอแล้ว จงพยายามยึดคำเตือนของพระดีๆที่ว่า....ให้เราจงทำปัจจุบันที่เราคิดเรา รู้กันอยู่ขณะนี้(แม้เป็นความจริงสมมุติก็ตาม)..ให้ดีที่สุดก็แล้วกัน ขอให้งาน สถาปัตยกรรมของเรามีผลกระทบ(ด้านเลวๆ)กับต้วเราและผู้อื่น รวมทั้งกับ สรรพสิ่งทั้งหลายทั้งปวงรอบตัวเรา...ให้มันน้อยที่สุด..เท่าสติปัญญาเรามี อยู่ในขณะนั้น...ก็พอเพียงแล้ว...นะครับ
โดย คุยครั้งที่ ๓ [20 มิ.ย. 2548 , 12:46:27 น.]

ข้อความ 4
"อดีตสอนปัจจุบัน ปัจจุบันส่องอนาคต"..ให้อดีตเป็นครูแล้วทำปัจจุบันให้ดีที่สุด เพื่อที่อนาคตจะได้ไม่หันมาเสียใจหรือเสียดายในภายหลังใช่มั้ยครับ
โดย เด็กตึกแถว [21 มิ.ย. 2548 , 22:27:31 น.]

ข้อความ 5
ใช่เลย...ครับ
งานสถาปัตยกรรม...ไม่ต่างจาก "สากกะเบือ...ยันเรือรบ" จง ...ทำสากกะเบือให้ดีเท่ากับเรือรบ
นะครับ
โดย ถูกต้อง...นะคร๊าบบบ [23 มิ.ย. 2548 , 16:08:01 น.]

ข้อความ 6
เอ่อ อาจารย์ครับ แล้วศิลปะที่มีอยู่ทุกหนทุกแห่งหรือเปล่า...อะไรคือศิลปะที่ใกล้ชิดกับเรามากที่สุดครับ......แล้วคนเราจะเข้าถึงศิลปะที่อยู่ใกล้ชิดกับเราที่สุดได้อย่างไรครับ......
โดย เด็กตึกแถว [13 ก.ค. 2548 , 18:49:51 น.]

ข้อความ 7
ในซีดีที่แจกให้ไปอัดกันเองนั้น ในถังขยะฯ-๔ มีเรื่องเกี่ยวกับศิลปะ ในแง่พุทธศาสนา ที่ท่านพุทธทาส อรรถาธิบายไว้ ผมว่าน่าพิจารณาดูนะ ผมคิดว่าน่าจะได้คำตอบที่ใกล้เคียง ความ"เป็นจริง"ที่สุด

อย่าหาว่าเลี่ยงบาลีไม่ตอบตรงๆนะ ผมว่า"ความรู้"ของแต่ละคนไม่ได้มาจาก การบอกล่าว...แต่จะเกิดขึ้นจากความเข้าใจ ของแต่ละคนที่อาจแตกต่างกัน กัลยาณมิตร หรือ ครู ทำได้เพียงการชี้แนะบอกทาง ให้ศิษย์ได้เรียนรู้และเข้าใจด้วยตนเอง หากแต่ครูปัจจุบันชอบเอาความรู้"เทียม" ยัดบอกแก่ศิษย์กันทุกๆวัน....ไม่ถูกต้องนะครับ
โดย อาจารย์ [15 ก.ค. 2548 , 10:06:28 น.]

แวะมาทักทายครับ
ตอนนี้ทำทีสิสอยู่ บอกตามตรงว่าคิดถึงอาจารย์ครับ การตรวจแบบทีสิสค่อนข้างละเอียดมากครับ เหมือนกับจะต้องการให้นิสิตทำได้ดีในทุกๆเรื่อง ทั้งที่บางทีก็เป็นเรื่องธรรมดาๆอย่าง บันไดหนีไฟ ระยะต่างๆ ห้องน้ำ ห้องเครื่อง ...etc. อยากจะบอกอาจารย์ว่าผมไม่ค่อยเกิดinspirationในการทำแบบ อะไรเลยกับการตรวจแบบ แบบนี้ คือเป็นเหมือนการตรวจว่าเราทำถูก หรือผิด แต่ไม่ได้ทำให้เกิดจินตนาการ คิดถึงตอนตรวจกับอาจารย์ มาฟังอาจารย์พูด ได้แนวคิดบ้าง ก็นำมาใช้กับแบบได้ เเถมยังจะมีมุขตลกๆ เสมอครับ ก็ปีใหม่แล้วขอให้อาจารย์มีสุขภาพที่ดีครับ
โดย 218 [31 ธ.ค. 2547 , 14:01:58 น.]

ข้อความ 1
ขอขอบคุณในไมตรีที่มีระลึกให้กัน และขอให้พ้นทุกข์ในเร็วพลัน..นะครับ
พระท่านสอนไว้ว่า สุขใดไม่เท่าสุขที่เกิดจาก"ความว่าง" ในสังคมทางโลกนั้นมีความหลากหลายไร้ที่สิ้นสุด โดยเฉพาะมาตราฐานของมนุษย์ด้วยกันที่ต่าง กรรมต่างวัยและต่างวาระ

การดำเนินชีวิตนั้นก็คือการดำรงอยู่กับมันให้ได้ เมื่ออากาศร้อนก็ทนร้อน หนาวก็ทนหนาว เจอ ซูนามิ ก็ต้องทนเอา เพราะกรรมของเราดันทะลึ่ง ให้ได้เจอสิ่งต่างๆเหล่านี้ การรู้เข้าใจธรรมชาติเหล่านี้ ก็จะทำให้เราสามารถหลีกเลี่ยงหรือทนกับมันได้เพราะทางเลือกอื่นนั้นไม่มี..หากันไม่เจอ

การเรียนรู้ยังต้องมีกันต่อๆไปทุกคนตราบเท่าที่ตัวเรา ยังดำรงอยู่ พระท่านบอก..ชีวิต คือ สิกขา หรือการเรียนรู้..ครับ
ทีสิส ที่ว่า.. เป็นเรื่องจิ๊บจัอยมากเลยครับ สร้างจิตใจ ของคุณให้"ใหญ่" ไว้มากๆ มีทัศนะคติที่กว้างไกล เรื่องพรรค์นี้ก็จะไม่สร้างความกังวัลใจให้เราต่อไป

ปีใหม่นี้..ขอให้ทุกๆคนรับเอาแต่สิ่งดีมีแต่กุศลไว้กัน ทุกคนนะครับ...คิดถึงพวกคุณเช่นกันครับ
โดย อาจารย์(อดีต) [2 ม.ค. 2548 , 10:54:54 น.]

