วันพุธ, เมษายน 23, 2551

การเมืองกับสถาปัตยกรรม

สวัสดีปีใหม่ไทย(สงกรานต์)ล่วงหน้าอาจารย์นะครับ แล้วขออนุญาติรดน้ำดำหัว(ไม่รู้ว่าใช่คำผิดหรือเปล่า) อาจารย์ผ่านทางเว็บบอร์ดนี้ล่วงหน้าเลยนะครับ เพราะผมคงต้องกลับบ้านต่างจังหวัดอาจจะไม่ได้ใช้อินเทอร์เน็ตไปอีกสักระยะเลย ขอให้อาจารย์มีสุขภาพแข็งแรง อยู่เป็นที่ปรึกษาให้กับลูกศิษย์ลูกหา นานๆนะครับ

เข้าเรื่องดีกว่า

ไม่มีอะไรมากครับอาจารย์ อยากถามอาจารย์เล่นๆไว้ประดับความรู้ว่า....

อาจารย์คิดว่าที่ว่างในทางสถาปัตยกรรมนี่มันช่วยสงเสริมอำนาจบารมีให้กับผู้ใช้หรือเปล่าครับ คือลองคิดว่า ถ้าเราทำที่ว่าง ที่ว่างนึงให้คนไปชุมนุมประท้วงขับไล่(รักษาการ)นายก อาจารย์คิดว่าที่ว่างแบบไหนจะส่งเสริมให้กลุ่มผู้ชุมนุมมีพลังในการขับเคลื่อนมาก

หรือในทางกลับกัน ถ้า(รักษาการ)นายก ออกไปหา(ซื้อ)เสียง ที่ว่างแบบไหนที่ท่านจะสามารถพูดแล้วผู้คนเชื่อถือได้มากที่สุดครับ

แล้วก้ออีกว่าในสถานการ์บ้านเมืองแบบนี้ ที่ว่างแบบไหนที่ทำให้จิตใจคนไทยเย็นลงบ้างครับ ที่ๆนึงที่ผมคิดก้อคือ วัดแน่ๆ เพราะขนาดสนธิเข้าไปพูดในวัด พลังความเชื่อถือก้อเพิ่มมากขึ้นกว่าที่พูดข้างนอก เอ...มันเกี่ยวกับที่ว่างหรือสถาปัตยกรรมมั้ยครับ หรือมันเป็นเพราะคน
ก้อเลยอยากยกประเด็นนี้มาขอความเห็นจากอาจารย์นะครับ

ขอบคุณครับ โดย เด็กตึกแถว(เพิ่งฟื้นคืนชีพ) [28 มี.ค. 2549 , 10:56:08 น.]

ข้อความ 1

ขอขอบคุณในไมตรีจิตที่เรายังคงมีเหมือนเดิม

เพราะช่วยส่งเสริมให้ครูแก่ๆมีความสุขมากขึ้น เมื่อใดที่ได้ทราบว่ายังมีศิษย์หรือเพื่อนเก่ายังคิดถึงกันอยู่

มุทิตาจิตหรือพรใดที่เราส่งให้ผู้อื่น พระท่านบอกว่า มันมักส่งต่อกลับมาที่ตัวของเราเองเช่นกัน...ครับ

เรื่องที่คุยมา คือ...ที่ว่าง vs. พฤติกรรม(ทั้งทางกายและใจ) เป็นเรื่องที่น่าสนใจและน่าตรึกตรองสำหรับสถาปนิก อย่างยิ่ง

ผมเคยได้ยินคำสัมภาษณ์ของคนที่เคยทำงาน ในบริษัทชินคอร์ปคนหนึ่งพูดเรื่องที่ว่างในเชิงความ สัมพันธ์กับวิสัยทัศน์ในการทำงาน เขายกย่องคุณทักษิณ ว่าเป็นนายผู้ให้ที่ว่างทางความคิดแก่เขามาก จึงทำให้ เขานั้นมีความสุขในการทำงานอย่างยิ่ง เมื่อใดที่เขาใช้ที่ว่างนี้ หมดไปแล้ว เขาก็จะไปค้นหาเจ้านายใหม่อื่นที่ให้ที่ว่างมากกว่าต่อๆไป

ที่ว่างในเชิงทางความคิดนี้ เป็นประเด็นที่น่าสนใจ สำหรับอาชีพสถาปนิกนะครับ เช่นถ้าเราเจอครูที่ให้พื้นที่ว่างทางความคิดแก่ศิษย์มากๆ ศิษย์ส่วนมากก๊อาจมีความสุขในการเรียนมากขึ้น เช่นเดียวกัน ถ้าเราให้ที่ว่างมากพอกับคนที่ทำงานในสำนักงานสถาปนิกของเรา ลูกน้องเราก็น่าจะมีความสุขและสนุกในการทำงานช่วยเรา...นะครับ

ส่วนที่ว่างในเชิงปฎิสัมพันธ์ทางกายภาพ พวกเราคุ้นๆกันอยู่ เมื่อใดที่เกิดความพอดี ที่ว่างกายภาพนั้นก็เป็นคุณ ไม่ว่าจะเป็นที่ว่างเพื่อการชุมนุมหรือที่หาเสียงของนักการเมือง ..เช่นที่ว่างพอดีในระยะที่ยกมือไหว้หาเสียงแล้ว ชาวบ้านมองเห็นท่วงที่ที่น่าร๊าก..น่าสงสาร เป็นต้น

ความพอดี(ขนาดและจำนวน)ของที่ว่างในแต่ละกิจกรรมทั้งทางกายและใจ เป็นเรื่องที่สถาปนิกต้องแสวงหาอย่างไม่มีที่สิ้นสุด ตราบใดที่ยังมีอาชีพนี้ แต่..พึงอย่ามองข้ามภาษิตโบราณ ที่ว่า...คับที่อยู่ได้..คับใจอยู่บ่ได้...นะนาย

เหตุการณ์ทางการเมืองที่เกิดขึ้นในการชุมนุมเร็วๆนี้ ผมคิดว่าเรามีพัฒนาการเรื่องที่ว่างไม่แพ้ต่างชาติ คือเรามีความสมบูรณ์ทั้งทางกายภาพและจิตใจ(ทางความคิด) เช่น เวทีที่ใช้ประกอบการชุมนุมเพื่อให้ข่าวสารข้อมูลและบันเทิง ถ้าให้สาระของที่ว่างมากๆ(ข้อมูลที่เราไม่ทราบมาก่อน)คนมาชุมนุมก็จะมีมากขึ้น เช่นเดียวกัน กับการเปิดที่ว่างทางกายภาพรองรับให้พอดีกัน ลองนึกภาพถ้ามีเวทีห่วยๆไม่โก้มโหฬาร ผมว่า การชุมนุมน่าจะกร่อยและมีคนโหรงเหรงแน่นอน

เวทีชุมนุมทางการเมืองเดี๋ยวนี้....จึงต้องดูมโหฬารไม่ให้แพ้เวทีคอนเสริตพี่เบิร์ด...ด้วยประการฉะนี้แล

ผมโม้คุยมาเท่าที่จะคิดได้ตอนนี้ เรื่องที่คุณถามมา สามารถใช้ทำวิทยานิพนธ์ระดับปริญญาเอกได้..นะครับ

มีบทความของนิสิตสถาปัตย์ระดับ เอกในเรื่องที่ว่าง ที่เผยแพร่ในมหาวิทยาลัยเที่ยงคืน คุณลองไปหาอ่าน(ในหมวดรวมบทความ)ดูเพิ่มเติม...นะครับ

โดย เพื่อนอาจารย์ [10 เม.ย. 2549 , 01:22:16 น.]

ข้อความ 2

ขอบคุณอาจารย์มากครับ แต่ลองไปหาที่มหาวิทยาลัยเที่ยงคืน ไม่เจอหมวดนั้นอ่ะครับ มันต้องเป็นสมาชิกเว็บบอร์ดหรือเปล่าครับ ถึงจะเข้าไปได้ เพราะผมเจอแต่หัวข้อ 900 กว่าหัวข้อ ก้อพยายามศึกษา แต่เยอะเหลือเกินครับ

โดย เด็กตึกแถว [25 เม.ย. 2549 , 02:36:08 น.]

ข้อความ 3

ที่รวมบทความ http://www.geocities.com/midnightuniv/articlepage1.htm
หน้าหลัก http://www.geocities.com/midnightuniv/index.htm
ขอให้มีความสุขในการอ่านและศึกษา...นะครับ

โดย เพื่อนอาจารย์ [4 พ.ค. 2549 , 11:49:34 น.]

ข้อความ 4

อยู่ที่ลำดับ..123...ชื่อ..สถาปัตยกรรมปกติและที่ว่างที่ผิดปรกติ http://www.geocities.com/fineartcmu2001/newpage23.html

แรงบันดาลใจสู่พื้นที่ว่างทางสถาปัตยกรรม

การที่จะสร้างสิ่งหนึ่งสิ่งใด ให้เกิด ตั้งอยู่ แล้วดับไป ทุกอย่างล้วนแล้วแต่เกิดขึ้นจากสิ่งที่อยู่ภายในใจ แรงบันดาลใจสามารถสร้างสิ่งต่างๆให้เกิดขึ้นมากมายอย่างคาดไม่ถึง คุณมีความคิดอย่างไรกับการสร้างพื้นที่ว่างทางสถาปัตยกรรมจากแรงบันดาลใจ เชิญแสดงความเห็น


โดย ผู้ใคร่รู้ - [5 ส.ค. 2548 , 15:57:44 น.]

ข้อความ 1

คำถามยอด..ยาก..เพราะกำกึ่งกับเรื่องโลกุตระกับโลกียะ เรื่องของการออกแบบสถาปัตยกรรม สาระคือ.. ทำให้แรงบันดาลใจที่เป็นนามธรรมล้วนๆ ให้ปรากฏ ออกมาเป็นรูปธรรมของสถาปัตยกรรมที่จับต้องได้ ..ก็แค่นี้เอง ส่วนแรงบันดาลใจหรืออุปทานภายในของใครจะมากจะน้อย อย่างไรไม่ใช่ประเด็นการออกแบบ มีมากสวยหรูแต่ออกมาไม่สมเจตนาก็เยอะ มีน้อยแต่ออกมาเลอะๆเทอะๆก็มาก

มีแนวคิดเรื่องที่ว่างในทำนองอิงพุทธปรัชญา เช่น เซ็น มีสถาปนิกฝรั่ง เช่น มีส หรือพวกกลุ่มเมตาโบลิซึ่ม พยายามทำกันมาในยุคก่อนๆ..วัดพุทธนิกายเซ้นในญี่ปุ่น....ก้อมีแล้ว โดยส่วนตัวก็มีแรงบันดาลใจในเรื่องนี้อยู่บ้าง เช่น อยากศึกษาเรื่องสถาปัตยกรรมพอเพียง หรือ minimalism อิงหลักพุทธ(ที่ผมยังรู้แบบงูๆปลาๆขณะนี้)

แต่...แนวคิดทำนองนี้ ไม่น่าขายได้ในยุคทุนนิยมสุดๆขณะนี้หรอกครับ ..ก็แค่คิดแบบคนแก่ใกล้ตาย...เอามันเท่านั้น ไม่อยากแนะนำคนอื่น ซึ่งมีอุปทานมากน้อยต่างกัน อันเป็นไปตามกรรมของแต่ละคน โดยเฉพาะอย่างยิ่ง การเอาเรื่องสมมุติธรรมมาปนเปกับปรมัติธรรม มันจะยุ่งเหยิง และหาคำตอบคนละคำถาม....ไม่ได้หรอกครับ คิดไปบอกไป ก็เป็นการโม้หรือเพ้อเจ้อไปปล่าวๆ...นะครับ

โดย ผู้ยังไม่รู้ [7 ส.ค. 2548 , 11:21:51 น.]

รูปแบบชีวิต
อาจารย์เคยคิดไหมคะ ว่าทำไมชีวิตคนเมืองทุกคนถึงดูเป็นรูปแบบขนาดนี้ เกิด เรียนๆๆๆ จบแล้ว ทำงานๆๆๆๆ ออฟฟิศบ้าง งานตัวเองบ้าง พอมีฐานะ ก็แต่งงาน สะสมเงินทอง มีลูกหลาน แก่ ตาย... ทำไมมันถึงดูเป็นรูปแบบเดียวกันหมดคะ หรือว่ามันเป็นไปตามที่เคยมีคำสอนไว้ ว่าวัยไหนต้องทำอะไร หรือหนูคิดมากไปเอง...

โดย ฮาฮา [26 เม.ย. 2548 , 21:03:59 น.]

ข้อความ 1

คนเราเกิดมาแล้วต้องดำเนินชีวิตกันไปทุกคน จนกว่าจะถึงวันตาย แล้วก็เกิดเวียนเทียนต่อไป รูปแบบคงต้องมีความคล้ายคลึงกันตามวัยเพื่อ ความอยู่รอดปลอดภัย ...เหมือนๆสัตว์พันธ์อื่นๆ คน"ไม่ธรรมดา" มักมีความต่างกันในรูปแบบ เช่นพระพุทธเจ้า...ไม่ธรรมดา อยู่ดีๆไม่ว่ากลับ เปลี่ยนรูปแบบการดำเนินชีวิตเสียนิ..ต่างจาก วรรณะกษัตริย์ที่เคยเป็น อีกตัวอย่าง ที่อยากขอ..พระบรมราชานุญาต เอ่ยพระนาม คือ..สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯของเรา โลกของมนุษย์ทุกวันนี้ ต้องการความหลากหลายของ การดำเนินชีวิตกันมาก ..คนที่จะเลือกสร้างความหลากหลายได้ ต้องเป็นคน"ไม่ธรรมดา" คุณคิดจะเป็นไหมล่ะ ส่วนผมอยากลองเมื่อแก่...คือจากเคยหลอกเป็นอาจารย์มาแล้ว จะลองหลอกไปเป็นตาแก่...ขายกาแฟ..ดูบ้าง เพื่อส่งเสริมความหลากหลายของการดำเนินชีวิต ไงล่ะ...ครับ

โดย อาจารย์ ...ฮิฮิ [28 เม.ย. 2548 , 17:40:51 น.]

ข้อความ 2

หนูอยากเป็นคน "ไม่ธรรมดา"บ้างจังคะ แต่บางทีสังคมกับสิ่งแวดล้อมก็ทำให้หนูดำเนินชีวิต เป็นคน "ธรรมดา" จะแอบ"ไม่ธรรมดา" ก็บ้างในเวลานอกของตัวเอง ตอนนี้เพิ่งเรียนจบมา ก็ต้องสมัครงานหางานทำ อย่างคน"ธรรมดา" หรือกว่าที่หนูจะเป็นคน"ไม่ธรรมดา" ก็ต้องเมื่อหนูถึงจุดที่อยากทำไรก็ได้คะ... ทุกวันนี้ก็ยังไม่ได้ทำงาน เพราะอยาก "เป็นคนไม่ธรรมดา" อย่างที่ตัวเองพอใจ เพราะอยากทำงานที่ตัวเองรักจริงๆ... เลยยังไม่ได้ทำงานเลยคะ.... โอ้ว กว่าที่ใครสักคนจะรู้ว่าตัวเองรักที่จะทำอะไร บางทีหนูก็อิจฉาคนที่มีฝันที่ตัวเองอยากทำจริงๆ บางทีเห็นคนนั่งทำดนตรีที่ตัวเองรัก หนูยังอิจฉาเลยคะ เมื่อไรหนูจะเจอบ้าง พยายามลองไปเรื่อยคะ...อยากเจ้ออยากเจอ

โดย ฮาฮา [28 เม.ย. 2548 , 19:13:21 น.]

ข้อความ 3

ลองหาเวลาทบทวนดู...บ่อยๆ...อาจเจอ มันเหมือนเจอแฟนแล้วรู้สึก...ปิ้ง.. ปิ้งมาก...ปิ้งนาน ก็แสดงว่าเราชอบเข้าแล้ว ร่างกายก็หลั่งสารเอ็นโดฟิลออกมา มันช่างสุขนี่กระไร คนเจริญภาวนาถึงขั้น ก็จะเกิดปิติกับสมาธินั้นเหมือนกัน พระท่านเตือนว่า แต่ต้องพิจารณาต่อไป เพราะปิติ นั้นเป็นอนิจจังเหมือนกัน แต่สำหรับปุถุชนอย่างเราๆ ต้องเริ่มทำสมาธิก่อน แล้วจึงค่อยปล่อยวาง ...เพื่อปิติในขั้นสูงต่อๆไป การงานที่เราต้องเริ่มทำ...ก็เหมือนกัน หาก เจองาน นายจ้าง ฯลฯ ที่ทำให้เรา...ปิ้ง...ก็ถือเป็นการ เริ่มต้นชีวิตการงานที่ดีแล้ว ...ถ้าไม่ปิ้ง...ก็อย่าดัน ทุรังเพราะอยากได้เงิน เพราะอาจเจอทุกข์ใจเอาได้ด้วย การจะไม่เป็น "ธรรมดา" นั้น ก็เหมือนการ พิจารณาสุขที่เราพบแรก แล้วก็เจริญขึ้นต่อๆไป ว่างๆลองไปเยี่ยม.. http://kannikar.bravehost.com/arjarncha/cha1.htm ที่ผมทำไว้ให้เพื่อนๆร่วมรุ่นที่กำลังใกล้เข้าโรง กันแล้ว .....นะครับ ป.ล.กำลังปรับปรุงให้วิดีโอชัดขึ้น...เร็วๆนี้ครับ

โดย อาจารย์...แฮะ..แฮะ [30 เม.ย. 2548 , 00:59:56 น.]

ข้อความ 4

ขอบคุณมากคะ อาจารย์ ฮิ ฮิ แฮะแฮะ

โดย ฮาฮา [30 เม.ย. 2548 , 19:52:42 น.]

วันพฤหัสบดี, กุมภาพันธ์ 21, 2551

บันทึกที่เคยโม้..ของเพื่อนอาจารย์


เวลา..ของเพื่อนคนหนึ่ง.. อ.สมสิทธิ์ นิตยะ หมดลงในเทศะนี้แล้ว สิ่งที่หลงเหลือคือ ..สัญญา ..ในความทรงจำ เคยพานพบกันมา ..จู่ๆ ..ต้องห่างหายจากไป ทำให้นึกถึงบทกวีของใครบางคน ..เอ่ยถึง "ใบไม้ที่หายไป" เพราะต่างเคยประดับ เป็นใบชูชัน เสียดสี ทับเกย อวดสร้าง สีสรร ร่วมกันบนต้นไม้หนึ่ง..ในชุมชนสถาปัตยกรรม พลันเกิดช่องว่างของใบไม้ที่เหลือคาต้น ..ให้อ้างว้าง เดียวดาย ..แล้วอีกไม่นาน ทุกๆใบก็ต้องร่วงลงเช่นกัน .. เวลาของมวลใบไม้..ในเทศะนี้...มันช่างมีกันน้อยจริงๆ

โดย เพื่อนอาจารย์ [19 พ.ค. 2546 , 09:39:43 น.]


ฝากให้..ไทแมน ลองพิจารณาดู...นะครับ

ความงามกับการพัฒนาทางจิตวิญญาณ

ในความจริงมีความงาม ถ้าเข้าถึงความจริงของสรรพสิ่ง ก็จะประสบความงาม การประสบความงามทำให้เกิด ความสุข ในธรรมชาติของสรรพสิ่งมีความงามอยู่ทั่วไป ความสุขที่ได้สัมผัสกับความงาม พัฒนาจิตใจให้สูงและ เจริญขึ้น ..ความงาม ๑๐ ประการที่ประสบได้ในวิถีชีวิต

๑. ความงามของธรรมชาติและปรากฏการณ์ทางธรรมชาติ

๒. ศิลปะ เป็นความงามที่มนุษย์สร้างขึ้นควร เพื่อการลดกิเลส

๓. ความงามในงาน งานที่ทำอย่างประนีต ให้เกิดประโยชน์สำเร็จ

๔. ความงามในความรู้ รู้จริงรู้ทั่วรู้การเชื่อมโยงด้วยกันทั้งหมด

๕. ความงามของจิตใจ พัฒนาให้เจริญในพรมวิหารธรรม

๖. ความงามในวาจา ด้วยปิยวาจา ความจริง วจีสุจริต

๗. ความงามในการกระทำ ไม่เบียดเบียน มีศิลเป็นความงาม

๘. ความงามในความเป็นชุมชน การรวมตัวเอื้ออาทรกันตามโอกาส

๙. ความงามในสัญลักษณ์ทางศาสนา ส่งเสริมให้คุณค่าคำสอน

๑๐. ความงามในสติ(ศีล) สมาธิ และปัญญา เพื่อพัฒนาสู่สังคมแห่งความรู้

เรื่องงานของรัฐฯขณะนี้ ถ้ามองกันในแง่บวก ก็ต้องกล่าวว่าเป็นการสร้างขวัญกำลังใจ อย่าถือว่าจะเป็นเรื่องจริงจัง ที่ว่า "ท่าน" จะทำให้ความยากจนหายไปจากเมืองไทย ภายในหกปี ...เมื่อมีคนที่สมมุติว่ารวย ก็ ย่อมมีสมมุติว่าจนควบคู่กันไปเสมอแหละ ต้องยอมรับว่า "คนไม่รู้" ยังชอบความหวัง ลมๆแล้งๆกันอยู่เสมอ มักใช้เป็นยากล่อม ประสาททางใจ ไม่ต่างกับยาบ้าทางกายนัก เผอิญ..ยังไม่ถึงเวลาของอนาคต ที่จะมีใคร ฆ่าตัดตอนคนขายความหวังลมๆแล้งขณะนี้

การไม่ต้องติด "ยา" แบบนี้ มีทางเดียวที่แก้ คือสร้างความคิดที่เรียกว่า "สันโดษ" เท่านั้น คือหมายถึงความสุขในสิ่งที่ตนมี ซึ่งตรงข้ามกับ ความไม่สันโดษ คือความสุขในสิ่งที่ตนไม่มี แต่ ผู้มี "ปัญญา" นั้นต้องไม่สันโดษในการค้นหา ความ "เป็นจริง" ของโลกที่เป็นของเราขณะนี้ เช่นเดียวกับพระสัมมาสัมพุทธเจ้า "ครู" ที่ยิ่ง ใหญ่ของพวกเรา (ทุกศาสนา) ที่ไม่ยอมสันโดษ กับสิ่งที่ท่านบรรลุคือ "ฌาน" หรือเช่นความรวย ของคนที่แสวงกันอยู่ทุกวันนี้ ทั้งๆที่เป็นสุขที่ไม่จริง

ผมชอบความคิดที่ว่า "พระเจ้า" มักเป็นอะไรก็ได้ ในสิ่งที่เราคาดไม่ถึง แม้แต่ "คนยาม" ที่ยังนอน อยู่ในป้อมยามขณะนี้ ถ้าเผอิญเขานอนอย่างมี "ความสุข" เพราะเมื่อหลับแล้วก็คงไม่ต่างกันกับ คนนอนในที่ไหนๆ ลองพิจารณาตัวอย่างศาสดา ของพวกเรา มักเป็นพระเจ้าในรูปของผู้ยากไร้ เสมอ ...มีทัศนะคติอย่างนี้แหละที่ผมว่าเป็นการ พัฒนาตนไม่ให้เกิดการแบ่งแยกกันในทุกเรื่อง เข่นเดียวกับ ครู-ศิษย์ นั้นในความจริงไม่มี มีแต่ ในความสมมุติกันเท่านั้น ...เพราะ โง่-ฉลาดพอกัน ไม่แตกต่างกับ คนยาม-นายกฯ ฯลฯ ที่รวยจนพอกัน

ว่าแต่ "ความจริง" ของความฉลาดหรือความรวย ที่เรามีความหวังกันนั้น ..มันคืออะไรกันแน่?
อ่านจบ..งงกันไหม? ครับ


โดย เพื่อนอาจารย์ [28 ก.พ. 2546 , 09:37:01 น.]

ศาสดาในศาสนาอื่นมักไม่ใช่กษัตริย์ ก็ยังปฏิวัติอำนาจต่างๆได้ ตามในประวัติศาสตร์ ในกรณีของพระพุทธเจ้านั้น ท่านดำรง อยู่ใน "วิถี" ที่ต้องบรรลุพระสัมมาโพธิญาณ ดังนั้นในภพชาติสุดท้าย จึงต้องอยู่ใน "เงื่อนไข" หรือปัจจัย ที่จะต้องทำให้บรรลุ เป้าหมายที่ตั้งใจพระทัยไว้แน่นอน

เงื่อนไขในสมัยพุทธกาล ไม่เหมือนใน สมัยโรมัน หรือในจีน ที่ทำให้เกิด "ศาสดา" เช่นพระไครสต์หรือ เล่าจื้อ ขงจื้อ แต่พระองค์ เกิดอยู่ท่ามกลางความหลงผิดในแง่ความรู้ ในขณะนั้น เช่นลัทธิพระเวท ทั้งหลาย รวม ทั้งการแบ่งชั้นวรรณะ จึงเป็นการปฏิวัติกัน ทางความรู้ความคิดเป็นส่วนใหญ่ ก็คงเหมือน เช่นนักวิทยาศาสตร์หรือนักปรัชญาในยุคนี้ ที่ต้องมีการเรียนรู้วิชาทั้งหลายมาก่อน จึงจะปฏิวัติ หรือสร้างทฤษฎีใหม่ๆได้ ไม่งั้นการยอมรับก็ จะไม่เพรียบพร้อม กรณีของพระพุทธองค์ ถ้าย้อนศึกษาประสบการณ์ในอดีตแล้ว จะไม่มีข้อกังขาในสิ่งที่พระองค์ตรัสรู้ได้เลย เช่นยศฐาบันดาศักดิ์ หรือความร่ำรวยทั้งหลาย ที่สุดท้ายก็ต้องละ เพราะไม่เป็นความจริงที่ยั่งยืน หรือทำให้เกิดความ "หลุดพ้น" นั่นเอง ตัณหา อุปทาน และสุขในชีวิต คือความทุกข์ทั้งสิ้น จะพ้นความทุกข์ถึงขั้น "วิมุติ" นั้น ต้องเพื่อการละ ทั้งสิ้น ....เรื่องนี้ซับซ้อนจริงๆครับ ปัญญาที่ สะสมกันมาน้อยของพวกเราไม่พอ จำต้องอาศัย กุศลธรรม ที่ต้องสะสมกันต่อไปอีกนานครับ จึงจะเข้าใจ ..ขนาดเกิดมาในกาลที่พระพุทธศาสนา ยังปรากฏให้ศึกษากัน ..ก็ยังขยาดไม่ยอมรู้กันเลย

พูดหรือคิดกันเรื่องนี้แล้ว ...จะเหนื่อยเอาการจริงๆ แฮะ.......๕๕๕๕๕๕๕


โดย เพื่อนอาจารย์ [1 มี.ค. 2546 , 15:11:32 น

บนวัฒนธรรมไทยแบบเดิมๆในแง่ความงดงามนั้น ความเป็นส่วนตัวและส่วนรวมของครอบครัว มักแยกกันไม่ค่อยชัดเจนนัก หรือถือเป็นเรื่องเดียวกันก็ได้

การมีความสัมพันธ์ในแง่เซ็กส์ จึงต้องมีความสำรวม ไม่สะท้อนกันด้วยอารมณ์กันได้อย่างเต็มที่นัก ที่ว่างทางสถาปัตยกรรมที่สร้างเพื่อการร่วมอาศัยกัน จึงควบคุมสิ่งเหล่านี้ให้พอเหมาะพอควรได้บ้างนะ

แต่ในระยะหลังการออกแบบที่ว่างเปลี่ยนไป เน้นความเป็นส่วนตัวมากขึ้นเหมือนอย่าง ของวัฒนธรรมตะวันตก ความเอื้ออาทรทางสังคม หรือเครือญาติก็ลดทอนลงไป มีการอยู่กินกันแบบตัวใครตัวมัน มากขึ้น เดี๋ยวนี้เราสร้างบ้านกันใหญ่โตแต่อยู่กันแค่ไม่กี่คน ความสัมพันธ์ฉันท์เครือญาติหรือครอบครัวก็ลดลงไป ความเป็นส่วนตัวก็มากขึ้นจนเกินเลย ในที่สุด สถาบันครอบครัวก็เหือดหายไป พร้อมสาเหตุอื่นๆ

สังคมที่เน้นด้านจิตวิญญาณแต่เดิมกำลังถูกทดแทน ด้วยการเน้นวัตถุนิยมมากขึ้น จนชักจะเป็นเรื่องของวิกฤติ ในระดับมหาภาค ขณะนี้พวกนิวเอชกำลังจะดึงเรื่อง เหล่านี้กลับคืนมา เพื่อลดวิกฤติทางครอบครัวและสังคมกัน

ผมก็ไม่แน่ใจว่าจะได้หรือเปล่า แต่ก็หวังว่าน่าจะพยายาม เพราะเป็นหนทางหนึ่งที่จะสร้างความสมดุลป์ให้เกิดขึ้น รูปแบบสถาปัตยกรรมอาจกลับไปสู่อดีตได้ยาก แต่รูปแบบใหม่ที่เราคิดกัน ก็น่าคำนึงถึงรักษาคุณค่าเดิมๆที่งดงามไว้บ้าง นะครับ ..

สำหรับผมนั้นสนับสนุนเรื่องครอบครัว และเครือญาติมาก และชอบสถาปัตยกรรมแบบ เอื้ออาทรกัน จะเป็นระดับไหนๆก็เห็นด้วยทั้งนั้นครับ ..ยังรู้สึกนับถือเรื่องการจัดการเรื่องที่ว่าง ของคนไทยในอดีต ที่ใช้กันอย่าประหยัดและเป็น แบบพอเพียง และยังควบคุมพฤติกรรมอื่นๆได้อีกด้วย...ครับ


โดย เพื่อนอาจารย์ [22 ธ.ค. 2545 , 13:52:44 น.

ไม่ว่าท่านเป็นหญิงจริง หรือชายแท้ ขอคุยเรื่องนี้กันดังต่อไปนี้

เมื่อเช้านี้ได้ข่าวจากสื่อว่า ..พวกนักเรียนสมัยนี้เรียกร้อง อยากได้ครูประเภทสรวมเสื้อสายเดี่ยว อายุไม่เกิน ๒๕ เพราะหากเรียนกับครูแก่ๆ ก็จะเหมือนโดนตา-ยาย คอยตามมาหลอกหลอนกันอีกถึงโรงเรียน นี่เป็นการ เรียกร้องเรื่องเพศ ...ใช่ไหม?

อารมณ์ที่เกิด "อุปทาน" เช่นนี้ ถือเป็นเรื่องปกติทั้งหญิงทั้งชาย สำหรับคนในวัยเจริญพันธ์ คือ ผู้ยังมักฝักใฝ่อยู่กับ "ความเกิด" เพื่อการสืบต่อภพชาติ มากกว่าคนแก่ที่มักใฝ่กับ "ความดับ" ซึ่งก็เพื่อความเกิดอีกอยู่ดี ..แต่หากอยากตัดตอนวัฏฏะ หรือ การสืบต่อภพชาติเช่นนี้ ก็ต้องเจริญรอยตามคำสั่งสอน ขององค์ พระสัมมาสัมพุทธเจ้า ในพระพุทธศาสนา

คำกล่าวจั่วหัวกระทู้เช่นนี้ ไม่ใช่เรื่องที่น่าละอายแต่อย่างไรเลย นะครับ ..ปุถุชนก็เป็นเช่นนี้กันทั้งนั้นแล

ทีนี้ลองมาพิจารณาเพื่อการลดทอนเรื่องนี้ดูกันบ้าง ส่วนการแก้ปัญหาเฉพาะหน้านั้น ทางพุทธศาสนาเตือน ให้ลองลดการบริโภคเนื้อสัตว์ลงให้น้อยๆหน่อย เพราะการบริโภคอาหารนั้นจะสัมพันธ์กับอารมณ์ ที่เกิดขึ้นของมนุษย์ โดยเฉพาะอุปทานในเรื่องกามารมณ์ หรืออารมณ์ทางเพศ ที่เกินเลยปกติตามธรรมชาติ มนุษย์นั้นต่างจากสัตว์ในเรื่องนี้มากทีเดียว เพราะมีจิตที่ใหญ่โตกว่าสัตว์ เลยไม่ค่อยบันยี้บันยัง การสร้างอารมณ์ต่างๆเท่าไรนัก .....

ต่อไปนี้ค้นหามาจากเรื่องราวที่บันทึกในพระไตรปิฏกฯ และการอธิบายของผู้รู้ต่างๆ ..นะครับ
ดูกร ภิกษุทั้งหลาย ก็อุปาทานเป็นไฉน?

วัตถุแห่งความยึดของบุคคลนั้น พระพุทธองค์ทรงแสดงไว้ ๔ ประการ เรียกว่า อุปทาน

๑. กามุปาทาน ความยึดมั่นในกาม

๒. ทิฏฐุปาทาน ความยึดมั่นในทิฐิ

๓. สีลัพพตุปาทาน ความยึดมั่นในศีลและพรตหรือพิธีรีตองต่าง ๆ

๔. อัตตวาทุปาทาน ความยึดมั่นในตัวตน

แต่..จะขอเน้นเฉพาะ กามุปาทาน ไม่งั้นจะยาว จนเบื่อแล้วไม่อยากอ่าน เลยยังไม่รู้อยู่อีกต่อไป
อุปาทาน


อธิบายเพิ่มเติมโดยท่านอาจารย์ วศิน อินทสระ เน้นย้ำเป็นดังนี้..