Energy Producing

ไม่ทราบว่าอาจารย์สนใจแนวคิดทางด้านนี้บ้างไหมครับ ส่วนตัวผมแล้วว่าน่าสนใจมาก แม้จะรู้สึกว่าไม่ใช่ทางออกที่ถูกต้องเท่าไรนัก สำหรับสถาปัตยกรรมยุคอนาคต แต่ถือว่าเป็นการเริ่มต้นที่ดีทีเดียว ตอนนี้ผมเรียนกับอาจารย์สุนทร อยู่ครับ ผมว่าแกมีความคิดที่น่าสนใจเยอะมากเลยครับ แต่ในเรื่องบางอย่างในการทดลอง หรือวิจัยต้องใช้งบประมาณและคนที่ที่มีความรู้ความสามารถมากครับ ตอนนี้อาจารย์สุนทร กำลังจะเลย Energy Producingไปแล้ว จะไปสู่ยุคใหม่อีก ไม่ทราบว่าอาจารย์มีความคิดเห็นอย่างไรบ้างครับ

ปล มีงานสาระศาสตร์วันที่20 ตค นี้ มีเรื่องที่น่าสนใจและอาจารย์สุนทรก้อพูดด้วยครับ
โดย Wong [14 ต.ค. 2548 , 21:21:33 น.]

ข้อความ 1
ผมเคยคุยและฟังความคิดอจ.สุนทรเรื่องเกี่ยวกับพลังงาน และความเชื่อมโยงกับการออกแบบสถาปัตยกรรม
โดยส่วนตัวผมชื่นชมอจ.ในเรื่องงานวิชาการ เพราะอจ.เลือกแนวคิดที่ชัดเจนและค้นคว้าลงลึก
ผมเคยเชิญอจ.มาคุยเรื่องนี้ในวิชาสัมมนาฯ สร้าง
แรงบันดาลใจให้นิสิตมีความกระตือรือร้นได้อย่างมาก นับว่าเป็นคุณสมบัติของอจ.ยุคใหม่
คือไม่มัวคอยเอาแต่เสี้ยมสอนนิสิต หรือยัดเยียด ในสิ่งที่ตน..บางทีไม่สู้เข้าใจและรู้ไม่ลึกซึ้ง จึงมักสร้างแรงบันดาลใจให้นิสิตไม่ได้

ส่วนอจ.สุนทร นั้น..ถ้านิสิตได้ฟังก็จะเกิดความ สนใจในเรื่องที่อจ.ศึกษาและค้นคว้าวิจัย ทำให้รัก และเกิดแรงบันดาลใจ เช่นที่คุณกำลังเป็นอยู่ขณะนี้..ครับ

ไม่ว่าเรื่องอะไรที่เราสนใจ ถ้ามีการสืบไปได้ตลอด วิชาการนั้นๆก็จะกลายเสมือนเป็นต้นไม้ใหญ่ แผ่กิ่ง ไปได้มาก คือมองเห็นความเชื่อมโยงกับสิ่งอื่นๆได้ เป็นวงจรสัมพันธ์ต่อกันและกัน

ผมว่า..นี่คือสิ่งที่นักวิชาการมีหน้าที่ต้องทำในสำนักศึกษาทั้งหลาย
...นะครับ
โดย เพื่อนอาจารย์ [15 ต.ค. 2548 , 13:26:22 น.]

ข้อความ 2
ขอบคุณครับ
แต่ผมอยากทราบถึงแนวทางด้านสถาปัตยกรรมยุคใหม่ในของไทย ความเห็นอาจารย์น่ะครับ ไม่ทราบว่าอาจารย์มีความเห็นอย่างไรบ้างครับ
โดย Wong [16 ต.ค. 2548 , 19:17:33 น.]

ข้อความ 3
ในความคิดผม เห็นว่าเรื่องบริบทหรือ context เป็นเรื่องที่สามารถเริ่มต้นแนวความคิดได้ทางหนึ่ง
การจะสร้างแนวคิดในการออกแบบสถ.ไทย ก็ จำเป็นต้องศึกษาและเข้าใจบริบทของสังคมไทย ให้ตรงกับสิ่งที่เป็นอยู่ นี่คือสิ่งที่ผมสนใจขณะนี้

ผมเริ่มจากการสัมผัสกับชุมชนที่รายรอบที่ตั้ง ศึกษาทั้งเรื่องกายภาพและลักษณะเฉพาะด้านนามธรรม เท่าที่ผมจะเข้าใจได้ แล้วนำมาเป็นจุดตัดสินใจ ในการเลือกแนวความคิด ปกติเรามักโดนสอนให้ สร้างจินตภาพบนโต๊ะเขียนแบบและลิสความต้องการ แล้วพยายามยัดเยียดหรืออนุโลมให้เข้ากับบริบท ที่เราไม่ค่อยเอาจริงเอาจังเท่าไร เพราะต้องรีบสร้างจินตภาพ เพื่อเอาไปตรวจกับอจ.ในสตูดิโอ ในสมัยผมอจ. ไม่ชอบสนทนาเรื่องความคิดเท่าไร อยากเห็นแบบ แล้วให้ความเห็นตามทัศนะของอจ.