โดยทั่วไปชีวิตมนุษย์เต็มไปด้วยความยึดมั่น เร่าร้อนอยู่ด้วยความต้องการ อันไม่มีขอบเขตไม่มีที่สิ้นสุด ถูกความอยากเผาลนให้เร่าร้อนอยู่ภายใน แม้สิ่งที่เขาเข้าใจว่าเป็นความสุขหรือความสนุกสนานเพลิดเพลิน ก็มีความทุกข์เจือปนอยู่ แต่มนุษย์ก็ยังต้องการ

๑. กามุปาทาน ความยึดมั่นในกาม

กามแปลได้ ๒ อย่าง คือ ความใคร่อย่างหนึ่ง สิ่งที่น่าใคร่ น่าปรารถนาอย่างหนึ่ง อย่างหลังท่านเรียกว่า วัตถุกาม อย่างแรกเรียกว่า กิเลสกาม

รูป เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะ อันน่าใคร่น่าปรารถนาน่าพอใจ นั่นเองเป็นวัตถุกาม คือ เป็นที่ตั้งแห่งกามเป็นสิ่งเร้าให้เกิดความ ใคร่ส่วนตัว ความใคร่เองท่านเรียกว่า กิเลสกาม

มนุษย์ทั้งหลายได้ตกอยู่ภายใต้อำนาจครอบงำของกามทั้ง ๒ นี้ อย่างไร เห็น ๆ กันอยู่แล้ว มนุษย์และสัตว์ทั้งหลายยึดมั่นอยู่ว่า ความสุข ของเขาจะมีได้ก็ต้องอาศัยกาม คือต้องได้เห็นรูป ได้ฟังเสียง ได้ดมกลิ่น ได้ลิ้นรสและได้ถูกต้องสิ่งที่น่าใคร่iน่าปรารถนาน่าพอใจ

ปราศจากสิ่งเหล่านี้เสียแล้วเขาจะมีความสุขไม่ได้ แม้ตัวความใคร่เอง ซึ่งมีสภาพเป็นสิ่งเร่าร้อนกระวนกระวาย ทำปัญญาให้มืดมน ทำจิต ให้ตกต่ำ เขาก็ยังเข้าใจผิดไปว่าเป็นบ่อเกิดแห่งความสุขของเขา ทั้งนี้ อาจเป็นเพราะ เขาไม่เคยได้รับความสุขใดที่เหนือกว่านี้หรือแปลกไปกว่านี้

เช่นความสุขอันเกิดจากความสงบ หรือเกิดจากคุณธรรม เหมือนเด็ก ที่พอใจแต่ในความสุขอันเกิดจากการเล่นทรายหรือโคลนตม แต่พอเขา เป็นผู้ใหญ่แล้ว เขาก็เลิกพอใจในความสุขอย่างนั้น แต่พอใจในความสุข ที่สะอาดกว่า ประณีตกว่า

เขาจะไปจับต้องทรายหรือโคลนตมก็ด้วยความจำเป็นอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ เช่นเกี่ยวกับการงานเป็นต้น แล้วก็รีบล้างมือ ล้างตัวให้สะอาด

ในทำนองเดียวกัน คนที่จิตใจยังเยาว์ยังไม่ได้รับการพัฒนาทางจิตใจ ย่อมพอใจหมกมุ่นมัวเมาอยู่ในกาม ด้วยความสำคัญผิดและยึดมั่นอยู่ว่า "กามนี้เท่านั้นเป็นบ่อเกิดแห่งความสุข" แม้ถูกหนามแห่งกามทิ่มแทงเอา ถูกไฟคือกามเผาลนเอาก็ยังไม่รู้สึก

สำคัญผิดไปอีกว่าเป็นเพราะเหตุอื่นและโทษสิ่งนั้นสิ่งนี้ ที่แท้เป็นเรื่อง ของความใคร่ในกามคุณของตนเอง เป็นเรื่องความยึดมั่นของตนเอง

ตัวอย่างเช่น ชายหนุ่มรักหญิงสาว ซึ่งโดยทั่วไปแล้วเป็นความใคร่ในกามคุณ เสียมากกว่าความรักแท้รักบริสุทธิ์ แต่เขายังเข้าใจผิดว่าความรักของเขาบริสุทธิ์ เขารักด้วยต้องการเชยชม รูป เสียง กลิ่น รสและผัสสะทางกายที่จะพึงได้จากหญิงนั้น

แม้จะมีเรื่องคุณธรรมและความเห็นอกเห็นใจเจืออยู่ด้วยก็ตาม ข้อพิสูจน์ว่า เขารักใคร่ด้วยอำนาจกามคุณก็คือ ถ้าหญิงนั้นไปเกี่ยวข้องกับชายอื่นในแง่ เสน่หา เขาจะโกรธมาก อาจทำลายชีวิตของหญิงนั้นเสียก็ได้

นี่หรือรักแท้ รักบริสุทธิ์ ความจริงมันคือกามคุณที่เขาพากันเรียกเสียใหม่ว่า ความรัก เพราะความรักของเขาเต็มไปด้วยความยึดมั่น หวงแหน คับแค้น เร่าร้อน ริษยาและทำให้เกิดโทสะง่ายที่สุด ในกรณีที่หญิงสาวรักชายหนุ่ม ก็เหมือนกัน

ในรายที่แต่งงานกัน จนมีลูกด้วยกันแล้ว ถ้าฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งไปรักคนอื่นอีก ก็ถือเป็นเรื่องเดือดร้อนมาก ความริษยา ความชิงชัง ความอาฆาตเคียดแค้น เกิดขึ้นอย่างสุดจะพรรณาได้ จนถึงกับทำร้าย ทุบตีและประหารชีวิตของ ฝ่ายหนึ่งเสียก็มี

ความเคียดแค้นเหล่านั้น สืบเนื่องมาจากความใคร่ ความยึดมั่นในกาม ข้อพิสูจน์ก็คือ ในรายที่เรามิได้มีความใคร่ ความยึดมั่นในกามก็ไม่ทำให้ เราเดือดร้อนได้ ไม่ว่าเขาผู้นั้นจะไปทำอะไร อย่างไร กับใครที่ไหน

การทำการแก้แค้น สร้างเวรสร้างกรรมจนเขาเสียชีวิตและตนเองต้องเป็น อาชญากรนั้นเป็นเกียรติยศนักหรือ ? ลูกของตนซึ่งมีพ่อหรือแม่ เป็น อาชญากรนั้นเป็นเกียรติยศนักหรือ ? การต้องไปติดคุกติดตาราง ถึง ๒๐ - ๓๐ ปี นั้นเป็นเกียรติหรือ ?

ถ้ามองชีวิตในระยะยาวจะเห็นว่าไม่ควรทำ เมื่อเหตุกราณ์อย่างนั้นเกิดขึ้นก็ควร จะละอุปาทานในกามเสีย และถือเป็นโอกาสปลีกตนออกจากกาม ซึ่งเป็นของร้อน เข้าหาความสงบเย็นในธรรม หรือการบำเพ็ญคุณงามความดีให้สูงขึ้นไปจน ใจพ้นจากความยึดมั่นและจะเห็นคุณค่าของการทำอย่างนี้ด้วยตนเอง

อย่างไรก็ตาม กามคุณนี่แหละ คือเสน่ห์ของโลก เพราะมันเป็นเหยื่อของโลก (โลกามิส) ทำนองเดียวกับเหยื่อที่ติดอยู่กับเบ็ดหุ้มเบ็ดอยู่ นั้นแหละคือ เสน่ห์ของเบ็ด ปราศจากเหยื่อแล้วจะไม่มีปลาตัวใดติดเบ็ด

เพราะเหยื่อปลาจึงติดเบ็ด ได้กินเหยื่อเพียงนิดเดียว กลืนเบ็ดเข้าไปด้วย ปลาโง่ จึงถูกพรานเบ็ดลากไปได้ตามปรารถนา และวัดขึ้นบกต้องทุรน ทุราย ทุกข์ทรมานไปจนกว่าจะสิ้นชีวิตและเป็นเหยื่อของพรานเบ็ดนั่นเอง

ลองนึกดูเถิดว่าคนในโลกที่พอใจติดเหยื่อของโลกแล้วต้องทนทุกข์ทรมานอยู่ใน โลกนี้มีประมาณเท่าใด น่าสงสารเพียงใด น่าช่วยเหลือเพียงใด อย่างน้อย ช่วยให้เขาได้รู้ว่าเหยื่อนั้นมีเบ็ดเกี่ยวอยู่ด้วย

ขอให้กินเหยื่อด้วยความระมัดระวัง ถ้าฉลาดขึ้นก็จะกินแต่เหยื่อได้โดยไม่ติดเบ็ด ทำให้พรานเบ็ดต้องเก้อ ยกเบ็ดขึ้นดูบ่อย ๆ เห็นแต่เบ็ด เหยื่อหายไป

แต่จะมีใครสักกี่คนเล่าในโลกนี้ ที่เป็นเช่นปลาฉลาด รอบรู้ และที่ฉลาดขึ้นไปกว่านั้น ก็สามารถรู้ได้ว่าเหยื่ออันใดมีเบ็ดเหยื่ออันใดไม่มีเบ็ด เลือกกินเฉพาะเหยื่อที่ไม่มีเบ็ด ก็จะสามารถรักษาตัวให้ปลอดภัยโดยตลอด

ความกำหนัดในกามเป็นอาสวะ (สิ่งหมักดอง) อย่างหนึ่ง ซึ่งหมักหมมอยู่ใน จิตสันดานของสัตว์โลก ยากที่จะละหรือปลดเปลื้องได้ ทั้งนี้เพราะมีความสุข เล็ก ๆ น้อย ๆ คอยเป็นเหยื่อล่อให้หลง เป็นหลุมพรางให้ก้าวขึ้นไป เมื่อติด หล่มคือกามแล้ว ก็ยากที่จะถอนตนขึ้นมาแล้วก้าวให้พ้นไปได้

สำหรับผู้สำเนียกรู้ถึงโทษของกามแล้วพยายามออกจากกาม แต่ยังออกไม่ได้ ด้วยเหตุใดเหตุหนึ่ง เช่นพันธกรณีเกี่ยวกับความรับผิดชอบ หรือกำลังใจยัง ไม่พอเป็นต้น ก็ไม่น่าวิตก เพราะถึงอย่างไรคนพวกนี้ จะต้องออกไปได้ วันหนึ่งเมื่อพันธกรณีสิ้นสุดลง

หรืออบรมจิตและปัญญาจนกำลังใจและกำลังปัญญาเพียงพอแล้ว แต่คนที่ไม่เคยสำเนียกรู้ถึงโทษของกามเลย ศึกษาเรียนรู้แต่เรื่องคุณของกาม ได้ยินได้ฟังแต่กถาอันเป็นเหตุให้ความกระหายในกามเริงแรงขึ้น มี กิจกรรมอันยั่วยุกามารมณ์อยู่ไม่เว้นวัน

การศึกษา การทำงาน และการเกี่ยวข้องในสังคมล้วนมุ่งเอาความสำเร็จ ทางกามเป็นผลที่มุ่งหมาย ในฐานะเป็นความสำเร็จของชีวิต ถ้าอย่างนี้แล้ว เขาจะออกจากกามได้อย่างไร คงจะต้องยึดมั่นเอากามารมณ์เป็นจุดหมาย ปลายทางของชีวิตเป็นแน่แท้

ในขณะที่กำลังแสวงหาอยู่นั้น ดวงจิตของเขาก็จะถูกเฆี่ยนด้วยแส้ คือ ความผิดหวัง ระทมขมขื่น โชกด้วยน้ำตาครั้งแล้วครั้งเล่า ถึงกระนั้น เขาก็ยังคงกระเสือกกระสน แสวงหากามอยู่นั่นเอง เพราะอานุภาพของ กามุปาทาน คือยึดมั่นว่ากามนี่แหละเป็นบ่อเกิดแห่งความสุขอันแท้จริง

กามในฐานะเป็นบ่วงที่พระพุทธเจ้าทรงเรียกว่า "กามปาสะ" หรือ กามบาสนั้น มีลักษณะคล้องและผูกมัดสัตว์ทั้งหลายไว้ในภพให้ เวียนว่ายตายเกิดในสังสารวัฏแห่งกามภพนี้

การผูกมัด มีลักษณะที่ผูกหย่อน ๆ ก็จริง แต่แก้ได้ยากมากทีเดียว ผู้ต้องการแก้จะต้องใช้กำลังใจมาก ใช้กำลังสมาธิอย่างแรง เพราะ แก้ไม่ได้ด้วยวิธีธรรมดา เหมือนปมบางอย่าง ที่แก้ได้ยาก มันยุ่งไปหมด ต้องใช้ดาบฟัน ซึ่งภาษาอังกฤษเรียกปมชนิดนี้ว่า Gordian Knot* อย่างที่พระเจ้าอเลกซานเดอร์มหาราชทรงทำ

กามคุณในฐานะเป็นพวงดอกไม้ของมาร มารคือสิ่งที่ล้างผลาญคุณความดี และทำให้เสียคนได้ง่าย มารอาศัยพวงดอกไม้ทั้ง ๕ คือ รูป เสียง กลิ่น รสและสัมผัสทางกายนี่แหละเที่ยวยั่วยวนมนุษย์และสัตว์ในกามโลกทั้งมวล ให้หลงเพลิดเพลินเดินเข้าไปสู่หลุมพรางของตนแล้วกักขังห้ำหั่นย่ำยีเอาได้ ตามใจปรารถนา

การควบคุมอินทรีย์ คือ ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ การทำจิตให้มั่นคงด้วยกำลัง สมาธิ และการพัฒนาปัญญาให้รุ่งเรือง จนสามารถมองเห็นโทษของกามคุณ อย่างชัดเจนอยู่เสมอ ๆ ทางนี้แหละจะสามารถเอาชนะกามกิเลสได้ไม่กลับ มาเวียนว่ายตายเกิดในกามโลกนี้อีก

ความเร่าร้อนทางใจอันมีกามคุณเป็นเหตุนั้น ปรากฏให้เห็นอย่างชัดเจน ในที่ทั่วไป ทั้งที่เกิดขึ้นแก่ตนเองและเกิดแก่ผู้อื่น น่าจะเป็นสังเวควัตถุ (เรื่องชวนสังเวชสลดจิต) เพื่อถอนใจออกไปจากกามุปาทานได้

สำหรับผู้มีปัญญาจักษุดำเนินชีวิตอยู่ในทางสว่าง แต่สำหรับผู้ไร้ปัญญา จักษุเดินอยู่ในทางมืดและไร้ประสบกราณ์ก็คงมองไม่เห็นอะไรอยู่นั่นเอง

*Gordian Kno เล่ากันว่าเป็นปมที่กษัตริย์กอรดิอุส (Gordius) แห่งไฟรเกีย (Phrygia) ผูกไว้ในสมัยโบราณ กล่าวกันว่าใครแก้ปมนี้ได้จะได้เป็นใหญ่ในเอเชีย อเลกซานเดอร์มหาราช ทรงใช้ดาบของพระองค์ตัดปมนี้

ดังนั้นคำว่าตัด "กอรเดียน น้อท" จึงกลายเป็นสำนวนหมายความว่า การแก้ปัญหายุ่งยากโดยฉับพลันด้วยการใช้กำลัง อธิบายนี้จาก พจนานุกรมอังกฤษฉบับของ A.S. Hornby หน้า ๕๓๙
คัดลอกมาโดยคุณ : mayrin [ 13 ธ.ค. 2545 / 14:50:16 น. ] ในเว็บบอร์ดห้องสมุดของพันทิพย์ ผมเลยไม่ทราบว่าอยู่ในหนังสือเล่มไหนของท่าน

ผมขอแถมท้ายเรื่องที่พระอานนท์จดจำพระพุทธพจน์ ดังอ้างบันทึกไว้พระไตรปิฎกไว้ด้วยนะครับ ..จะได้ขลัง ขึ้นอีกหน่อย แล้วอุปทานของพวกเราก็จะลดลงได้บ้าง เมื่อรู้เหตุปัจจัยของการเกิดอุปทานในเรื่องกาม

(4) เล่มที่ ๒o
[๑] ข้าพเจ้าได้สดับมาแล้วอย่างนี้- สมัยหนึ่ง พระผู้มีพระภาคประทับอยู่ ณ พระวิหารเชตวัน อารามของท่านอนาถบิณฑิกเศรษฐี ใกล้พระนครสาวัตถี ณ ที่นั้นแล พระผู้มีพระภาคตรัสเรียกภิกษุทั้งหลายว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย ภิกษุเหล่านั้นทูลรับพระดำรัสของพระ ผู้มีพระภาคแล้ว
พระผู้มีพระภาคได้ตรัสว่าฯ

[๒] ดูกรภิกษุทั้งหลาย เราย่อมไม่เล็งเห็นรูปอื่นแม้อย่างหนึ่ง ที่จะครอบงำจิตของบุรุษตั้งอยู่เหมือนรูปสตรีเลย ดูกรภิกษุทั้งหลาย รูปสตรีย่อมครอบงำจิตของบุรุษตั้งอยู่ฯ

[๓] ดูกรภิกษุทั้งหลาย เราย่อมไม่เล็งเห็นเสียงอื่นแม้อย่างหนึ่ง ที่จะครอบงำจิตของบุรุษตั้งอยู่เหมือนเสียงสตรีเลย ดูกรภิกษุทั้งหลาย เสียงสตรีย่อมครอบงำจิตของบุรุษตั้งอยู่ ฯ

[๔] ดูกรภิกษุทั้งหลาย เราย่อมไม่เล็งเห็นกลิ่นอื่นแม้อย่างหนึ่ง ที่จะครอบงำจิตของบุรุษตั้งอยู่เหมือนกลิ่นสตรีเลย ดูกรภิกษุทั้งหลาย กลิ่นสตรีย่อมครอบงำจิตของบุรุษตั้งอยู่ฯ

[๕] ดูกรภิกษุทั้งหลาย เราย่อมไม่เล็งเห็นรสอื่นแม้อย่างหนึ่ง ที่จะครอบงำจิตของบุรุษตั้งอยู่เหมือนรสสตรีเลย ดูกรภิกษุทั้งหลาย รสสตรีย่อมครอบงำจิตของบุรุษตั้งอยู่ฯ

[๖] ดูกรภิกษุทั้งหลาย เราย่อมไม่เล็งเห็นโผฏฐัพพะอื่นแม้อย่างหนึ่ง ที่จะครอบงำจิตของบุรุษตั้งอยู่เหมือนโผฏฐัพพะของสตรีเลย ดูกรภิกษุทั้งหลาย โผฏฐัพพะสตรีย่อมครอบงำจิตของบุรุษตั้งอยู่ฯ

[๗] ดูกรภิกษุทั้งหลาย เราย่อมไม่เล็งเห็นรูปอื่นแม้อย่างหนึ่ง ที่จะครอบงำจิตของสตรีตั้งอยู่เหมือนรูปบุรุษเลย ดูกรภิกษุทั้งหลาย รูปบุรุษย่อมครอบงำจิตของสตรีตั้งอยู่ฯ

[๘] ดูกรภิกษุทั้งหลาย เราย่อมไม่เล็งเห็นเสียงอื่นแม้อย่างหนึ่ง ที่จะครอบงำจิตของสตรีตั้งอยู่เหมือนเสียงบุรุษเลย ดูกรภิกษุทั้งหลาย เสียงบุรุษย่อมครอบงำจิตของสตรีตั้งอยู่ฯ

[๙] ดูกรภิกษุทั้งหลาย เราย่อมไม่เล็งเห็นกลิ่นอื่นแม้อย่างหนึ่ง ที่จะครอบงำจิตของสตรีตั้งอยู่เหมือนกลิ่นบุรุษเลย ดูกรภิกษุทั้งหลาย กลิ่นบุรุษย่อมครอบงำจิตของสตรีตั้งอยู่ฯ

[๑๐] ดูกรภิกษุทั้งหลาย เราย่อมไม่เล็งเห็นรสอื่นแม้อย่างหนึ่ง ที่จะครอบงำจิตของสตรีตั้งอยู่เหมือนรสบุรุษเลย ดูกรภิกษุทั้งหลาย รสบุรุษย่อมครอบงำจิตของสตรีตั้งอยู่ฯ

[๑๑] ดูกรภิกษุทั้งหลาย เราย่อมไม่เล็งเห็นโผฏฐัพพะอื่นแม้อย่างหนึ่ง ที่จะครอบงำจิตของสตรีตั้งอยู่เหมือนโผฏฐัพพะบุรุษเลย ดูกรภิกษุทั้งหลาย โผฏฐัพพะของบุรุษย่อมครอบงำจิตของสตรีตั้งอยู่ ฯ

จบวรรคที่ ๑

อ่านมาจนจบ ก็ยังไม่อยากปลงใจอยู่ดีนะครับ รสกามใครเคยได้ยิน หรือเคยลองลิ้มแล้ว ก็ยากที่จะลืมได้ จริงป่าว?

โดย เพื่อนอาจารย์ [23 ธ.ค. 2545 , 12:46:06 น

ปกติมนุษย์เรานั้นมักรู้ในสิ่งที่เห็นและสัมผัสในแง่ของมิติทั่วไป ที่เราเองรับรู้จากประสบการณ์เท่านั้น น่าจะยังมีความรู้ในมิติอื่นๆ ที่เราอาจยังไม่เคยสัมผัส หรือยังไม่เจอประสบการณ์ใหม่ๆ เพราะ คนเรานั้นมีความต่างจากสัตว์ที่มีจิตซึ่งใหญ่โตกว่า มีความ หลากหลายกว่า และสามารพัฒนาการได้สูงกว่าอีกด้วย ถ้าคิด จะพัฒนากัน

เช่น ความเป็นภิกษุในสาวกของพุทธศาสนา เป็นอีกมิติหนึ่ง ที่ผู้ปฏิบัติตนจะพบความสุขที่เหนือจากความเป็นธรรมดา โดยเฉพาะเรื่องการอบรมเพื่อระงับอุปทานในเรื่องกามารมณ์ หรือการมีเพศสัมพันธ์ตามธรรมชาติ ที่มนุษย์เองสามารถควบคุม สิ่งเหล่านี้ได้ เพราะได้พบปัญญาที่พึงได้รับเป็นลักษณะของวิมุตติ หรือ "ความหลุดพ้น" เช่นพระสุปันโนหลายรูปในเมืองไทย ซึ่งมีมากในการครองตนลักษณะนี้ ..เราจึงไม่ควรปฏิเสธ ในประสบการณ์ที่เรายังไม่เคยลองรู้ในสิ่งเหล่านี้

ตัวอย่างเช่นเมื่อวานนี้ ผมได้หนังชีวิตดี (ในรศนิยมผม) มาเรื่องหนึ่งชื่อ the simple life of Noah Dearborn มีดาราผิวหมึก ที่ผมชอบคือ Sidney Poitier แสดงนำ เป็นเรื่องราวของคนที่ใช้ ชีวิตแสนเรียบง่าย ทำงานในสิ่งที่ตนชอบและรัก มีความเอื้ออาทรต่อผู้อื่นเสมอ ทำให้มีชีวิตที่ยืนยาวและดูหนุ่มกว่าวัย เพราะตัดเรื่องอื่นๆที่ไร้สาระออกจากการเป็นคนเช่นปกติธรรมดา รวมทั้งเรื่องเซ็กส์ คล้ายชีวิตของภิกษุที่มุ่งแต่การเจริญจิตและการ ภาวนาเป็นสำคัญ อาจเป็นตัวอย่างของการดำเนินชีวิตในมิติอื่น ที่เราอาจมองข้ามคุณค่าดีๆของมันไป ดังเช่นคุณค่าของสังคมชนบท ในเรื่องภูมิปัญญาของคนท้องถิ่น ที่สังคมสมัยใหม่พยายามตามไป เบียดเบียนให้เปลี่ยนแปลงไปในทางที่คนสมัยใหม่เองก็ไม่รู้จริงในสิ่งที่ตนทำ โดยเฉพาะนักพัฒนาสมัยใหม่ทั้งหลาย ลองหาหนังเรื่องนี้มาดูกันนะครับ ..แต่ไม่รับรองว่าพวกคุณจะอิน เหมือนผมหรือป่าว?

ผมเองนั้นเชื่อว่า การดำเนินชีวิตที่มีความสุขจริงนั้น คือ ความเป็นธรรมดาและเรียบง่าย และควรไปไกลเกินมิติที่เรา เคยรับรู้ได้จากสังคมปัจจุบัน ซึ่งมักเป็นสิ่งเรากลัวหรือไม่กล้าลอง เราเลยง่วนอยู่กับสิ่งที่เคยชินและอาจทำแต่เรื่องไร้สาระมากเกินไป คือทั้งที่รู้และทำอะไรได้มากมาย แต่ก็ไม่รู้จริงก็เลยทำอะไรไม่ได้ผลดีมากนัก เช่น มัวเอาแต่ตอแหลเล่นลิ้นกันในเรื่องพิธีการพีธกรรมบ้าๆบอๆ ซึ่งเห็นกันเกลื่อนกลาดในสังคมปัจจุบัน เลยไม่มีเวลาเจริญปัญญากันเต็มที่ การคิดทำงานสร้างสรรค์จึงไม่ประสบผลในความเป็นจริงเท่าไรนัก

การออกแบบสถาปัตยกรรมหรือทำอะไรให้ดีให้งามนั้น เหนืออื่นใด จิตใจของสถาปนิกจะต้องมีความสมบูรณ์ถูกต้องในเรื่องความดีงามก่อน คือต้องมีจิตใจที่ดีมีความเอื้อาทรในตัวเองก่อน จึงจะทำให้การดำเนินชีวิตมีได้อย่างมีความสุข แล้วก็จะถึงการผลิตงานการต่างๆออกมาอย่างมีคุณค่าได้จริง ซึ่งการประเมินคุณค่างานในลักษณะนี้ ต้องไปไกลเกินมิติที่เราพึงรับรับรู้ได้จากสังคมที่เราพบเห็น หรือต่างบรรทัดฐานกันในปัจจุบัน ซึ่งผมว่าส่วนมากที่รับรู้กันในปัจจุบันนั้น เป็นบรรทัดฐานสำหรับของเทียม ไม่เป็นจริงแทบทั้งสิ้น

ว่างๆลองทบทวนการดำเนินชีวิต ที่ต่างจากมิติที่เรากำลังเป็นกันอยู่บ้างนะ บางทีเราอาจได้พบปัญญาในการรู้ทุกข์ เห็นทุกข์ และสามารถแก้ทุกข์ ทั้งหลายได้ในที่สุดก็ได้นะครับ .ขอให้ถือเสียว่า.เป็นการฝึก การพัฒนา ความคิดสร้างสรรค์ในอีกระดับหนึ่งแล้วกันนะ ... แหมพล่ามเสียยาวเลย
โดย ขออีกที [25 ธ.ค. 2545 , 12:27:53 น.]
ขอฝอยต่ออีกหน่อยนะ เพราะนับถือคำกล่าวของครูประชาบาล ที่ตอบได้รวบรัดและได้สาระดีแท้

เผอิญเมื่อคืนอ่านหนังสือที่เกี่ยวกับการศึกษา เพราะโดนบังคับแบบยินยอมให้ไปช่วยระดมความคิดกันในเร็วๆนี้

ในหนังสือพิมพ์แจกเรื่อง การศึกษาฉบับง่าย ของท่านเจ้าคุณพระธรรมปิฏกฯ มีความตอนหนึ่ง ท่านพูดเรื่อง "กินอย่างไรให้เป็นไตรสิกขา" มีสาระสอดคล้องกับที่ครูประชาบาลกล่าวไว้ข้างต้น

การกินนั้นต้องมีความสัมพันธ์กับสภาพแวดล้อม ภายนอก (คือศีลหรือพฤติกรรม..สิกขาที่ ๑) เพราะ ถ้าไม่สัมพันธ์กันก็เกิดโทษจากการกิน หรือการเสพ ใดๆรวมทั้งเรื่องเพศด้วย

ในขณะที่กิน ยังขึ้นอยู่กับจิตใจ (หรือสมาธิที่เป็นสิกขาที่ ๒) คือจะมีความพอใจหรือไม่พอใจ เป็นสุขหรือเป็นทุกข์และอื่นๆต่างๆนาๆ สรุปก็คือกินไปต้องทำโยนิโสมนสิการ หรือคิดไตร่ตรองตามไปด้วย เพื่อให้เกิดปัญญารู้ ได้ในการกิน (คือเป็นสิกขาที่ ๓) ว่าควรกินอย่างมี ความสุขนั้นเป็นอย่างไร ตรงตามความมุ่งหมาย เพื่อให้มีสุขภาพดี หากถ้าไม่คิด กินเพื่อสนองความพอใจหรืออารมณ์อื่น ความพอใจหรือความสุขก็เป็นไปอีกแบบหนึ่ง ตัวปัญญารู้จึงมาเป็นเหตุปัจจัย หรือนำทางให้เกิดความสุขหรือความทุกข์ได้ในการกินไปด้วย

ด้วยสาระที่ย่นย่อมานี้ พอจะสรุปได้ว่า การศึกษา คือการเรียนรู้ชีวิตที่ต้องเป็นไตรสิกขา ทั้งสามด้าน คือ ศีลหรือพฤติกรรม สมาธิหรือจิตใจที่ผ่องใส นำไปสู่....ปัญญา คือ การรู้ความจริง ที่แสนเป็นธรรมดา และเป็นธรรมชาติที่เป็นอยู่แล้วเช่นนั้น

การเรียนรู้วิชาอะไรๆนั้น ต้องเกี่ยวข้องกับการดำเนินชีวิตที่ควรตรงกับความเป็นจริง เป็น ธรรมดา และเป็นตามธรรมชาติ แนวคิดนี้ พวกฝรั่งกำลังปรับปรุงกันในเรื่องการศึกษา โดยเฉพาะวิธีการสอนของครู ซึ่งท่านเจ้าคุณอ้างไว้ว่าเป็นงานของพระพุทธเจ้า การสอนคือ การช่วยให้ศึกษา (ให้ครบไตรสิกขา) เพื่อสร้าง ทางชีวิต (หรือมรรค) ในการดำเนินชีวิตของเรา ทุกๆคน ครูต้องสอนเด็กให้เรียนรู้ครบไตรสิกขา เมื่อเด็กรู้การกินนั้นควรเป็นอย่างไร ครั้นพอกินอยู่เป็นแล้ว..ก็คิดเป็นเอง และคิดถูกตามความเป็นจริง เป็นธรรมดา และเป็นตามธรรมชาตินั่นเอง ที่สำคัญคือผู้สอนต้องเลียนแบบพระพุทธเจ้า ให้ได้ก่อน จึงจะทำงานเยี่ยงพระพุทธเจ้าได้ครับ

แหม..ผมเกือบจบไม่ลงแล้วซินะ


โดย ขออีกที [5 ม.ค. 2546 , 09:47:16 น.]

คำกล่าวข้างต้น น่าคิดน่านับถือครับ ผมขอคุยเพิ่มดังนี้ ...นะครับ

ความสวยนั้น เป็นเรื่องการปรุงแต่งที่เกิดในจิต ความสวยตามหลักธรรมนั้น จะเกิดขึ้นได้ ต้อง เกิดจากจิตที่บริสุทธิ์ผ่องใส จิตที่เกิดโดยการ ปฏิบัติในทางธรรม เกิดรู้จากปัญญาในสิ่ง ที่ตรงความเป็นจริง คือ มีลักษณะของไตรลักษณ์ เป็นอนิจจัง เป็นทุกข์ และเป็นอนัตตา บังคับ บัญชาเอาเองไม่ได้ เช่นความเกิด แก่ เจ็บ ตาย

แต่ปรมัตต์ธรรมเช่นนี้ เอามาใช้ทางสมมติบัญญัติ อาจไม่เหมาะสม หากจะหวังโลภที่คะแนนจากครู นอกจากแปลงความสวยให้ตรงกับที่ครูรู้ครูพอใจ ครูได้ความสุขปิติ ถ้าทำให้ครูเกิดปัญญารู้ทุกข์ได้อีก การสนองความสวยนั้น ก็เป็นกุศลกับครูและผู้อื่น

เราทุกคนมักแสวงหาความบริสุทธิ์ผ่องใสของจิต กันทุกคน แต่เผอิญเราต่างก็ไม่รู้ ไม่เชื่อ และไม่มีปัญญา พอจะเข้าใจความจริงในสิ่งที่จะทำให้จิตเราเกิดความ บริสุทธิ์และผ่องใส หลายคนจึงยังวนเวียนค้นหามัน จากเหตุปัจจัยที่มีความโลภ ความโกรธและความหลง เพราะไม่เชื่อว่าการสร้างสรรค์ความสวยที่ปราศจาก เหตุปัจจัยดังกล่าวนั้น ไม่มี เพราะติดที่ความเคยชินมา นานมีมาหลายภพหลายชาติที่ความเป็นมนุษย์เรานั้น เวียนว่ายตายเกิดกันอยู่

สิ่งที่เราเรียนรู้กันทางโลก จึงเป็นเรื่องการปรุงแต่ง เป็นเรื่องของสมมติบัญญัติทั้งสิ้น Design Fundamental ยุคนี้สมมติและบัญญัติกันเป็นยังไง ก็คงต้องถือความสวยจาก หลักเกณฑ์ที่เรายึดกันดังนั้น เพื่อให้เกิดความเข้าใจหรือสื่อ ถึงกันได้ระหว่างครูและศิษย์ ส่วนจะก้าวกระโดดต่อไปนั้น เป็นเรื่องของการแสวงหาร่วมกัน ถ้าเห็นพ้องกันก็ถือว่า เป็นกัลยาณมิตรแก่กันและกัน ยิ่งถ้าเป็นไปในแนวทาง ของกุศลธรรม ก็ช่วยพัฒนาให้จิตของแต่ละคนเกิดความ เจริญในความบริสุทธิ์ผ่องใสยิ่งขึ้น ผลมันจะสนองใน สิ่งที่เป็นคุณแก่ชีวิตมากมาย ไม่ใช่ความสวยที่เราคิดกัน อยู่ขณะนั้น แต่มันเป็นความสวยที่ครอบคลุมไปทุกส่วน ของชีวิตที่เรากำลังดำเนินอยู่

เพราะวิทยาศาสตร์ใหม่กำลังก้าวไปในความรู้ของ ความจริงหรือความเป็นองค์รวม ความเชื่อมโยงกัน ของทุกสรรพสิ่งที่เราสมมติเป็นชีวิตหรือจักรวาล จึงมีคำกล่าวที่ว่า เด็ดดอกไม้กระทบถึงดวงดาวบน ท้องฟ้า ความสั่นสะเทือนที่เกิดจากผีเสื้อขยับปีกใน สถานที่หนึ่ง อาจโยงไปถึงความสะเทือนของแผ่นดิน ในสถานที่แห่งอื่นๆ เป็นต้น คตินี้ให้ข้อเตือนใจที่ว่า ถ้าใครคนหนึ่งทำชั่ว สร้างสิ่งเลวเป็นอกุศลแล้ว ผล เสียก็จะเกิดแผ่ขยายไปทั่ว รวมกันมากเข้าก็เป็นหายนะ ให้กับชีวิตและจักรวาลของเราทุกคนได้ ตรงข้ามถ้า ทำดี เป็นกุศล ผลดีก็จะเกิดขยายไปทั่วเช่นกัน แบบหลัง เชื่อว่าน่าทำให้ชีวิตและจักรวาลของเราเกิดสันติสุข มีอายุการคงอยู่และสมดุลป์ยืนยาวขึ้นอีกหน่อย ใน ทางสมมติเขาจัดไว้ในชั้นของสวรรค์แดนสุขาวดี ไม่ใช่แดนนรก ในสถานที่ซึ่งมีเวลาของสรรพสิ่งใน แต่ละแห่งต่างกัน

ดังนั้น บนความสัมพันธ์ของการเรียนรู้ระหว่างครูกับศิษย์ ก็ต้องสร้างความเป็นกุศลกันไว้เรื่อยๆตั้งแต่แรกพบจนต้อง จากกัน ความสวยก็จะงอกงามกันไปเรื่อยๆ คือเกิดความ บริสุทธิ์และผ่องใสของจิตใจในแต่ละคนนั่นเอง ผมว่า.. นี่เป็นความสวยแบบยั่งยืนถาวร ไม่ใช่ความสวยจากการ ปรุงแต่งชั่วครู่ชั่วยาม เพื่อได้คะแนน A แค่นั้น เพราะ A เป็นเรื่องของบัญญัติสมมติขั้นต่ำเอามากๆ ยิ่งถ้าเป็นไป เพื่อความโลภ ยิ่งแล้วใหญ่ เพราะไม่เป็นความรู้ที่ได้เพื่อ สร้างปัญญาให้เราๆรู้ทุกข์ได้เลยในชาติภพนี้

สรุปก็ต้องบอกว่า เรียนเอาใจเพื่อตัวเราและก็เพื่อครูด้วย จิตเรานั้นสามารถเนรมิตให้เกิดได้ผลทั้งสองอย่าง ไม่ จำเป็นต้องเป็นอย่างเดียวเสมอไป สร้างกุศลนั้นช่วย ทุกคนให้ก้าวพ้นโลกสมมติไปได้ ส่วนอกุศลช่วยใครๆ ไม่ได้เลย ทั้งตัวเราและครู มันจะดึงลงเหวลงนรกกัน ในที่สุดเท่านั้นเอง

อย่าถามนะ...สูตรหรือวิธีทำดังว่าที่ชัดๆนั้นเป็นอย่างไร เพราะสัจจธรรมในเรื่องนี้นั้น เป็นเรื่องทางใครทางมัน จริงๆ แม้จะมีแนวทางที่มีผู้ค้นพบให้มาแล้วก็ตาม ..แต่ใคร จะไปเชื่อ...มรรคแปดคืออะไร ทุกข์คืออะไร ก็ยังไม่กันรู้เลย ผมเอง..ก็ยังไม่รู้ ..แค่พล่ามมาให้งงๆกัน ก็แค่นั้นเอง


โดย เพื่อนอาจารย์ [31 ธ.ค. 2545 , 12:54:14 น.]