การสร้างเรื่องราวหรือแนวคิดจากบริบทที่เป็นอยู่ และการคาดการณ์พอประมาณของที่ตั้งที่จะมีการเปลี่ยนแปลง และผลในอนาคต เป็นสิ่งที่ผมสนใจ ไม่สร้างหรือ กำหนดจินตภาพของสถ.ล่วงหน้าอย่างจริงจังนัก สนใจว่าสิ่งที่เราออกแบบจะไปส่งเสริมอะไรกับชุมชนได้บ้าง อย่าเอาแต่ออกแบบให้เป็นสิ่งแปลกหรือยกตนข่มท่านถ่ายเดียว

ส่วนเรื่องพลังงานหรือด้านเท็คโนโลยีเป็นเรื่องของยุคสมัย แต่หากสร้างมิติทางความคิดเรื่องนี้ในสเกลที่กว้างขี้น เข้าถึงระบบนิเวศของชุมชนโดยรวม ผมว่าจำเป็น..นะครับ

การออกแบบในลักษณะองค์รวมที่ให้ความสำคัญกับ
บริบท เป็นเรื่องการออกแบบสถ.ไทยที่ควรเอาใจใส่อย่างยิ่ง อย่างน้อยทำให้เราเข้าใจความเป็นตัวตนของเราและเปลือกนอก(บริบท)ที่หลอมการดำเนินชีวิตของเราได้ดีขึ้น..นะครับ... ผมขอแสดงความเห็นแค่นี้นะ ไม่ทราบตรงกับที่อยากรู้หรือปล่าว..ครับ
โดย เพื่อนอาจารย์ [22 ต.ค. 2548 , 08:39:22 น.]

ข้อความ 4
ขอบคุณครับ
โดย Wong [23 ต.ค. 2548 , 21:24:00 น.]

ถามอาจารย์ครับ
อาจารย์ครับ เวลาทำโปรเจกใดๆก็ตาม จำเป็นไหมที่จะต้องทำตาม design process ทุกขั้นตอนที่เรียนมา เป็นไปได้ไหมถ้าเราจะเริ่มโปรเจกหลังอ่านโปรแกรมและไปดู site มาแล้ว โดยที่ไม่ต้องมานั่งเขียน Tabulation ก่อน แล้วตามด้วย relationship diagram หรือ bubble diagram อะไรตามแบบอย่างที่เคยเรียนๆกันมา เพราะอ่านโปรแกรมกี่ปีกี่ปีเขาก็บอกให้ส่งแบบนี้

หรือว่าวิธีการนี้เป็นวิธีที่ดีที่สุดแล้วในการออกแบบจริงๆครับ???
โดย นิสิตปี 4 [16 มิ.ย. 2547 , 23:03:06 น.]

ข้อความ 1
เรื่องวิธีการออกแบบ..จะว่าไปก็เป็นวิธีการใคร วิธีการมัน มีความหลากหลายตามประสบการณ์ ของแต่ละคนเป็นสำคัญ แต่เราก็สามารถปรับปรุง และพัฒนากันได้ (ซึ่งควรทำ) เพื่อให้เกิดผลดียิ่งขึ้น

การศึกษาวิธีการของผู้อื่นบางครั้งจำเป็น
ในการศึกษาเรื่องวิธีการ..methodology พยายาม รวบรวมขั้นตอนหรือวิธีการต่างๆที่มีผลในการออกแบบ หรือการแก้ปัญหาที่ประสบผลสำเร็จมาบันทึกไว้

เรื่องของวิธีการออกแบบ เปรียบเหมือนเครื่องมือ ที่ใช้ในการทำงานทางความคิด หากมีเครื่องมือ มากและหลายแบบ ก็น่าจะสะดวกในการเลือก นำมาใช้ในกระบวนการทางความคิด...นะครับ

สำหรับเรื่องของ พื้นที่สำหรับกิจกรรมต่างๆ หรือ tabulation area มีประโยชน์ในการกำหนดขนาดของ ที่ว่างและขนาดรูปทรงของอาคาร ผมเคยเปรียบเทียบ เหมือนหีบห่อบรรจุภัณฑ์ต่างๆ ลักษณะรูปทรงภายนอก ของอาคารน่าจะคล้ายคลึงกัน อีกทั้งขนาดของที่ว่าง ต่างๆจะมีผลในเรื่องการคำนวนราคาค่าก่อสร้าง อาคารภายหลัง(ในทางวิชาชีพ)

เรื่องของ diagram เป็นรูปลักษณ์ของระบบความ สัมพันธ์ของกิจกรรมต่างๆที่กำหนดขึ้นในอาคาร ที่กำลังออกแบบ เป็นสื่อความคิดหนึ่งในความเข้า ใจของผู้ออกแบบ เหมือนภาพเสก็ตทางความคิด หรือภาษาที่พูดอธิบายกัน อาจไม่จำเป็นมีแบบตายตัว ในการสื่อสารกันนัก ...แต่จะสะดวกในการกำหนด ขั้นตอนต่างๆของความคิดที่ซับซ้อน เช่น การทำ งานของกลไกเครื่องจักรกล เป็นต้น ส่วน bubble diagram อาจคุ้นกับสถาปนิก เพราะเหมือน ภาพเสก็ตเคร่าๆของแบบแปลน ...โดยสรุปเรื่องนี้ คุณอาจใช้รูปลักษณ์แทนความคิดความเข้าใจ อะไรก็ได้ ถ้าทำให้คุณเองเข้าใจความคิดของคุณ และถ่ายทอดให้ผู้อื่นร่วมเข้าใจได้ด้วย สื่อแบบไหน ก็น่าจะใช้ได้ นอกเหนือจากภาษาเขียนสามัญทั่วไป ภาษาของสถาปนิกมักนิยมเป็นภาพ ใกล้เคียงสิ่ง ที่เห็นจริงได้มากเท่าไรยิ่งดีครับ

วิธีการที่ดีที่สุด คือ วิธีการที่เราใช้แล้วได้ผลเลิศ ผมคิดว่าควรใช้วิธีการนั้น แต่อย่างที่บอก..คนคิด เก่ง คิดสร้างสรรค์ให้ได้ผลงานดีๆ มักเป็นคนที่มี หลายวิธีการทางความคิด มักไม่ติดยึดกับวิธีการใด วิธีการเดียวเสมอไป

ไม่ทราบคุยมาตรงประเด็นหรือป่าว...ครับ

อยากให้ลองอ่าน "ลายแทงความคิด" เขียนโดย คุณเกรียงศักดิ์ ...มีในห้องสมุด จะได้เข้าใจรูปแบบ ของความคิดต่างๆ และวิธีการอธิบายความคิดนั้นๆ ..นะครับ
โดย อาจารย์ [17 มิ.ย. 2547 , 11:26:16 น.]