ผมนั้น..เหมือนฟ้าลิขิต ให้ต้องไปใช้ชีวิต ที่บ้านนอกตั้งแต่เด็ก เรียนรู้ชีวิตจากการฟังคนพูดคุย กัน..ส่วนมากก็ในร้านกาแฟ เพราะเกิดใน ยุคข้อมูลที่แสนหายาก หนังสือมีน้อยและก็ หาอ่านได้ยากด้วย อีกทั้งต้องอยู่บ้านที่ตรงข้าม กับโรงหนังแหล่งบันเทิงเยี่ยมของคนสมัยนั้นและที่นั่น เลยดูหนังกันตะบันแทบทุกวันแทนการอ่านนิยาย หลายสิ่งหลายอย่างเรียนรู้และเลียนแบบพระเอกในหนัง เฉพาะการฟังคนแก่วัยคุยกันหรือทะเลาะกันนั้น ช่วยให้รู้ประสบการณ์ของคนสูงวัย เอามาปรับมาแต่ง มาเตือนชีวิตที่จะพึงอาจพบพานในภายภาคหน้า จึงทำให้ต้องกลายเป็นนิสัยคนช่างคิดช่างฝัน ช่างฟังและแน่นอนช่างพูดเมื่อมีโอกาสเช่นนี้ นี่ก็ยังขอบคุณสวรรค์ ที่กำหนดให้มีหน้าที่เป็นครู เลยสนุกใหญ่เพราะได้พูดสมใจ ใครจะฟังนั้น ไม่ถือว่าสำคัญที่ทำให้ต้องหยุดพูด ครั้นเมื่อแก่วัย ก็คงต้องจำยอมหยุดบ้าง แต่ก็หันมาเขียนแบบคุยให้ ตัวเองฟังบ้าง คิดเอาว่าเป็นแบบนี้แล้ว คงลดความรำคาญกับลูกและคนอื่นๆได้บ้าง

ต้องขอบคุณ (สวรรค์) ที่มีเท็คโนโลยีเว็บบอร์ด เกิดขึ้นขณะนี้ ดำรงความเป็นร้านกาแฟให้ได้ มีโอกาศฟังคนคุยกัน ในเรื่องที่ต้องการจะฟัง เห็นช่องว่างที่ทำให้แคบลงได้ระหว่างคนต่างวัย เป็นการบรรเทาในปัญหาหนึ่งที่ทำให้คนในสังคม มีปฏิสัมพันธ์กันน้อยได้บ้าง โดยเฉพาะระหว่าง ศิษย์-อาจารย์ คนแก่-คนหนุ่ม ได้เป็นเยี่ยงกระจก หนึ่งที่เห็นสภาพสังคมไทยที่เป็นอยู่ขณะนี้ แม้เป็นกระจกบานเล็ก แต่ก็ชัดในการมองบางสิ่ง ที่แต่ละคนสนใจ เรียนรู้อะไรต่างๆในชีวิต ที่เหลืออยู่จากคนอื่นได้ด้วย

โลกของการเรียนรู้อะไรต่างๆนั้นกำลังแปรรูป มหาวิทยาลัยกำลังไม่เป็นแหล่งสถิตวิชาแห่งเดียว แต่จะกลายเป็นความหลากหลายบนโลกของอินเทอร์เนท

ผมจึงอยากปรึกษาตรวจสอบกันกับคนรุ่นใหม่ว่า สิ่งนี้เป็นปรากฏการณ์ใหม่..ใช่หรือไม่? ทัศนะและความรอบรู้ของคนยุคใหม่จะเปลี่ยน ไปจากคนรุ่นเดิมอย่างผม ที่เคยเรียนรู้อะไร จากร้านกาแฟที่บ้านนอก..หรือไม่?

โลกของอินเทอร์เนท จึงเป็นฝันของผมที่อยาก สนับสนุนให้เกิดการเรียนรู้อย่างอิสระต่างจาก มหาวิทยาลัย ที่กำลังจะกลายเป็นตลาดการค้าเข้าไปทุกทีขณะนี้...นะครับ

เรียนรู้กันจากประสบการณ์ของกันและกันแล้ว ความต่างวัยต่างทิฐฐิกัน ก็จะลดน้อยหรือใกล้ชิดกันมากเข้า จนความแก่ความหนุ่มหรือความต่างวัย หมดสิ้นไปในสังคมไทย เมื่อนั้นเวลาก็จะมีความหมายน้อยลง.... จริงไหมครับท่าน?


โดย เพื่อนอาจารย์ [15 ต.ค. 2545 , 11:52:08 น.]

วันศุกร์, สิงหาคม 31, 2550

วิวาทะ..วิชาชีพสถาปัตยกรรม





ถาม...บทบาทของสถาปนิกในสังคมปัจจุบันคืออะไร ต้องการคำตอบด่วนมาก!!!! บทบาทของ architectที่มีต่อสังคมปัจจุบันคืออะไร ต้องการคำตอบด่วนมาก!!!!

โดยคุณ : fifth year Arch.student - ICQ : 85150457 - [ 19 ก.ย. 2543 , 03:10:26 น. ]

ตอบ ก็สร้างบ้านงัย

โดยคุณ : 123 - [ 19 ก.ย. 2543 , 13:12:41 น.]

ตอบ ลองทบทวนที่อาจารย์กฤษฎา เคยมาพูดครั้งแรกในวิชาสัมมนาสถาปัตยกรรม แล้วลองออกความเห็นว่า มันควรเปลี่ยนแปลงอย่างไรสำหรับเหตุการณ์ปัจจุบัน ได้เชื้อแล้วเช่น จบออกไปแล้วต้องเป็นสถาปนิก ทำงานออกแบบเขียนแบบสร้างอาคารอย่างเดียว หรือ? เป็นนักแก้ปัญหาอื่นๆได้ไหมนอกจากปัญหาสร้างอาคารให้นายทุน (ซึ่งหายไปไหนหมดก็ไม่รู้) อย่างเดียว เป็นต้น อาจลองช่วยกันเสนอ น่าจะคุยกันสนุกได้นะครับ ผมเห็นใจนิสิตที่กำลังจบออกไป และผู้กำลังตกงานออกแบบตอนนี้จริง อยากช่วยให้กำลังใจและคิดร่วมกันด้วย อยากให้วิกฤติกลายเป็นโอกาศสำหรับนิสิตและบัณฑิตใหม่ทุกคนจริงๆครับ

โดยคุณ : เพื่อนอาจารย์ - [ 19 ก.ย. 2543 , 18:41:25 น.]

ตอบ ทำวิกฤติให้กลายเป็นโอกาส ยากหน่อยแต่ก็ท้าทายดี หรือนี่ก็คือความรับผิดชอบต่อตัวเราเองรวมทั้งสังคมด้วย ได้ใช้สมองกันอย่างจริงจังเสียที

โดยคุณ : ศิษย์ของเพื่อนอาจารย์ - [ 23 ก.ย. 2543 , 16:07:38 น.]

ตอบ ผมว่า อาชีพสถาปนิก หลีกเลี่ยงการรับใช้ นายทุนไม่ได้ครับ ไม่เคยเห็นใคร ที่รับใช้คนจนเลย

ชนชั้นนายทุน คุมเศรษฐกิจ อำนาจการเมือง เป็นชนชั้นปกครอง ที่กำหนดแนวทาง สถาปัตยกรรม สถาปนิกต้องตามใจ

บทบาทต่อสังคมน่ะเหรอครับ... ผมว่า ต้องทบทวน

อย่างน้อย ต้องรู้ก่อนว่า"สภาพสังคมเป็นยังไง" ก่อนที่จะรู้ว่าตัวเองทำอะไรต่อสังคมได้บ้าง

ไม่ใช่เอาแต่คิด ว่าจะตั้งใจเรียนให้ได้เกียรตินิยมอันดับ1 จบออกมาจะทำงานกับบริษัทใหญ่ เป็นลูกจ้าง ได้ค่าแรงสูง ๆ ต่อมาอยากจะเป็นสถาปนิกชื่อดัง ออกแบบงานใหญ่ อินเตอร์ จะสร้างฐานะให้รวย มีครอบครัวดี อยู่ในสังคมชนชั้นสูง ///////////////////////// ถ้าคิดแค่นี้ ชีวิตในวัยเรียน ก็วนเวียนแค่ทำโปรเจค เรียน ทำรายงาน สอบ เวลาที่เหลือก็ ไปเที่ยว ถือว่ารับผิดชอบแล้ว.... จบหน้าที่แล้ว....พอ //////////////////////////
( อัดอั้นมานานแล้วครับเรื่องนี้ พูดแล้วยาว )

โดยคุณ : stupid student - [ 24 ก.ย. 2543 , 20:51:31 น.]

ตอบ คุณ stupid student ผมไม่ใช่คนที่นี้ เราน่าจะลองคุยกันได้ ผมว่าคุณถ่อมตนพอสมควรและไม่รังเกียจที่จะคุยกัน icq 12768740

โดยคุณ : คน - [ 24 ก.ย. 2543 , 23:11:22 น.]

ตอบ ผมว่าผมเข้าใจความอัดอั้นตันใจของ Stupid Student (ที่จริงฉลาดมาก) แต่อาจารย์มีมุมมองอีกแบบหนึ่ง เพราะอาจารย์คิดว่าความเป็นสถาปนิกไม่ใช่ได้จากการเรียนจบสถาปัตยเพียงอย่างเดียว

ผู้เป็นสถาปนิกน่าจะเป็นผู้มีจิตใจที่อยากจะสร้าง อยากจะเห็นโลกแวดล้อมมีสภาพที่ดีกว่าที่เป็นอยู่ อยากจะเห็นปัญหาถูกแก้ใข อะไรอย่างนั้น จะเรียนมาหรือไม่เรียนมา ถ้าเขามีจิตวิญญาณอย่างนั้น เขาก็เป็นสถาปนิกได้ เขาเพียงแต่ต้องเรียนเอาด้วยตนเองเท่านั้น

ถ้านายทุนให้โอกาสเขาได้ทำ เขาก็ควรทำ หากพระให้เขาออกแบบกุฎิในวัดป่า เขาก็จะทำ หากจะแก้ปัญหาที่อยู่อาศัยในชาวสลัม เขาก็ถือเป็นโอกาสที่จะช่วย เพราะเขาเป็นนักสร้างสรรค์

แน่ละครับในระบบเศรษฐกิจและสังคมแบบที่เป็นอยู่ เขาก็ต้องเลี้ยงชีพ มันก็เหมือนกับอาชีพอื่นๆ หมือนครู เหมือนหมอ เหมือนคนขับรถเมล์ ต่างก็ทำงานหาเลี้ยงชีพ ด้วยจรรยาบรรณของแต่ละวิชาชีพ

หากไม่มีจรรยาบรรณ สถาปนิก ครู หมอ ก็เป็นเพียงนักทำมาหากินเท่านั้น หาความหมายให้กับชีวิตไม่ได้ แล้วจะตั้งหน้าหากินกันไปทำไม?

ต่อข้อถามที่ว่าสถาปนิกจะรับผิดชอบกับสังคมอย่างไร ขอแสดงความเห็นว่าด้วยการรักษาจรรยาบรรณของวิชาชีพเราไว้ให้มั่นคง จะเป็นสิ่งเล็กๆที่ทำสังคมเราดีขึ้น

โดยคุณ : อาจารย์ - [ 25 ก.ย. 2543 , 22:04:39 น.]

ตอบ อาจารย์ครับ เห็นด้วยหลายอย่างนะครับ //////////////ผมมองว่า //////// สถาปนิก หมายถึง กรรมกร ผู้ใช้แรงงานสมอง และทักษะฝีมือ ----ในที่นี้ผมหมายถึง คนที่ทำงาน ไม่ว่าจะออกแบบ/ spec แบบ/ การเงิน/ consult/ ทำBQ/ ทำเรื่องกฏหมาย/ ทำshop drawing / present ฯลฯ ผมมองรวม ๆ ว่าเป็นวิชาชีพช่างแขนงหนึ่ง เรียกว่า ช่างก่อสร้างแล้วกัน (เพราะไม่ได้ออกแบบไปซะทุกคน)

ถ้าถอยหลังออกมา ดูกว้าง ๆ ทั้งระบบ คนที่ทำงานเป็น สถาปนิก ไม่ใช่อะไรหรอกครับ ก็คือ แรงงาน กรรมกร รับจ้างเหมือนกัน ไม่ต่างจากพนักงานธนาคาร ครู หมอ ทหาร ลูกจ้างร้านค้า กรรมกรโรงงานทอผ้า

( กำลังจะบอกว่า เป็นส่วนหนึ่งของสังคม ที่ทำให้สังคมพัฒนา )

ถ้ามองสังคม ก็ต้องมองจากอดีตมาหาปัจจุบัน ดูตั้งแต่ว่าอาชีพสถาปนิก มีตั้งแต่เมื่อไหร่ สังคมเปลี่ยนแปลงมาอย่างไร จนมาถึงวันนี้ ยุคนี้ ยุคทุนนิยมที่ทุกคนต้อง แข่งขัน เพื่อให้ได้กำไรสูงสุด บริษัทก่อสร้าง ก็เช่นกันต้องทำงานแข่งกับ เวลาแย่งชิงลูกค้า ทำทุกอย่างเพื่อเงิน ไม่ได้เงิน ทุกอย่างก็จบ

ถ้าถามว่า ตึกสูง ราคาหลายสิบล้าน โรงแรมใหญ่ ๆ ธนาคาร โรงหนัง สวนสนุก มันเกิดได้อย่างไร ???????????


คำตอบคือ" เงิน " เท่านั้นที่ผลักดันให้เกิด




//สถาปนิกไม่มีสิทธิ์ตัดสินใจว่า อาคารนี้ จะสร้างดีหรือไม่ //สถาปนิกไม่ปฏิเสธที่จะรับงานของนายทุน ที่เอาเงินจากการขูดรีดคนอื่น มาจ้างสถาปนิก //สถาปนิกย่อมต้องเอาใจลูกค้าเพื่อเงิน เพื่อชื่อเสียง เพราะนั่นถือเป็นความสำเร็จ //สถาปนิกมีสิทธิ์ฝัน แต่ถ้าไม่มีเงิน ความฝันก็คือความฝัน

นายทุน มีอำนาจที่จะเลือกจ้างสถาปนิกออกแบบ แต่สถาปนิก ไม่มีสิทธิ์เลือกงาน เพราะ งานแลกมาซึ่งเงิน
ดังนั้น ผมมองว่าสิ่งที่ สถาปนิก มีบทบาท ต่อสังคม คือ....เป็นแค่คนทำตามแบบแผน กฏระเบียบ ที่ถูกกำหนดมา ให้ผิดพลาดน้อยสุด อย่างที่อาจารย์บอก ดีที่สุดคือ คอรัปชั่นให้น้อยที่สุด ทำได้แค่นี้เอง แค่นี้จริง ๆ ( ผมเชื่อว่า ไม่มีใครซึ่อสัตย์ครับ ) -------------------------------------------------- คุณ คน ครับ ถ้าว่าง ผมจะรบกวนคุยด้วยครับ

โดยคุณ : stupid student - [ 25 ก.ย. 2543 , 23:40:22 น.]

ตอบ ผมคิดว่าบทบาทของสถาปนิกที่จะพัฒนาสังคม น่าจะเริ่มจากสถาปนิก อันเนื่องมาจากสังคมปัจจุบัน สิ่งที่ผมได้รับรู้คือ คนทั่วไปมีมุมมองต่อสถาปัตย์ต่างจากสถาปนิกมากเหลือเกินแม้สถาปนิกด้วยกัน เราแยกไม่ออกครับ ระหว่างวัตถุ กับคุณค่าของสถาปัตย์ที่เราพยายามหากันในส่วนลึกผมพยายามครับที่จะให้คนทั่วไปรอบตัวผมรักสถาปัตยกรรมมากกว่าการทุ่มเทต่อรถยนต์ แน่นอนครับ ความหัวดื้อเกิดขึ้นมากตามลำดับแต่ทางเดียวกันผมต้องพยายามรับฟังให้ได้มากที่สุด กาารเป็นคนพิการของระบบที่เราค้าน ทำให้เราเก็บงำแต่วันนี้ผมคิดว่าเราสถาปนิกต้องร่วมมือกันแบ่งปันความรักสถาปัตยกรรมสู่ประชาชนให้เหมือนเดิมเช่นสมัยก่อน

ตอนนี้ผมเห็นเพียงทางเดียวที่มีความหวังลึกๆ คือเริ่มจากเรา

โดยคุณ : คน - [ 27 ก.ย. 2543 , 02:08:17 น.]