ข้อความ 2
ขอบคุณครับ จะลองไปหาอ่านดู ได้เรื่องยังไงหรือสงสัยประการใดจะกลับมาคุยกับอาจารย์ใหม่ครับ
โดย นิสิตปี 4 [20 มิ.ย. 2547 , 22:34:09 น.]

projectที่เป็นระดับชาติจำเป็นต้องแสดงถึงความเป็นชาตินั้นรึเปล่าครับ?
เช่นสนามบินของประเทศต่างๆ จำเป็นรึเปล่าที่architectureควรจะทำให้รู้สึกถึงความเป็นชาตินั้นๆ ที่นั้นๆ อย่างสนามบินหนองงูเห่าถือว่าเป็นยังไงครับ?
โดย เด็กช่างสงสัย [3 เม.ย. 2547 , 21:40:18 น.]

ข้อความ 1
มันขึ้นอยู่กับสติปัญญาของคนตัดสิน..คนดู..คนใช้ ว่าความเป็น"ชาติ"มันอยู่ตรงไหน..ที่ไหน เราเสนอไปถ้ามันตรงใจกัน เกมก็จบ อาจได้รางวัล สถาปัตยกรรมดีเด่นของชาติ..จนทำให้เรากลายเป็น สถาปนิก"เทวดา" เป็นบ้าไปได้อีกนานๆ
อัตตาในเรื่องตัวตนของคนมีกิเลสนั้นมีสูง ชื่อตัวเอง นามสกุลตัวเอง กำพืดตัวเอง ฯลฯ ก็มักเชื่อว่ามีและ จะดีกว่าของคนอื่นๆ ความเป็นชาติเลยเกิดขึ้น คนในชาติจะงี่เง่าอย่างไรก็ตาม ผู้ปกครองก็มัก ตอแหลบอกว่า ชาติเราดี ต้องอวดและเชื่อว่าดีไว้เสมอ ว่าชาตินี้สิ้นเมื่อใด..ตัวเองก็จะสิ้นตาม ทั้งๆที่ขณะชาติยังอยู่ แต่คนส่วนใหญ่ของชาติกำลังจะจนตาย ก็ยังบอกว่า พวกเอ็งต้องรักชาติอวดความเป็นชาติกันไว้นะ

โลกในอนาคต..ความเป็นชาติจะหลอกกันไม่ได้นาน เพราะจะมีการเคลื่อนย้ายคนไปอยู่ในชาติที่ให้ ประโยชน์ตนและครอบครัวสูงสุดกันทั้งนั้น
หลายคนที่เก่งๆมักย้ายไปเป็นคนอเมริกันกัน แล้วสังเกตุว่าพวกเขารักชาติอเมริกันกันมาก เพราะเป็นชาติที่ให้สิทธิคนในชาติ
เท่าเทียมกัน คนที่อยู่ได้ประโยชน์แล้วรู้สึกว่าเป็นเจ้าของ ประเทศที่ตนอยู่เหมือนๆกัน...นี่เป็นข้อสังเกตุ
เพราะคิดมาก..เลยคิดยาว..จึงมีต่อครับ
โดย อาจารย์ [8 เม.ย. 2547 , 11:31:43 น.]

ข้อความ 2
สถาปัตยกรรม..เป็นส่วนหนึ่งของชีวิตก็จริง แต่ สถาปนิกอาจไม่ใช่..ไม่จำเป็นสำหรับคนทุกคน ยิ่งหลักสูตรที่ฝึกสถาปนิกในแนวคิดทุนนิยม สถาปนิกจึงเป็น "ผู้บริการ" สำหรับคนที่เห่อจะรับบริการ ยิ่งเลือกบริการแค่กับ"พวกเถ้าแก่"พอใจรับเศษเงิน คิดกันแบบร้ายๆ ..ก็ไม่ต่างหญิงบริการเท่าไรนัก หากพวก เถ้าแก่นึกสนุกอยากให้สถาปนิกแต่งทรงไทยมา บริการ พวกเราก็เลยเอาด้วย จะแต่งตัวเป็นนาง บริการแบบไทย หรือไม่แต่ง ก็เป็นแค่นางบริการ อยู่ดีแหละครับ

ยุคบ้าหาเงินสมัยนี้ เห่อการท่องเที่ยว อยากอวด เอาเงินต่างชาติ เลยเน้นการ"แต่งตัว"บริการกัน ใหญ่ เพื่ออวดความเป็นชาติไทยกันยกใหญ่

ผมเพิ่งกลับมาจากเที่ยวต่างจังหวัด หลายๆที่ที่เคย บริสุทธิ์เหมือนสาวพรมจารี เดี๋ยวนี้งอมกันทั่ว เหมือน หญิงโดนโทรมกันทั่วหน้า สถาปนิกสร้างสิ่งแปลกปลอม หลอกชาวบ้านเป็นผีเทวดาไปหมด ผมดูแล้วสังเวชใจ ถ้าเลือกเกิดใหม่ได้ ไม่อยากเป็นสถาปนิกสอนสถาปัตยกรรม
ที่แทบไม่ได้ให้ประโยชน์แก่ชาวบ้านคนส่วนใหญ่ของประเทศกันเลย

ถ้าพวกเราที่เป็นสถาปนิกเอาพระบรมราโชบาย ของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวในเรื่อง"ความพอเพียง"ยัดใส่ในหัวไว้บ้าง พยายามสร้างสรรค์สืบค้นสถาปัตยกรรมแห่งความพอเพียงกันแล้ว ความเป็นชาติ เอกลักษณ์ของชาติอย่างนี้จะยั่งยืน ไม่ใช่ความเป็นชาติแบบ"ตอแหล"ที่กำลังหลอกหลอนกันอยู่ขณะนี้

จะสร้างสรรค์สถาปัตยกรรมพอเพียงได้ ตัวเองต้อง ดำเนินชีวิตอย่างพอเพียงก่อนใด ต้องเข้าใจสาระ ธรรมนี้ให้ถ่องแท้..จึงจะเป็นสถาปนิก"เทวดา"จริงๆ ไม่ใช่สถาปนิกบริการแต่งตัวไทยๆเลียนแบบย่าทวด ของเราที่"ตาย"ไปแล้ว แล้วไปปลุกผีให้ตื่นมาจาก หลุมหลอกหลอนกันเล่นสนุกไปวันๆ

ยังสติแตก..ยังมีต่ออีก
โดย ขออีกที [8 เม.ย. 2547 , 11:34:54 น.]

ข้อความ 3
ถ้าเขาอนุญาตให้โพสต์..ก็คงคุยจบเสียทีครับ
โปรเจ็คอะไรที่นับเป็นระดับชาติ ต้องคิดถึงหรือสท้อน คนที่เป็นพื้นฐานของประเทศ ไม่ใช่ชนชั้นปกครอง ไม่ใช่วัดกันที่ขนาดหรือความใหญ่โต แต่ทำอย่างไร จะกระจายทรัพยากรหรือเงินไปให้ทั่วประเทศ ตอนผมได้รับมอบหมายจากคณะฯให้เป็น"ตรายาง" พิจารณาสนามบินที่ว่านี้ ผมบอกท่าน"หัวหน้า" ไปว่า ไม่ควรเลือกมันทุกแบบ และไม่ควรให้มันสร้างสักแบบ เอามาออกแบบเป็นสนามบินเล็กกระจายกันให้ทั่ว ทุกตำบลกันเลย ชาวบ้านจะได้ใช้เดินเล่นหลังเสร็จทำนา ที่ผมสวนกระแสไปนั้น..ไม่ใช่ความคิดนี้จะวิเศษอะไรหรอก เพียงแต่พวกนักการเมืองเขาเลือกสถาปนิกและแบบ กันไว้แล้ว เราจะมาเสียเวลาบริการสิ่งที่ไร้ประโยชน์ ไปทำไมกัน

ปัญหาสถาปัตยกรรมที่สนองความเป็นชาติที่คุณคุยมา เป็นปัญหา"สมมุติ"บัญญัติกันไป คิด..แสดง..กันไป ได้จนตาย..คุณจะเล่นบทยังไงให้ได้งานได้ผล ก็น่าจะพอแล้ว..เช่นถ้าจะทำเพื่อเป็นวิทยานิพนธ์ ให้จบไปเร็ว ก็ดูผลงานที่อาจารย์คณะเราเขาชอบ ก็ทำไปทำนองนั้นแหละ..ส่วนจะเป็นชาติเป็นไทย ยังไง ก็ขึ้นอยู่กับภูมิปัญญาของพวกครูที่จะให้คะแนคุณ อยากเป็นสถาปนิกบริการ..ก็คิดเสียว่าครูให้คะแนน คือ"เถ้าแก่" แต่งตัวตามบริการที่เขาชอบ ..แต่ถ้า คุณไปบริการเจ้านายแบบ"หลวงพ่อชา" หรือท่าน "พุทธทาส" (ซึ่งมรณะภาพไปแล้ว) ...เผลอๆจะเป็น คนละเรื่อง ความเป็นชาติที่ท่านเทศน์ให้รู้ อาจทำ ให้คุณเลิกเป็น"นางบริการ"ไปเลย

ว่าแต่..คุณไม่ได้กำลังทำวิทยานิพนธ์เอาเปรียญธรรมเก้าประโยคนะครับ.. แต่เอาปริญญาสถาปัตยกรรม ก็ต้องเลือก"เถ้าแก่"ให้ตรง จบไปจากคณะนี้แล้ว..ก็ค่อยว่าเรื่องความเป็นชาติ กันใหม่

ปัญหานี้..ถ้าไม่"ตอแหล"ก็ตอบไม่ได้ เพราะเป็นปัญหาของ เรื่องสมมุติ เป็นปัญหาโลกแตกครับ หาคำตอบ "ตัวเดียวอันเดียว" ไม่ได้ครับ
โดย ทีสุดท้าย [8 เม.ย. 2547 , 11:38:01 น.]

สถาปัตยกรรมกับพลังงานทดแทน

พอดีไม่ได้คุยกับอาจารย์นานเลย เลยอยากถามความคิดเห็นของอาจารย์ว่า ในเรื่องของพลังงานทดแทนที่ดูมีแนวโน้มสูง ว่าจะมาทดแทนการใช้พลังงานเดิมที่มาจากใต้พิภพ ที่ใช้กันเป็นส่วนใหญ่ แม้ว่าปัจจบันพลังงานทดแทน จะยังไม่มีประสิทธิภาพสูงมากนักแต่ก็มีแนวโน้ม ว่าจะมีการพัฒนาและใช้กันเพิ่มขึ้น และในสถาปัตยกรรมแบบ Green architecture ก็กำลังให้ ความสนใจกันอยู่ แต่ในวงการสถาปัตยกรรมของไทย นี่สิครับ มีการรณรงค์ การประกวด บ้านประหยัดพลังงาน เท่าที่ผมเห็น มักจะไม่มีสิ่งใหม่มากเท่าที่ควร เอะอะก็ช่องเปิด ลมพัดดี มีSolar cell ก็ชนะแล้ว ไม่ทราบว่าอาจารย์คิด เห็นอย่างไรครับ
โดย Wong - [25 มิ.ย. 2549 , 12:11:44 น.]

ข้อความ 1
สำหรับผม..แนวคิดเรื่องสถาปัตยกรรม ควรศึกษาและไตร่ตรองในเชิงของ"องค์รวม" มากกว่าการคิดแบบแยกส่วน ตามที่เราโดนสอนมา

สรรพสิ่งทั้งหลายในโลกนี้ ที่เกิดขึ้นและดับไปนั้น มีความเชื่อมโยงแก่กันและกันตลอดเวลา ไม่มีสิ่งใดอยู่เป็นเอกเทศ งานสถาปัตยกรรม ก็เช่นเดียวกัน

สถาปัตยกรรม การดำรงชีวิต ดำเนินชีวิต ฯลฯในบริบท ที่แตกต่างกัน ควรมีผลให้ลักษณะความคิดและการสร้างสรรค์ ต้องแตกต่างกันด้วย แต่เพราะตัณหา..ทำให้เราอยากผูกขาด ความคิดและการกระทำให้มีผลเหมือนๆกัน ก็เหมือน สินค้าบริโภคอุปโภคที่เราเห็นอยู่ในทุกวันนี้