ตอบ ข้อความทั้งหมดของผมpost ไม่เข้า ผมขอสั้นๆครับ ผมคิดว่า สถาปัตยกรรมร่วมสมัยของไทยมีนิยามแก่คนทั่วไป คือ อยู่ในมหาลัยและคำว่าโมเดิรน์ คนทั่วไปจะรู้แค่นี้ ไม่รู้โพสโมเดิรน์ ซึ่งผมก็ไม่รู้เท่าไรนัก และรู้มาจากการอ่าน ส่วนอารมณ์ร่วมกับยุคนี้ของยุโรปนั้นคงไม่ใช่อารมณ์เดียวกันกับคนสายเลือดยุโรปแน่ สิ่งที่ผมพยายามให้เกิดขึ้นแก่คนรุ่นเดียวกับผมคือ สถาปนิกน่าจะช่วยกันลบคำว่า วงการ ออกจากประชาชน ให้ได้ ผมอยากให้เขาเห็นว่าสถาปัตย์มันเป็นเรื่องธรรมดาที่ ต้องสนใจและรักมันมากๆโดยไม่จำเป็นต้องเรียนมหาลัยคณะสถาปัตย์หรือช่าง คนทั่วไปควรรักมันมากด้วยเช่นกัน สังคมสมัยนี้ผมว่าต้องสถาปนิกครับที่เป็นคนทำอย่างไม่ท้อถอย ขอบคุณคุณนิสิตstupid ครับ

โดยคุณ : คน - [ 27 ก.ย. 2543 , 02:20:37 น.]

ตอบ คุณทำให้อาจารย์ต้องเขียนต่ออีกหน่อย บทสรุปของคุณเรื่องบทบาทอาจารย์เห็นว่าใช้ได้ แต่วิธีคิดค่อนข้างเสี่ยงไปหน่อย คุณวิธีมองภาพรวม (ฝรั่งเรียก Generalization) ซึ่งดี แต่บางครั้งพลาดได้เหมือนกัน ขอพูดเรื่องนี้นิดหนึ่ง

เมื่อคุณถอยหลังมาดูภาพรวมของสิ่งใด อันเป็นวิธีการที่สร้างความเข้าใจในปรากฎการณ์ต่างๆ แต่ในความเป็นจริงคุณจะเริ่มมองไม่เห็นรายละเอียดหรือต้องตัดรายละเอียดทิ้งไป ดังนั้นก็จะเริ่มมีแนวโน้มที่จะใช้ประสบการณ์ของตนเองที่จะสร้างภาพใหม่ขึ้นมาแทน ซึ่งตรงนี้แหละที่เป็นจุดสำคัญ เพราะว่าความเป็นจริงอาจจะถูกบิดเบือนได้

เปรียบได้กับการที่คุณจะระบายสีลงบนแสตมป์ หากคุณใช้พู่กันใหญ่เกินไป จุ่มสีทีเดียว แสตมป์นั้นก็จะถูกย้อมสีไปทั้งดวง หากคุณใช้สีขาวแสตมป์ทั้งดวงก็จะเป็นสีขาว หากใช้สีดำ ทั้งดวงก็จะเป็นสีดำ ---ที่จริงแสตมป์นั้นควรจะมีหลากสีไม่ใช่หรือ?

ดังนั้น การจะถอยหลังมาดูภาพรวม จึงต้องมีความละเอียดอ่อน ถอยออกมาก้าวหนึ่งอาจจะเห็นสรรพสิ่งเป็นสีดำ ถอยออกมาอีกก้าวหนึ่งอาจเห็นเป็นสีขาว

จะถอยออกมาแค่ไหน จึงจะเห็นภาพรวมทั้งหมดและยังรับรู้ความหลากหลายที่อยู่ในนั้นด้วย

เปรียบได้กับสังคมมนุษย์ ผมเชื่อว่าไม่มีเอกภาพพอที่จะยึดถือว่ามีอยู่แบบเดียวรูปเดียว ผมยังเชื่อในความหลากหลาย เหมือนมีหลายสี มีขาวมีดำ มีดีมีชั่ว ผสมกันอยู่ และสามารถแยกแยะออกจากกันได้

แม้ว่าสีทั้งหลาย หรือความดีความชั่วทั้งหมดนั้น จริงๆแล้วเป็นเรื่องของความสัมพัทธ์ (relativity) มากกว่าที่จะเป็นสิ่งจริงแท้แน่นอน

อยากให้ลองคิดดูอีกที ทุกคนจะต้องไม่ซื่อสัตย์ไปทั้งหมดหรือ

โดยคุณ : อาจารย์ - [ 27 ก.ย. 2543 , 02:36:33 น.]

ตอบ ผมขอขอบคุณอาจารย์มากเลยครับที่ช่วยเปิดมุมมองของผมในหลายๆ เรื่อง จากหลายๆสิ่งที่อาจารย์แนะนำลูกศิษย์ ที่สำคัญช่วยทำให้ผมเปิดใจได้มากขึ้นอีกคับ ขอบคุณครับ

โดยคุณ : คน - [ 27 ก.ย. 2543 , 13:32:20 น.]

ตอบ ยินดีที่คุณ คน เข้ามาร่วมสนทนา ผมอยากส่งสารให้ Stupid Student เข้ามาอ่านและลองคิดอีกที เพราะผมว่าโลกยังมีความสดใสกว่าที่เขามองเห็น

โดยคุณ : อาจารย์ - [ 27 ก.ย. 2543 , 23:23:14 น.]

ตอบ ขอบคุณครับอาจารย์ ส่วนตัวผมมีความเห็นว่า คุณนิสิต ต้องการแรงบันดาลใจครับ ซึ่งเราต้องแบ่งปันกันให้สม่ำเสมอ ในสังคมผมก็อยากให้คุณนิสิตเอาความหวัง แค่แสงลอดช่องประตู มาเปิดประตูให้ได้ครับ ตัวผมนั้นเคยมองแง่บวก มาแง่ลบ แล้วมองข้ามมาแง่บวกให้ได้มันยากครับแต่อะไรมันจะสวยก็ต้องสวยที่ใจให้ได้ พยายามครับๆ ผมชักงงว่าไม่รู้ผมพูดอะไรเนี่ย

โดยคุณ : คน - [ 28 ก.ย. 2543 , 01:20:07 น.]

ตอบ ผมนำเรื่องไว้ เห็นควรต้องแจมมั่ง... อ่านที่อาจารย์คุยมีหลายประเด็นน่าสนใจ ที่ คุณstupid student (ชื่อแสลงใจจริง) หรือคุณ "คน" ก็น่าคิด แต่มีมุมมองต่างกันคนละประเด็น ผมลองมองจุดเชื่อมโยงกันและกัน ก็งงๆ แต่ก็ช่างมันผมไม่แคร์ดีกว่า..ความเห็นผมเป็นดังนี้ครับ

สังคมเรามันประกอบไปด้วยหน่วยย่อยๆหลายหน่วยที่หลากหลายรวมกัน บทบาทของสถาปนิกจึงขึ้นอยู่กับชนิดและปรัชญา(ความรู้+ความคิด)ของสถาปนิกแต่ละคน หรือกลุ่มด้วย ว่าเลือกที่จะแม๊ค(ยึดติด)กับสังคมหน่วยไหน เช่นพวกชอบเงินก็ต้องมองกลุ่มนายทุนเป็นคู่รักกัน พวกสถาปนิกธัมมะธัมโม ก็จะเป็นคู่รักกับพวก กลุ่มพระหรือพวกธรรมะธัมโม รับค่าแบบแต่บุญอย่างเดียว เป็นต้น บทบาทที่มีต่อกันและกันก็ จะกระหนุงกระหนิงกันไปเรื่อยจนกว่าจะเลี่ยนกันไป แล้วก็อาจมีเปลี่ยนไปคู่ไปกับหน่วยสังคมย่อยอื่นได้...

ผมคิดแบบพวกจิตนิยม ผมอยากได้สังคมเป็นตามที่ฝันอย่างไร ผมก็ทำตัวให้ดีมีประโยชน์ต่อสังคมกลุ่มย่อย (ที่ผมเลือกสังกัด) ที่ผมมุ่งหวังเท่าที่จะทำได้ อย่างนั้นเช่น ผมไม่อยากออกแบบอาคารอาบอบนวด เพราะเป็นที่อโคจร (ผมไม่อยากไป เพราะอาจทำให้ผมนอกใจภรรยาผมได้) ไม่ควรมีอาคารชนิดนี้ในสังคมความฝันของผม แต่ในสังคมก้อนใหญ่ผมต้องยอมรับที่จะอยู่กับการมีสถานอาบอบนวดที่ออกแบบโดยสถาปนิก ซึ่งอาจเป็นเพื่อนร่วมรุ่นของผมก็ได้ แต่เราอยู่กันคนละกลุ่มในสังคมย่อยๆดังที่ผมกล่าวแยกมาแล้วตอนต้น....โดยส่วนตัวสำหรับผม.... ที่แน่นอนก็คือจะไม่มีนายทุนที่ชอบธุระกิจอาบอบนวดมาให้ผมออกแบบอาคารประเภทนี้ได้เป็นเด็ดขาด เพราะเราไม่ใช่คู่รักกัน ก็คงคุยกันไม่รู้เรื่องแน่ มันเข้ากันไม่ได้ แต่ไม่ใช่ใครดีเลวกว่ากันนะครับ มันเป็นสิ่งที่ไม่แม๊คกัน แต่ต้องอยู่ร่วมสังคมกันได้ โดยไม่จำเป็นต้องขัดแย้ง หรือมาบังคับเปลี่ยนเป็นของกันและกัน...มิฉะนั้นจะทำให้สังคมวุ่นวาย เพราะไม่ชอบกันแล้วยังเลือกที่จะต้องหักล้างกันด้วย...ซึ่งผมว่าเราน่าต่างคนต่างอยู่กันได้โดยสงบดีกว่า

ทีนี้บทสรุปก็ต้องบอกว่า สถาปนิกต้องเลือกสังคมกลุ่มย่อย ที่คุณจะแต่งงานด้วยแล้วแสดงบทบาทส่งเสริมกลุ่มสังคมนั้นให้ดีและแข็งแรง จนกลุ่มอื่นอิจฉาแล้วอาจเปลี่ยนมาเป็นการร่วมแนวคิดเดียวกันได้ต่อไป...ผมว่าแค่นี้ก็เหลือกินแล้วที่สถาปนิก จะมีบทบาทที่ดีต่อสังคมโดยรวมอย่างไร...แต่ละคู่รัก ควร รักและซื่อสัตย์ต่อกันนานๆมากๆๆทุกวัน สังคมย่อยๆนั้นก็อาจกลายเป็นหัวหน้า เป็นแชมป์ของสังคมโดยรวมได้สักวัน แต่ก็ไม่ตลอดกาลหรอกนะ เพราะพระท่านว่าทุกอย่างมันเป็นอนิจจังทั้งสิ้นครับ..ประเด็นเน้นๆสุดท้ายคือว่า เป็นคู่รักกันแล้วอย่านอกใจ อย่าทรยศกัน ทั้งในที่ลับและที่แจ้ง เพราะคุณเองนั่นแหละจะว้าวุ่น หากลุ่มสังคมย่อยลงไม่ได้ สุดท้ายก็จะไปเที่ยวรังควานสังคมกลุ่มย่อยอื่นๆ ให้เขาวุ่นวายจนกระทบกระเทือนไปสู่สังคมใหญ่โดยรวม ที่เราทุกคนอยากให้ เป็นสังคมเดียวที่เป็นสุข และมีความหลากหลายคงไว้ สำหรับลูกหลานเราในอนาคต...ครับ

โดยคุณ : เพื่อนอาจารย์ - [ 29 ก.ย. 2543 , 15:09:09 น.]

ตอบ ยังมีสถาปนิกที่ทำงานเพื่อสังคมอีก ถ้านิสิตสติปิดเปิดใจ อะไรๆมันไม่ได้แย่ไปซะทุกอย่าง แต่เอาเป็นว่าเข้าใจ เพราะผมเองก็เคยคิดเรื่องการเป็นวิชาชีพที่รับใช้นายทุนเหมือนกัน จนต้องแสวงหาตัวเองด้วยการออกไปรับงานมาทำบ้าง อยากลองดูว่าสายงานที่เกี่ยวกับเราโดยตรง มีเบื้องหน้าเบื้องหลังเป็นยังไง...ลองแล้วก็รู้ว่ามิใช่ทั้งหมดจริงๆ...
โดยคุณ : russian - [ 30 ก.ย. 2543 , 02:37:07 น.]

วิวาทะ..การเรียนการสอน


มีความเห็นว่าอย่างไร.. กับประเด็นที่ว่าเรียนมาอย่างไรก็สมควรทำงานอย่างนั้น ผมคิดว่าการเรียนสมควรบอกถึงประสิทธิภาพของความคิดที่พัฒนาขึ้นในทิศทางที่ถูก รู้จักประเมินความได้-เสียในทิศทางที่กำลังเดินไป ถ้าจะบอกว่าการทำงานที่มีสถานะว่าจบ สถาปัตย์ คำนำหน้าคือสถาปนิก มันจะดูแคบไปหรือไม่ ถ้าคำนำหน้าเปลี่ยนเป็นจบปริญญาตรี สิ่งที่ตามมาคือ การคิดเป็น มันจะดูดีกว่าหรือไม่ บ่นมานี้อยากรู้ว่าประเด็นนี้คิดกันอย่างไร จะลากยาวไปเรื่องอื่นก็ได้นะครับ เป้าหมายจริงๆที่อยากรู้ก็คือ การศึกษาปริญญาตรีให้อะไรกับคนเรียนมากน้อยขนาดไหน และอะไรคือสิ่งที่คนเรียนน่าจะได้ ขอบคุณสำหรับความคิดเห็นครับ


โดยคุณ : แวะมาเป็นประจำ. - [ 15 ต.ค. 2544 , 10:56:20 น. ]


ตอบ รู้สึกว่า มาตราฐานการศึกษาบ้านเราคง ยกระดับเป็น ปริญญาโทกันแล้ว เพราะระดับปริญญาตรี เริ่มเรียนกันแบบ นกแก้วนกขุนทอง คล้ายสมัยมัธยมกันแล้ว

ความจิงเรียนให้คิดเป็นคงเป็นสิ่งที่ทุกฝ่าย หวังไว้ จบไปประยุกต์ความรู้ได้ แต่ดูเป็น อุดมคติเหลือเกิน


โดยคุณ : M&e - [ 16 ต.ค. 2544 , 00:16:59 น.]


ตอบ ดูเหมือนบางคนที่เรียนปริญญาตรีอยู่ตอนนี้ยังไม่รู้ตัวเองเลยด้วยซำ้ว่าจบไปจะทำอย่างที่เราๆเลือกเอ็นท์กันเข้ามาหรือเปล่า เพราะวันๆพอเลิกเรียนก็เห็นแต่พุ่งไปเดินสยามเสียส่วนใหญ่ น้อยคนนักที่จะมุ่งไปหาแนวทางของตน(หรือไอ้ที่ทำอยู่มันใช่ก็ไม่รู้) ผมว่าก่อนที่เราจะเข้ามาเรียนในมหาวิทยาลัยนี้ เราอาจยังไม่แน่ใจด้วยซำ้ว่าตัวเองอยากเป็นอะไร จนกระทั่งเข้ามาเรียนแล้ว ถึงพอจะรู้ว่า อ้อ!นี่กูอยากเป็นอย่างนี้นะ อ้าว!นี่กูเลือกเรียนผิดคณะนี่หว่า อะไรประมาณนี้ คือกว่าจะรู้ตัวอีกทีก็เรียนมาแล้ว2-3ปี จะถอนตัวก็ช้าไปเสียแล้ว ทางออกก็คงจะมาลงที่ ป.โท ส่วนหนึ่งมั้งครับ กว่าจะรู้ว่าอยากเรียนอะไร อยากทำอะไรก็จบ ป.ตรีไปเสียแล้ว เดี๋ยวนี้เลยมีป.โท กันให้เกลื่อนเหมือนเป็นปกติ


โดยคุณ : ploi - [ 16 ต.ค. 2544 , 01:16:45 น.]


ตอบ ความเห็นเป็นอย่างนี้...
สิ่งที่ยากลำบากของการเรียนรู้ คือ คือการโยกย้ายสิ่งที่เรียนรู้ไปสร้างประโยชน์อื่นๆ transfering of knowledge is so damned difficulty เป็นหน้าที่ของครู-นักเรียนพึงกระทำให้ "ต้อง" ได้ เช่นการสร้างแบบเรียนแบบฝึกหัดเป็นต้น ในหนังสือ "พ่อรวยสอนลูก" เปรียบเทียบ เรื่องนี้ไว้น่าคิดน่าสนใจ เช่นในความตอนหนึ่ง...

--ปัญหาของระบบการศึกษา คือไม่ว่านักเรียน เรียนวิชาอะไร เขามัก จะออกมาทำอาชีพนั้น...มุ่งออกมาทำงานตามที่เล่าเรียนมา จนลืมไป ว่าเขากำลังทำงานให้คนอื่นและไม่ใช่เพื่อตัวเองเลย ถ้าต้องการมี ความมั่นคงทางการเงิน คุณต้องทำธุระกิจที่จะทำให้ทรัพย์สินของ คุณโตขึ้น...(ถ้าอยากรวย)

ทีนี้ลองคิดเล่นๆว่า ๑. จบแล้วไปทำงาน ฝึกงานในสำนักงานสถาปนิก หรือในองค์กรอื่นที่มีตำแหน่งสถาปนิกกำกับไว้จ้างงาน หรือ ๒. ไปประกอบธุระกิจที่อยู่อาศัยหรืออสังหาริมทรัพย์ โดยตัวเอง เป็นนาย คนจัดการควบคุมได้ จ้างผู้อื่นมาร่วมงาน เหมือน บิล เกตต์ หรือ... ๓. ทำอะไรอื่นๆ อยู่ไปวันๆโดยอย่าไปเบียดเบียน ไม่ให้มีชีวิตลำเค็ญ ฯลฯ

จะเลือกกันแบบไหนดี ? ...แล้วลองพิจารณาอีกความตอนหนึ่งที่ว่า..