เพราะสถาปัตยกรรมไม่ถูกต้องและเหมาะสม การสิ้นเปลือง พลังงานจึงเป็นปัญหาและเกิดความไม่สมดุลป์ การแสวงหาพลังงานทดแทนจึงต้องมีการดิ้นรนกัน

ผม..จะงดกล่าวถึงการใช้รถยนต์อย่างบ้าคลั่ง และการขยายเมือง อย่างไร้การควบคุม และความเหมาะสมกับบริบทที่ควรเป็น เอาแค่ตึกรามบ้านเรือนที่พวกเราช่วยกันรังสรรค์ ก็อาจพบปัญหาต่างๆมากมาย กิจกรรมการดำเนินชีวิตของคนไทยเปลี่ยนแปลงไป จากที่เคยใส่เสื้อผ้าบางๆ ไปเป็นสูทหรือเสื้อผ้าหนาๆ เมื่อร้อนเลยต้องใช้แอร์ กิจกรรมที่เคยอยู่ภายนอกกลายเป็นภายใน พื้นที่ว่างอาคารเลยมากขึ้น ทั้งๆที่ภูมิอากาศในบ้านเราสดใสเป็นส่วนมาก พื้นที่ว่างภายนอกที่เคยเป็นธรรมชาติกลับลดน้อยลง กลายเป็นถนนที่กว้างขึ้นรองรับรถยนต์ที่ใช้แทนอวัยวะ คือขาตัวเองมากขึ้น อุปกรณ์ทางเทคโนฯ ที่มาเสริมแต่งล้วนบริโภคพลังงานทั้งสิ้น

แนวคิดเรื่องการแก้ปัญหาสถาปัตยกรรมในเรื่องพลังงาน มีอยู่สองแนว คือ passive และ active อย่างแรก ก็แบบแนวคิด green architecture อย่างหลังคือใช้ สิ่งประดิษฐ์ทางเทคโนฯ เช่นแอร์หรือโซล่าเซล เข้าช่วย ถ้าสถาปนิกให้ความสำคัญและคิดค้นแบบแรกมากๆ เสริมแบบหลังน้อยๆ พลังงานก็อาจสิ้นเปลืองน้อยลง

การแก้ที่สถาปัตยกรรมแบบมีข้อจำกัด ผมว่าไม่พอ ต้องศึกษาและพิจารณาความเชื่อมโยงกับสิ่งอื่นๆด้วย ที่สำคัญ คือรูปแบบของการดำเนินชีวิตที่เรายึดถืออยู่ปัจจุบัน ต้องปรับให้เหมาะสมด้วย

อยากให้คุณ Wong ลองกลับไปดูหนังจีนกำลังภายใน ดูฉากหรือสถาปัตยกรรมที่ผู้สร้างพยายามจำลองสิ่งที่น่าจะเป็นในอดีต แล้วกลับมามองสถาปัตยกรรมเมืองร้อนของเราในปัจจุบัน ผมว่าภาพในอดีตก็คงไม่ต่างจาก แนวคิด green architecture ที่เรากำลังย้อนรอยเท่าไรนัก...นะครับ

การมีเวลาทบทวนสิ่งที่เราทำมาแล้ว กำลังทำ หรือจะทำในภายหน้า ผมว่าสถาปนิกทุกคนควรกระทำ และต้องมีความอิสระให้มากพอ ความรู้ที่เรามีก็จะกลายเป็นสติปัญญาที่จะรังสรรค์สิ่งที่ดีและถูกต้องได้มากขึ้น

การใช้ความรู้ ควรเป็นไปพร้อมๆกับการลดละกิเลสตัณหาของตนให้เบาบางลง ยิ่งลดลงมากเท่าไร ความรู้ของเราก็จะกลายเป็นปัญญา ได้เห็นและทำเห็นสิ่งที่ถูกต้องได้มากยิ่งขึ้น...นะครับ
โดย เพื่อนอาจารย์ [29 มิ.ย. 2549 , 13:12:16 น.]

ข้อความ 2
อย่าไปกลุ้มใจกับเรื่องผลการประกวดแบบ
ผมชอบที่ท่าน Frank Lloy Wrigth เคยปรามาสไว้ว่า... แบบที่ชนะการประกวด ก็คือ แบบที่กรรมการยืมมือผู้เข้าประกวดให้กระทำตามที่ตัวเองคิดไว้แล้ว

ในชีวิตการทำงานของท่าน...ท่านจึงไม่เคยเข้าร่วมประกวดแบบ...เลยครับ
โดย ขออีกที [29 มิ.ย. 2549 , 13:30:38 น.]

ข้อความ 3
ขอบคุณครับ

วันพฤหัสบดี, สิงหาคม 03, 2549

โวหารสมมุติ...ศาสนากับวิทยาศาสตร์


ว่าด้วยเรื่องโวหารสมมุติ... เพื่อความเข้าใจในพระพุทธศาสนากันอย่างแท้จริง
ถ้า...นาม-รูป เป็นเหตุปัจจัยหลักของ"สิ่ง"ที่เรียกว่า"จิต" และปรากฏการณ์เกิด-ดับของมันทำให้เกิด"เวลา"ใน"ความมี"ของจิตแล้ว จิต..ก็จะดำเนินไปอย่างกว้างขวางจนถึงที่สุดคือ จักรวาลของความมี"ตัวตน"และสิ่งแวดล้อมทั้งมวลอื่นๆ นั่นเอง บรรจุลงใน"ความว่าง"จนเติมเต็มเป็นโลกสมมุติของแต่ละชีวิตที่รวมเรียกกันว่า จักรวาลที่เป็นอนันต์
ฐานสมมุติแห่งนาม-รูป ก็จึงไม่แตกต่างจากความรู้สมมุติในปัจจุบันของความรู้ทางวิทยาศาสตร์ โดยเฉพาะคือฐานสมมุติ"ตัวเลข"ของวิชาคณิตศาสตร์ นั่นคือ ตัวเลขของ 1-0(หนึ่งกับศูนย์) อันมีการบูรณาการกันอย่างไม่มีความสิ้นสุขในการสร้างนวัตกรรมของมนุษย์ แปลงกันจนเป็น"มายา" เช่น ภาพยนต์ หรือเรื่องราวอื่นๆผ่านให้เห็นกันทางเครื่องรับโทรทัศน์และคอมพิวเตอร์เป็นต้น
มนุษย์ ก็คือ นวัตกรรมหนึ่ง ที่เกิดจากการสรรสร้างของ"จิต" หรือ "พระเจ้า" นั่นเอง มีการบูรณาการในเชิงความสัมพันธ์ที่สอดคล้อง หรือในภาวะบรรสานของสรรพสิ่งทั้งมวล โดยรับความเป็น"มายา"นี้ ผ่านกระบวนการประมวลผล(เช่นอาศัยขัณฑ์ห้า) ยึดถือกันเป็น"ความจริง" ซึ่งอาจไม่แตกต่างกันนักกับการแปลงระหัสด้วยเครื่องคอมพิวเตอร์ เครื่องเล่นซีดี หรือเครื่องทีวีปัจจุบันนี้
พีทาโกลัส สร้างสมมุติทางโวหารไว้ว่า... จักรวาลทั้งมวลประกอบกันขึ้นจากตัวเลขทางคณิตศาสตร์ หรือที่..ดีโมคริตุส อ้างว่า... จักรวาลประกอบขึ้นจากอะตอม ก็ไม่ต่างจากที่พระพุทธเจ้าเทศนาว่า... จักรวาลเกิดขึ้นจากจิตที่ประกอบขึ้นมาจากนาม-รูป(นามกับรูป)นั่นเอง
ชีวิตเป็นเพียง"มายา" ..น่าจะ.. เกิดจากจิตที่ประมวลกันของนาม-รูป สร้างโลกที่ประกอบกันเป็นตัวเรา ล้วนเป็นโลกของมายา เลื่อนลอยไปตามอำนาจของจิตที่มีนาม-รูปเป็นเหตุปัจจัยต่อกันและกัน เรียกกันให้ชัดก็คือ เกิดเป็นโลกเสมือนจริง หรือ virtual world ในโวหารของภาษาคอมพิวเตอร์ปัจจุบันนี้
เมื่อเรายอมรับการใช้โวหารสมมุตินี้กันแล้ว ก็ ลองมาเปรียบเทียบกับการอ่านข้อเขียนบางตอนของคุณ สมชาย วสันตวิสุทธิ์ เขียนไว้ในคอลัมน์ "คิดนอกเส้น" เรื่อง... "เราสร้างโลกและจักรวาลนี้จากตัวเลขได้หรือไม่? ในหนังสือพิมพ์ผู้จัดการรายสัปดาห์ ฉบับที่ 937 ดังนี้
"พีทาโกลัสบอกว่า พิ้นฐานของตัวเลข คือพื้นฐานของทุกสิ่ง และจักรวาลนี้แท้ที่จริงแล้วคือตัวเลขและภาวะบรรสาน หรือ harmony หรือความสอดคล้องของสรรพสิ่ง สามารถอธิบายได้ด้วยค่าตัวเลขทางคณิตศาสตร์ เช่น เลขคู่หรือเลขคี่ เลข ตรรกยะ หรือเลข อตรรกยะ หรือเลข ที่มีเหตุผล และเลข ที่ไม่มีเหตุผล นั่นคือเลขที่สามารถหาจำนวนเต็มและเป็นเศษส่วนได้ กับเลขที่ไม่สามารถเขียนเป็นเศษส่วนได้ แม้เลขที่เป็นเศษส่วนกลับของเลขจำนวนเต็ม เช่น เศษหนึ่งส่วนสอง หรือเศษหนึ่งส่วนสาม เศษหนึ่งส่วนสี่ ฯลฯ เลขเหล่านี้ล้วนมีบรรสานกันและกัน
โลกที่เรามีชีวิตอยู่ หากเป็นโลกมายาที่ยอมรับเป็นความแท้จริงแล้ว ก็ไม่น่าจะต่างจากโลกเสมือนจริง เช่นในภาพยนต์ที่ถูกเก็บไว้ในแผ่นดิสก์ เช่นในเรื่อง the matrix ที่เฉลยไว้ว่า.. โลกที่เราดำเนินชีวิตกันอยู่นี้เกิดจากโปรแกรมคอมพิวเตอร์ของเครื่องคอมพิวเตอร์ยักษ์หรือแมทตริกที่คอยบงการ ซึ่งอำนาจนี้ ก็ไม่น่าต่างจาก"จิต"ของเราเท่าไรนัก
ตัวอย่างหนังที่เก็บไว้ในแผ่นวีซีดีหรือดีวีดี ทั้งหลายล้วนเป็นแผ่นข้อมูลของเครื่องคอมพิวเตอร์ทั้งสิ้น มันบรรจุ"ข้อมูล"ที่เป็นเลขฐานสอง คือเป็นตัวเลข "หนึ่งกับศูนย์" ด้วยกระบวนการเก็บที่เป็น"ร่อง"หรือ"หลุม"ขนาดจิ๋วบนผิวของแผ่นดิสก์ เมื่อส่องด้วยแสง"เลเซอร์"จากหัวอ่านของเครื่องเล่นก็จะสะท้อนแสงบ้างไม่สะท้อนบ้าง เกิดการติดกับดับ ซึ่งหมายถึง "เลขหนึ่งกับศูนย์" เมื่อไปแปลงค่าในแผ่นวงจร"ไอซี" ให้กลายเป็นสัญญาณไฟฟ้าที่ไปควบคุมหลอดภาพของทีวีหรือจอพลาสมาทีวีอีกที (อวัยวะสมองของเราก็น่าจะทำหน้าที่ทำนองนี้)