--เราต้องควบคุมความต้องการ...หลายคนใช้มันในทางที่ผิด หลายคนตั้งตา รอวันเงินเดือนออก รอโอกาสจะได้เงินเดือนขึ้นก็เพราะความกลัวและ ความต้องการ โดยไม่คำนึงว่าชีวิตจะเป็นอย่างไรในวันข้างหน้า เหมือน ลาที่ถูกล่อให้เดินตามหัวแครอตจนไม่เคยเหลียวดูหนทางและหวังว่าพรุ่งนี้ จะมีแครอตให้มันเดินตามอีก....(ถ้าอยากอิสระ)

การศึกษาในทุกระดับสร้างฐานความคิดให้เกิดการเรียนรู้ด้วยตนเอง ในที่สุด คือการเลือกสรรหรือสร้างองค์ความรู้ของตนเองใหม่ แล้วเอาไปใช้ในชีวิตตนเองชีวิตใครชีวิตคนนั้น อย่าคิดว่า โรงเรียนจะให้อะไรกับเรา แต่อยู่ที่ว่าเราจะเอาอะไรใน "กองขยะ" กองใหญ่ๆจากโรงเรียนนั้น...ว่างๆลองนึกดู ความต้องการของเรา ลองอ่านข้อความนี้ดู....

--พ่อรวยสอนว่า..การมีชีวิตอยู่กับความกลัวเป็นสิ่งที่เลวร้ายมาก เรา ควรมีชีวิตอยู่ด้วยความหวัง ความฝัน และความสุข ไม่นอนก่ายหน้าผาก ว่าจะมีเงินเดือนให้ได้ใช้ไปอีกนานเท่าไร อย่าคิดว่าการมีงานทำจะทำให้ ชีวิตมั่นคง อย่าให้เงินควบคุมชีวิตของลูก....(ลูกกล้าคิดใหม่ไหมล่ะ?)

ความ "อีกจริง" เรียนให้คิดไม่ใช่อุดมคติหรอก เผอิญเราขี้เกียจคิด หรือคิดมากจนฟุ้งซ่าน จนเลย ชีวิตของเรานี้มีแต่ปัญหา...ปัญหา...แล้วก็อีกปัญหาๆ สาระของการเรียนหนึ่งคือการเรียนรู้การแก้ปัญหา วิชาต่างๆเป็นแค่กรณีศึกษา ระดับปริญญาเกิดเพราะ คนยังมองปัญหาไม่เจอ เลยชอบอยู่ใกล้ "กองขยะ" ไม่ยอมห่าง..บางคนร่วมสร้างกองขยะเอาเสียเลย
ก็จบกันดื้อๆแบเฉไฉไปเรื่อยอย่างเคยนะครับ


โดยคุณ : โม้เป็นประจำ - [ 17 ต.ค. 2544 , 11:08:48 น.]


ตอบ เคยดูหนังฝรั่งอยู่เรื่องหนึ่ง นางเอกบ่นเรื่องชีวิตวัยเด็กให้พระเอกฟัง "ไม่เข้าใจเลยว่าทำไมแม่ชั้นถึงชอบคิดอะไรง่ายๆ ชั้นบอกว่าชั้นรักสัตว์เขาก็บอกว่าไปเป็นสัตวแพทย์สิ ชั้นบอกว่าชั้นชอบท่องเที่ยวแม่ก็บอกว่าเรียนไกด์ก็ดีนะ ชั้นบอกว่าชั้นชอบร้องเพลงแม่ก็บอกว่าเป็นนักร้องก็ดูดีไปอีกแบบ ทำไมแม่จะต้องจับให้ชั้นไปเป็นอย่างหนึ่งอย่างใดให้ได้ก็ไม่รู้" ฟังแล้วก็สะดุดใจ ตอนเด็กๆผมวาดรูปสวยผู้ใหญ่เขาก็แนะนำให้เรียนถาปัด ไม่รู้จักหรอกว่าถาปัดเขาทำอะไรกัน พอรู้ตัวอีกทีก็มาอยู่คณะนี้เสียแล้ว


โดยคุณ : WC - [ 18 ต.ค. 2544 , 01:13:40 น.]

ตอบ ผมเองพี่สาวก็แนะว่าเรียนถาปัดดี คนเรียนน้อยสนุกสนานกันทั้งวัน ไม่เกะกะระรานใครๆ ผมเลยเชื่อพี่สาว ตอนนี้ผมอินกับหนังสือ "พ่อรวยสอนลูก" ไม่เชื่อที่เขาเขียนหรอก แต่ชอบวิธีคิดต่าง ลองอ่านดู...(จากเล่มสอง)

คำพูดน่าคิดเกี่ยวกับการศึกษา วินตัน เชอร์ชิล....."ผมพร้อมที่จะเรียนเสมอ แต่ผมไม่ชอบถูกสอน" จอห์น อัปไดค์......"เมื่อพ่อแม่ทั้งหลายพบว่าเด็กเป็นภาระอันหนักอึ้ง เขาจึงส่งเด็กไปอยู่ในคุกที่เรียกว่าโรงเรียน และใช้ การศึกษาเป็นเครื่องมือทรมาน" นอร์มัน ดักลาส...."การศึกษาคือโรงงานผลิตเสียงสะท้อนที่ควบคุมโดยรัฐ" เอช แอล. แม็กเคน..."ชีวิตในโรงเรียนเป็นชีวิตที่ไม่มีความสุขที่สุด" กาลิเลโอ......"ไม่มีใครสอนใครได้ อย่างมากที่ทำได้คือช่วยให้เขาค้นพบการเรียนรู้ด้วยตนเอง" มาร์ค ทเวน..."ฉันไม่เคยให้โรงเรียนเข้ามายุ่งกับการศึกษาของฉัน" อัลเบิร์ต ไอน์สไตน์...."การศึกษามีมากเกินไป โดยเฉพาะในโรงเรียนอเมริกัน"

โรเบิร์ต ที. คิโยซากิ..." ผมฝันจะสร้างระบบการสอนของผมเอง ระบบสำหรับ ผู้ต้องการเป็นเจ้าของกิจการหรือนักลงทุน ใจผมล่องลอย ไปสู่สมัยเด็ก.....ไม่ใช่ผมไม่ชอบโรงเรียนนะครับ แต่ผม "เกลียด" โรงเรียน เกลียดการถูกบังคับให้นั่งฟังคนที่ผมไม่นับถือ พูดสิ่งที่ไม่มีความน่าสนใจนานเป็นเดือนๆ ผมจะเป็นนักเรียน คนที่นั่งอยู่หลังสุด หันซ้ายหันขวา แกล้งคนโน้นทีแหย่คนนี้ที จนหมดชั่วโมง หรือบางทีก็ไม่เข้าห้องเรียนเฉยๆ ผมจึงตอบครู ที่ปรึกษาโดยไม่เสียเวลาคิดเลยว่า "ผมเกลียดการเป็นครู" " แท้จริงแล้วเป็นความรู้สึกทั้งรักทั้งเกลียด ผมรักการเรียนรู้ สิ่งใหม่ๆ แต่ผมเกลียดโรงเรียน เพราะโรงเรียนบังคับให้ผม เป็นในสิ่งที่ผมไม่อยากเป็น เชื่อว่าคงไม่ใช่ผมคนเดียวที่รู้สึก เช่นนี้

หากการจัดตัวเขียนเลอะเทอะอย่าว่ากันนะ ผมลองทดสอบบางอย่างครับ


โดยคุณ : โม้อีกที - [ 18 ต.ค. 2544 , 10:58:38 น.]

ตอบ..แบบชนะประกวด...การออกแบบบ้าน
เท่าที่เห็นผลปรากฏในข่าวทีวี เป็นลักษณะการออกแบบที่พยายามให้เกิดระบบหมุนเวียนดีที่สุด ของอากาศ ภายในอาคาร มีที่ว่างกลาง ช่วยเร่งการเคลื่อนไหวของลมที่พัดผ่าน

การพิจารณาทิศทางของลมพัดผ่าน คงต้องพิจารณาที่ตั้งของอาคารข้างเคียงด้วยหรือแม้แต่ไอของความร้อน ที่ลมอาจหอบพัดมาด้วย เช่นจากผิวถนน หรือความร้อนที่แผ่กระจายจากหลังคาอาคารข้างเคียง แต่ เพราะเหตุปัจจัยที่กำหนดไว้แน่นอนแล้วว่าลมเย็นจะผ่านพัดเข้ามาจากหน้าบ้าน หรือเข้าช่องเปิดต่างๆของบ้านเสมอๆ ลักษณะการออกแบบ เลยเห็นเหมือนเช่นปกติ ที่เคยเป็น ว่าบ้านตั้งอยู่กลางท้องนาโล่งๆ มีลมเย็นผ่านกระทบบ้านอยู่ตลอดเวลา...เพราะโมเดลที่เห็นเป็นแค่เพียงแสดงตัวบ้านอย่างเดียว

ผมเคยสังเกตเห็นว่า บางบ้าน เรือนคนใช้ที่อยู่หลังตัวบ้านใหญ่ ได้ลมพัดโชยแรง เนื่องจากซอกระหว่างแนวรั้ว และผนังทึบด้านข้างของบ้าน กลายเป็นอุโมงลมที่เหมาะสม....... คนใช้บ้านนั้นเลยนอนหลับสบาย ทั้งๆที่สถาปนิกไม่ได้คาดคิดไว้เลย

อาคารในบางประเทศ ใช้ปล่องกลางบ้าน เป็นเครื่องมือที่ทำให้ช่วยเร่งการหมุนเวียนของอากาศ เป็นลักษณะเครื่องมือการดูดอากาศเหมือนลักษณะการช่วยการเผาไหม้ของปล่องไฟเตาผิงอาคารที่มี court ตรงกลาง และมีบ่อน้ำช่วยเพิ่มความเย็นของอากาศ ที่หมุนเวียน พบมากในประเทศแถบตะวันออกกลางซึ่งเพื่อนชาวอาหรับเคยเล่าให้ฟัง

ทีนี้ ถ้าลองปรับเปลี่ยนความคิดใหม่กันลองดูบ้าง เช่น ผู้อยู่อาศัยลดการอบความร้อนในร่างกายตัวเองจากผลของเสื้อผ้า เมื่ออยู่บ้านถอดเสื้อหรือ ใส่เสื้อผ้าฝ้ายบางๆ เหมือนคนสมัยปู่ย่าตายาย พอไม่ให้อุจจาดตา บ้านอาจไม่จำเป็นต้องมีช่องเปิดมาก แต่มีกำแพงที่ออกแบบเพื่อป้องกันอากาศร้อนภายนอก พอไม่ให้แทรกซึมเข้าบ้านมากๆ ด้วยอากาศเย็นที่สะสมไว้ในบ้านตอนช่วงกลางคืน ก็อาจช่วยให้ความอบอุ่นได้พอตลอดทั้งวัน หรือมิฉะนั้นก็ใช้เวลาอยู่นอกบ้านมากๆในตอนกลางวันโดยเฉพาะในหน้าร้อน เหมือนชาวนาที่อาศัยร่มเงาจากต้นไม้


เมื่อต้องการความสบาย ประโยชน์ของบ้านอาจลดความจำเป็นลงบ้าง...ผมว่าถ้าสถาปนิกออกแบบให้ภายในบ้านอยู่สบายเกินไป อาจทำให้เราติดยึดอยู่กับที่ โดยไม่อยากออกไปสังคมกับคนนอกบ้านมากแล้ว ชีวิตก็อาจไม่มันนัก เพราะอยู่สบายเหมือนเทวดา ชนิดพรหมลูกฟักเกินไป

สรุป....คิดแบบบ้านหารสองเกินไป อาจได้ค่าเป็นศูนย์ คือไม่เหลืออะไรเลย ก็ได้นะครับ อยู่กับที่จนเนื้อตัวกลายเป็นจิ้งจกขาวเผือก กลัวแสงอาทิตย์ และความร้อนโดนกาย จนอาจเพี้ยนเอาก็ได้นะ..

ใจจริงๆแล้ว สำหรับเรื่องนี้ ผมชอบการออกแบบประหยัดพลังงาน เน้นที่ passive มากกว่า active ดังที่นิยมแบบโบราณ หากแต่ ด้วยสภาวะปัจจุบันที่มี contex เปลี่ยนไป การคิดโดยวิธีการแรก...น่าจะได้รูปแบบบ้านใหม่ๆ ตัวอย่าง เช่น มนุษย์อาจลองอยู่แบบ มดปลวก ใต้ผิวดินมากๆกว่าปัจจุบันหน่อย หลังคาบ้าน ก็จะได้กลายเป็นสวนสาธารณะสำหรับคนอื่นร่วมใช้ได้ด้วย จะมีโผล่เพียงปล่องสำหรับหายใจ และเพื่อแสงสว่างตามสมควร กลัวต้องดูดส้วมบ่อยๆ ก็อาจยอมให้โผล่บ้างก็ได้ สิ่งที่โผล่ดินเหล่านี้พอใช้แทน หมายหลักโฉนด หรือเครื่องหมายแสดงกรรมสิทธ์ อาณาจักรแห่งข้าฯว่าอยู่ตรงนี้นะ แค่เพียงเท่านั้นเอง ยามใดอยากเห็นโลกภายนอก ก็จะโผล่ตัวเองออกมาจากบ้าน ยามใดเลี่ยน หรือกลัวภัยเมื่อไร ก็หนีลงรูเสีย.....บ้านเมืองโดยรวม ก็จะได้ภาพปรากฏที่ไม่รกหูรกตาเช่นปัจจุบัน..

...ก็ลองแหยมความคิดเชยๆมาดูสำหรับการบ่นเรื่องนี้ครับ


จาก…เพื่อนอาจารย์

ถามว่า...ถ้าทำThesisแล้วปรึกษาอาจารย์นอกกลุ่มจะเป็นการข้ามหน้าข้ามตาอาจารย์ประจำกลุ่มหรือไม่ ได้มีโอกาสเข้าไปฟังการjury thesis เมื่ออาทิตย์ที่แล้วทำให้ได้รู้สึกว่างานของพี่หลายๆ คนยังไม่ครอบคลุมในdetailของสายงานต่างๆ ที่มีหลายๆสาย โดยเฉพาะในสายที่อาจารย์ผู้ร่วมให้คะแนนเชี่ยวชาญเฉพาะ ก็เลยเกิดข้อสงสัยว่า ในเมื่องานเป็นถึงงาน วิทยานิพนธ์ ทำไมพี่ๆ เขาไม่ได้ทำในส่วนนั้นๆ พออาจารย์ถามก็ตอบไม่ได้ หรือไม่ถูกต้องตามหลักความเป็นไปได้ หรือว่าไม่กล้าถามเพราะกลัวว่าจะเป็นการข้ามหน้าข้ามตา ท่านอาจารย์ประจำกลุ่มไปเลยทำให้งานที่น่าจะสมบูรณ์แบบมากๆ ไม่ต่างจากการทำ project ที่ผ่านมาเท่าไร รวมไปถึงที่เคยประสบเองในการทำprojectของปีต่ำๆลงมา เวลาไปถามท่านอาจารย์หลายๆท่าน เหมือนท่านจะเลี่ยงๆไม่อยากตอบเพราะไม่ได้เป็นอาจารย์ประจำกลุ่ม ทั้งๆที่ท่านเหล่านั้นเคยบอกว่า ช่วงเรียนนี้มีอะไรให้รีบถาม ถ้าจบไปถามจะคิดตังค์ เลยอยากจะถามว่า การที่นิสิต(ไม่เน้นแต่วิทยานิพนธ์)จะไปถามอาจารย์ที่มีความรู้เฉพาะในด้านนั้นๆ จะเป็นการข้ามหน้าข้ามตาอาจารย์ประจำกลุ่มหรือไม่ แล้วถ้าเป็นจะให้นิสิตทำอย่างไรเพื่อให้สามารถทำงานได้มีประสิทธิภาพสนองอาจารย์ทุกท่านได้มากที่สุด นอกจากการค้นคว้าเองที่ผมคิดว่า บางครั้งก็ไม่สะดวก และชัดเจนเท่าปรึกษาผู้มีประสบการณืโดยตรง


โดยคุณ : ปี4เตรียมThesis - [ 5 มี.ค. 2544 , 12:11:42 น. ]

ตอบ...เป็นการเสียหน้าหรือไม่? คงไม่มีการเสียหน้าอะไรกันหรอก เพราะปกตินักวิชาการ ก็มักชอบฉีกหน้ากันอยู่แล้ว เพราะต่างนึกว่าตัวเองฉลาดกันเสียเต็มประดา หรืออาจถือว่าเป็นการกลั่นกรองแก่กันและกันก็ได้การข้ามหน้าข้ามตาไม่ต้องเป็นเรื่องที่ต้องเกรงใจกันเลย อาจสนับสนุนให้มีเสียด้วยซ้ำไป..ว่าแต่ขยันจะปรึกษาจริงๆเหร้อ