นั่นคือภาพยนต์ที่เป็นภาพเคลื่อนไหวต่อเนื่องเป็นเรื่องเป็นราวเสมือนจริงขึ้น ซึ่งสามารถแปลงมาเป็นกฎตัวเลข คือเลขฐานสอง ซึ่งก็คือตัวเลข หนึ่งกับศูนย์นั่นเอง แล้วตัวเลขก็สามารถแปลงกลับไปเป็นเรื่อราวต่างๆเป็นโลกเสมือนจริง เช่นในภาพยนต์ด้วยหลักวิธีดังกล่าว ซึ่งต่อๆไปก็สามารถสร้างหนังด้วยตัวเลขล้วนๆได้ ดังเช่นหนังการ์ตูน เรื่อง"นีโม"ตามหาพ่อ...." (หรือ เรา..ตามหา"รอย"พระพุทธองค์)
ดังนั้น จักรวาลทั้งหมดก็สามารถถูกแปลงเป็นเลขฐานสองหรือ"ตัวเลข" ตามแนวความคิดของพีทาโกลัส ก็ได้ ถึงตรงนี้ "พระเจ้า" หรือ"จิต" ก็ไม่ต่างจากนักสร้างภาพยนต์ชั้นหนึ่ง"..กระมังครับ
สำหรับเรื่องของโวหารสมมุติข้างต้น เนื่องในสภาวการณ์ปัจจุบัน เราคงยากที่จะหลีกเลี่ยงความรู้ของวิทยาศาสตร์ แม้ว่า"ความจริง"ที่บอกกล่าวกันในโวหารนี้ จะเป็นเพียง"เงา"ของความจริงก็ตาม ก็ยังถือว่าเป็นสิ่งที่พอจับเค้าพอมองเห็นได้ เพราะมันมีแสงแห่งปัญญา(บางส่วน)ส่องอยู่ แม้จะน้อยนิดเพียงจับต้องได้แค่เป็นเห็นเพียงเงาของความจริงก็ตาม เพราะยังไม่สามารถเห็นได้จะแจ้ง แต่ก็ยังพอนับได้ว่า นั่นเป็นเค้าโครงของความจริงได้ ก็..ยังดีเสียกว่าการ"มองเห็น"ที่เป็นเสมือน"ฝัน"อันผ่านทางกระบวนการจินตนาการของแต่ละคน อธิบายแก่กันนั้นยากที่จะเข้าใจ หรือแม้นว่า อาจเป็นแค่เพียงความหลงเชื่อ หลงติดจนกลายเป็นความงมงายที่ไม่อาจรู้เท่าทันก็ได้
ลองพิจารณาโวหารสมมุติในอีกข้อเสนอแนะ ดังต่อไปนี้....
ไอน์สไตน์กล่าวว่า.... "วิทยาศาสตร์ที่ไร้ศาสนาก็เหมือนคนขาเป๋ ศาสนาที่ไร้วิทยาศาสตร์ก็เหมือนคนตาบอด"
พระสันตะปะปาจอห์น พอลที่สอง กล่าวว่า.."วิทยาศาสตร์สามารถชำระศาสนาให้สะอาดขึ้นจากความผิดพลาดและความเชื่อในเรื่องเหนือธรรมชาติ ศาสนาก็สามารถชำระวิทยาศาสตร์ให้สะอาดจากความเชื่อในบางสิ่งจนเกินเลยไป และกลายเป็นความสัมบูรณ์ที่ผิดพลาดได้ แต่ ทั้งสองสิ่งนี้ สามารถนำพากันไปสู่โลกที่กว้างขึ้น การเชื่อมสองสิ่งนี้เป็นสิ่งจำเป็นที่ต้องดูแล"
หากพระเจ้าเป็นผู้สร้างมนุษย์จริง...หรือเกิดขึ้นมาโดยไม่มีทางเลือก(เพราะกรรม) ก็คงมีจุดประสงค์ให้เราใช้สมองของเราคิดและไตร่ตรองหาเหตุผล ซึ่งในที่สุดแล้วนำพาโลก(และตัวเรา)ไปสู่ความสงบสมบูรณ์
การชี้ว่ามนุษย์ต้องเลือกทางเดินของตนเองและรับผิดชอบการกระทำของตน ก็คล้ายเรื่องตนเป็นที่พึ่งแห่งตนในแนวพุทธ ส่วนเรื่องอิสระภาพการเลือกใช้ชีวิตนั้น ก็คล้ายแนวทางเต๋า..นี่เป็นสาระของปรัชญาเอ็กซิสเตนเชียลิสม์ของ..ฌอง-ปอล ซาร์ตร์ เจ้าของวาทะ.."การเกิดมาในโลกนี้เป็นสิ่งที่เราทุกคนไม่มีทางเลือก อิสรภาพที่จะไม่เลือกอิสระ... ไม่ใช่อิสรภาพ"
ปรัชญาเอ็กซิสเตนเชียลิสม์ เป็นรูปแบบหนึ่งของมนุษย์นิยม ที่เชื่อใน 3เรื่องคือ..อิสระภาพปัจเจก(individual freedom) ทางเลือก(choice) และความรับผิดชอบของมนุษย์หรือตัวตนของปัจเจก(individual existence)
ในแนวพุทธ...อิสระภาพที่แท้คือ อิสระภาพที่พ้นจากกิเลสทั้งปวงที่ครอบงำจิตของเรา
การตีความคัมภีย์ให้ถูกไม่สำคัญเท่าการตีความให้เป็นประโยชน์ต่อ(ตนเองและ)สังคม
ไม่ว่าชีวิตเป็นสิ่งที่เรากำหนดขึ้นเองหรือไม่ก็ตาม เราไม่มีทางรู้ สิ่งที่เราทำได้ดูเหมือนไม่มีทางเลือกเท่าใด เราต้องก้าวต่อไปโดยทำทีไม่สนใจว่าชีวิตเราถูกกำหนดมาหรือไม่ เพราะหากมันไม่ถูกกำหนดมาก่อน เรายังมีโอกาสมากกว่าที่จะไม่ทำอะไรเสียเลย
จาก..."พระเจ้าไม่เล่นบอล? ว่าด้วยผู้สร้าง" โดย วินทร์ เลียววาริณ (http://www.winbookclub.com/)
สรุปกันได้ว่า.... โวหารอันเป็นสมมุติบัญญัติดังกล่าว ก็เป็นเรื่องของ ปัจจัตตัง เวทิตัพโพ วิญญูชนรู้ได้ด้วยตนเอง อันนี้เป็นคำสอนของพระพุทธเจ้า ท่านว่า...ให้เชื่อตัวเอง ให้เห็นให้เข้าใจด้วยตัวของเราเอง

พึงเจริญในธรรม...นะครับ
โดยคุณ : เด็กข้างวัด - 16/11/2004 00:51