ตอบ..ควรบังคับการปรึกษาหรือไม่?ผมเคยเสนอ (กับใครก็ไม่รู้)หลายหนแล้วว่า ไม่ต้องไปกำหนดนิสิตต้องไปปรึกษากับใครเป็นกลุ่มใดเฉพาะ ปล่อยให้เป็นไปตามอัชฌาสัยไปปรึกษาเทวดาที่สวรรค์ไหนก็ได้ แต่ถ้าเป็นสวรรค์ที่คณะเรา ก็ต้องบังคับให้ได้ว่า ถ้ามีเทวดาคนใดที่นิสิตต้องการปรึกษาก็ต้องเอาปืนจ่อหัวต้องให้คำปรึกษา (เพื่อกันเบี้ยว) เพราะถ้าเทวดาคนนั้นยังต้องการเอาเงินเดือน (ที่มักดูแคลนว่าน้อยนิด แต่ยังทะลึ่งไปเบิกเอาอยู่ดี) จึงต้องให้บริการเรื่องนี้ ยิ่งโดยเฉพาะ กับเทวดาบางคนที่ฝันว่า จะมีนิสิตจบแล้วไปปรึกษา และยอมเสียสะตังค์ให้ด้วย ต้องคุมกันให้เข้มๆ ส่วนเทวดาภายนอกก็ให้บุพการีของนิสิตคุมเอง จ่ายเงินเอง..........สรุปก็ไม่ว่ากันจะปรึกษาหรือไม่ปรึกษาใครก็ตามที

ตอบ..การให้คำปรึกษา+การแนะนำ+การชี้ทางเท่าที่พยามยัดเยียดคำปรึกษาแนะนำให้นิสิตก็มักไม่เชื่อกัน นิสิตมักเอาหูทวนลมกันบ่อยเพราะคิดว่าตัวเองก็ฉลาดเหมือนกัน หรือไม่ก็แนะนำอะไร ที่ไม่มีใครเข้าใจได้ หรือทำไม่ได้เลยก็มี หรือแนะนำอะไรไม่เห็นเข้าท่าน่าเชื่อได้ ก็มีซึ่งถ้าไม่มีการบังคับด้วยคะแนน ผมว่าระบบให้คำปรึกษาวิทยานิพนธ์สูญพันธ์แน่นอน..เพราะถ้ามีแต่เทวดาชอบติ ไม่แนะ และบอกทางขึ้นสวรรค์ การถ่อสังขารไปปรึกษาก็เสียเวลาเปล่าๆ
ตอบ..การจำกัดคำถามในการวัดผลเพราะมาตรฐานการวัดขั้นต่ำ มันไม่เคยลองกำหนดกันให้ชัดเจน เช่น ลองกำหนดว่าการเขียนแบบงานวิทยานิพนธ์ ในแบบที่ไม่แสดงช่องเปิด ต้องทำไม่ได้ หรือใส่รางน้ำไม่ถูกหลักโครงสร้าง หรือขนาดเล็กไม่พอระบาย ต้องได้F สถานเดียว ความคิดล้าสมัย โบราณกาเลต้องไม่แอบส่งเสริม ต้องขจัดความคิดตะกละตะกรามเกินเหตุ ของผู้ออกแบบ ที่ไม่ยอมเว้นที่ว่างให้สาธารณะ หรือยึดครอง ครอบครองหาดทราย หรือทรัพย์สินสาธารณะประโยชน์ของส่วนรวม ไม่เอาใจใส่อาคารข้างเคียงไม่สนใจมลภาวะของอาคาร ที่ไปทำให้สิ่งแวดล้อม หรือระบบนิเวศวิทยาเสียหาย เพราะไม่สนใจว่ามันคืออะไร ไม่มีใครเคยสอนไว้ในห้องเรียนไม่ตระหนักที่จะใช้พลังงานทดแทน ในที่ๆไม่มีพลังงานหลักมาประเคนให้ไม่ได้ หรือถ้ามีก็คอยแต่สวาปามแค่ตัวเองจนเกินเลย เพราะเผอิญเกิดมาเป็นเปรตมือยาวกว่าคนอื่น หรืออื่นๆ ฯลฯ(ต้องหยุดเพราะชักเกิดอารมณ์บูดแล้วละครับ) ก็ต้องขจัดความ(ไม่)คิดพรรค์นี้อย่าให้ได้ผุดได้เกิด หรือ แม้แต่การออกแบบเอาใจแต่ห้องเจ้านาย ปล่อยให้ห้องคนงานหรือห้องภารโรงไม่มีหน้าต่างให้หายใจ เป็นพวกศักดินาสุดๆ ต้องให้ F สถานเดียวหรือจะเอาถึงขั้นติดแอร์กี่ตัน ห้องถึงจะเย็นเยือก(โดยไม่แคร์ว่าอาคารจะดูเชย) และอื่นๆอีกมากมายพะเรอเกวียน ก็ต้องตกลงกันให้ชัดแจ้งไปเลยจะได้ลงดาบฟันตอน jury แบบซาดิสท์ได้สบายใจโดยไม่กลัวบาป เพราะตกลงกันก่อนแล้ว..หรือไม่เอาอย่างที่ครูประชาบาลบอกไว้ก็ดีนะ

ตอบ...กำหนดขอบเขตของปัญหาการออกแบบเมื่อกำหนดมาตรฐานขั้นต่ำได้แล้ว ก็ต้องจำกัดโครงวิทยานิพนธ์อย่าให้เว่อ ใหญ่โตมโหฬาร คลุมปัญหาที่ต้องคำนึงถึงมากมาย อีกทั้งโครงการใหญ่ๆ อาจเป็นการชี้ช่องให้โดนถลุงถามกันจนงงได้ง่ายกว่าโครงการเล็กๆ ที่มีขอบเขตปัญหากำหนดชัดเจน เช่น โครงการวิทยานิพนธ์ ออกแบบส้วมสาธารณะ โดยไม่ต้องตามแก้ปัญหาเลยไปถึง จะเอาอุจจาระ หรือปัสสาวะ ในบ่อเกรอะ-บ่อซึมไปใช้ทำปุ๋ยชีวภาพ อย่างไร หรือที่ไหนต่อไป เป็นต้น คือต้องกำหนดเพดานความสูงส่งของคำถามไว้ด้วยเหมือนกันนะ ไม่งั้นเจอคำถามเทวดา ก็จะยังยุ่งๆและงงๆอีกอยู่ดี

ตอบ..เอาคุณภาพหรือปริมาณเผอิญสังคมไทยทุกวัน เน้นความเป็นปริมาณมากกว่าคุณภาพ เพราะคนมันมากจนจะล้นโลกการเรียนก็เป็นแบบ อัดหรือแย่งเป็นปลากระป๋องส่งนอก ปลาเน่าปลาดี กระป๋องมีสนิม บุบๆเบี้ยวๆก็ต้องยัดส่งออกจากคณะให้เร็วสุดๆเท่าทีทำได้กระป๋องกับปลาก็เปรียบเหมือนอาจารย์ที่ปรึกษากับนิสิตที่ทำวิทยานิพนธ์ ต่างไม่อยากเข้าใกล้กันเท่าไรถ้าไม่เชื่อ ลองเลิกบังคับให้คะแนนซิ รับรองต่างคนต่างอยากเรียนอยากสอนคนเดียว เพราะปรัชญาแห่งการเรียนรู้ด้วยกัน และความเป็นสังคมแห่งความเป็นกัลยาณมิตร ไม่มีใคร get กันให้เมื่อยตุ้ม

ตอบ...การคัดเลือกคนปรึกษาและคนให้การปรึกษาเวลาเอาปลา (คนปรึกษา) มาแรกๆ ก็มีการคัดกันเป็นวรรคเป็นเวรแต่พอมาปรุงกันจนจะได้ที่ ไงถึงยังเจอเน่าตอนจะอัดกระป๋องส่งออก ส่วนด้านเจ้าเครื่องทำกระป๋อง(คนให้การปรึกษา) ใส่ปลา ทำทีไรกระป๋องเองก็บุบๆเบี้ยวๆทุกที แถมบางกระป๋องเพิ่มสนิมไปผสมโรงอีกต่างหาก พอตอนตรวจสอบคุณภาพสุดท้าย รสชาดปลา+กระป๋องไม่ดี ไม่มีรสชาดถูกปาก กระป๋องบุบ เจ้าปลาก็โทษกระป๋อง เจ้ากระป๋องก็โทษปลา ผมว่าบางทีคงต้องเลิกกิจการ เปลี่ยนโรงงาน จากทำปลากระป๋องเป็นโรงงานทำ พิชโช่กรอบใส่ซองละกัน ฉีกก็ง่ายเคี้ยวก็ง่าย ดีกว่าทำปลากระป๋องเดิมเป็นไหนๆ...สมัยนี้...เขา (ชาวเขา) ทันสม้ายกันแหล้วว...(ตัวอย่างไม่เห็นจะเกี่ยวกันเล้ย...เวรกรรมจริงๆ)

จบชั่วคราวจาก…เพื่อนอาจารย์

ตอบ...เรียนวิชาออกแบบ sk.d ยังไง...ที่ไม่ต้องได้คะแนน เอฟ


๑. พยายามนำเสนอความคิด ให้ใครๆรู้ให้ได้ว่าเรามี ความคิดที่ดีๆตามหลักวิชาที่ร่ำเรียนมา บวกการ มีคุณภาพของความคิดสร้างสรรค์อยู่บ้าง

๒. ตีความต้องการของโปรแกรมให้เข้าใจ ประเด็นความสามารถ ทางสถาปัตยกรรม อยู่ตรงไหน จะเน้นอะไร

๓. โชว์ทักษะการนำเสนอ ที่เคยฝึกฝนมา ให้สุดๆ ฝีมือการเสก็ตการเขียน ต้องมั่นฝึกฝน เช่นสังเกตผลงานเพื่อนๆที่ฝีมือเจ๋ง ได้คะแนน A บ่อยๆ

๔. แสดงความตั้งใจการเรียน การทำงานออกแบบของเราให้ได้ ให้อาจารย์ท่านซึมทราบให้ได้ ใช้มือเขียน สมองคิดๆๆๆ.. อย่าให้ผลงานดูเหมือนใช้เท้าช่วย เขียน ทำงานรีบๆ เหมือน นั่งรีบๆ..ขี้ๆๆในส้วม เสร็จแล้วสะบัดก้นหนี น้ำก็ไม่ตักราดขี้ ก่อนออกมา

ผมว่าถ้าพยายามทำได้อย่างที่แนะนำมา ก็ไม่น่าจะจะได้เกรดต่ำกว่า C-A หรือมีปัญหาอะไรมากมายนะครับผมเคยระบายเรื่องนี้มายาวๆ ในกระทู้ก่อนๆ ลองไปอ่านดู และคิดๆๆๆกันดู..พยายามมองปัญหาภายใน..อย่าพะวงปัญหาภายนอก ที่เราอาจบงการอะไรไม่ค่อยได้มากนัก...เชื่อผมเถอะ...pleaseeeee!!!

เมื่อเขาไม่ชี้แนะ ก็นึกเสียว่า ครูเป็นใบ้ ลองมองตาครูแทน มองใจได้ยิ่งดี ถ้ามองอะไรไม่เห็น ก็เป็นคนชี้แนะตัวเอง อย่าหวังพึงอะไรจากคนอื่นทุกอย่าง..นึกเสียว่าครูเป็นแค่เพื่อน เพราะเราไม่ค่อยเคารพครูเท่าไรนัก ไปเตะบอล ถ้าไม่เรียนรู้อะไรด้วยตัวเอง ก็เตะไปเสียแรงเปล่าๆ เป็นนักเตะบอลฮ่วยๆ ก็ไม่มีใครจ้างเล่น เพราะไม่มีใครดู ของบางอย่างไม่รู้จะตอบให้เปลี่ยนความคิดได้อย่างไร ก็ต้องปลอบใจ ให้เปลี่ยนทัศนะคติใหม่ โลกใหม่ที่สดใสกว่าก็มีให้เห็นได้ มีคำถามที่พระพุทธเจ้าไม่ตอบ เช่นภิกษุมัวถามว่า คนเราตายแล้ว ไปไหนเอ่ย เพราะรู้เป็นคำถามที่ไม่เกิดประโยชน์ ไม่เอาจิตอยู่กับปัจจุบัน ทั้งๆที่ท่านสอนเรื่องการเวียนว่ายตายเกิด สำหรับคนที่ยังมีกิเลส ก็ดันทุรังถามอยู่ได้ ...หนอยอดีตยังลืม ปัจจุบันยังเผลอ.. ริอยากรู้อนาคต...ว่าเข้านั่น

ก็ยังตอบไม่ตรงอยู่ดี....ใช่ปล่าวครับ รู้สึกวันนี้มีอารมณ์ อยากเถียงจัง เห็นต้องพอไว้ก่อนนะ..สำหรับวันนี้


จาก…เพื่อนอาจารย์

ตอบ ผมเคยบอกแล้วว่า สมัยเด็ก ผมชอบฟังคน (ผู้ใหญ่)คุยกัน เถียงกันในร้านกาแฟ มันอาจได้ความรู้และการเข้าใจชีวิต ที่จะช่วยนำทางผมได้บ้างในอนาคต

เรื่องคุยกันที่นี่ ผมมีความตั้งใจว่า ประสบการณ์ส่วนตัว และมุมมองปัญหา ของผมอาจช่วยนิสิต ตัดความกังวลใจบางอย่างลงได้บ้าง เปลี่ยนทัศนะคติ ให้มีผลดีกับตัวเอง จิตใจจะได้เป็นสุข สิ่งดีๆจะได้เกิดขึ้นกับตัวเราอยู่เสมอ...อีกทั้งยังคอยเตือนตัวผมเองด้วย ว่าคนอื่น โดยเฉพาะนิสิต เขามองเราอย่างไรบ้าง...นี่เป็นสิ่งที่ผมคิดว่าจะเป็นประโยชน์

ปัญหาบางอย่างมันตอบกันตรงๆ ไม่ง่ายนัก เหมือนบางทีเราคิดแบบในปัญหาใดปัญหาหนึ่ง มันไม่ชอบ ถูกใจ ตัดสินใจเลือกลำบาก บางที่จำเป็นต้องทวนปัญหา หรือปรับเปลี่ยนปัญหานั้นเสียใหม่ โอกาศของมุมมองปัญหา และการแก้ไข อาจเกิดทางเลือกสำเร็จใหม่ๆได้...นี่คือที่ผมพยายามเตือนในที่นี้

การเปลี่ยนแปลงทัศนคติ attitude changeเป็นการศึกษาที่ผมสนใจ เคยอ่านบทความทางวิชาจิตวิทยา เกี่ยวกับเรื่องนี้บ้าง สนุกดี ผลทางวิชาการเรื่องนี้ มีการนำไปใช้ในงานอาชีพโฆษณามาก เรื่องทัศนคติ ถ้าเราไม่ระวัง บางทีมันกลายเป็น โมหะ หรือ ความหลง เป็นอกุศลจิตได้นะครับ

ความกระตือรือร้น ในการคิดอยากปรับปรุงเปลี่ยนแปลงสังคม ที่ตนเองเกี่ยวข้อง ผมว่าเป็นเรื่องที่ดี ทุกคนควรเอาใจใส่ แต่ยุทธวิธี ในการดำเนินการ ผมว่าจำเป็นต้องทำให้ถูกกาละเทศะ ต้องมองผลกระทบ และตัวแปรอื่นให้รอบด้านด้วย อย่าใช้อารมณ์ที่เกิดจากตัวเรา เป็นบรรทัดที่เคร่งครัดจนเกินไป ผลการกระทำอาจไม่เกิดดังที่เราประสงค์ได้ ไม่มีใครอยากคิด และทำงานร่วมกัน ด้วยความโกรธต่อกันและกัน แต่ถ้าปรับกันให้เกิดความรัก และเอื้อาทร ต่อกันได้ อะไรมันก็จะง่ายไปหมด ทัศนคติที่ไม่ดี บางทีมันก็เปลี่ยนแปลงไปได้...ต้องใช้ความรักเป็นอาวุธสำคัญในการสร้างสังคมใหม่ที่ดีของเรานะครับ

ผมเข้ามาเป็นอาจารย์ ตอนช่วง ๑๔ ตุลา และ ๖ ตุลาต่อมา ชีวิตนิสิตและอาจารย์ช่วงนั้น สับสน ชุลมุน วุ่นวายมากๆ วันเกิดเรื่องราว นิสิตหลายคน คุยกับผมด้วยน้ำตา และความโกรธ บางคนบอกลา หลัง ๖ ตุลา เพื่อเข้าป่าจับปืนต่อสู้ เดี๋ยวนี้เป็นอย่างไรก็ไม่ทราบ (เผอิญผมมีนิสัยเสีย ไม่ชอบจำชื่อนิสิต เพราะกลัวมีอคติ ตอนกรอกคะแนน เดี๋ยวนี้เลยไปกันใหญ่ เจอหน้านิสิตเก่าจำได้ แต่นึกชื่อไม่เคยได้...ชาตินี้เป็นนักการเมืองยากแน่..)..หลายต่อหลายคน ผมเคยแนะว่า น่าจะเลือกการต่อสู้ที่เราถนัด มิฉะนั้นอาจพลาดพลั้งได้ง่าย การต่อสู้ทางปัญญา ผมว่าเสียหายน้อยที่สุด และเป็นการต่อสู้กับจิตของเราเองด้วยในเวลาเดียวกัน อย่ากลัวว่าเราจะเป็นเหยื่อ โดนหลอม ของความไม่ดี ไม่ถูกต้องของสังคมขณะนั้น เพราะถ้าจิตของเรามีกุศลจิตที่แท้จริง ผมว่าเราต้องหนักแน่นให้ได้ ถ้าแน่ใจว่าสิ่งที่เราจะทำถูกต้อง และเป็นธรรมต่อผู้อื่น ไม่ใช่เพื่อตัวเราเองเท่านั้นพอ ก็เหมือนพระพุทธเจ้าเอา ชนะ องคุลีมาล และเทวทัตได้ ก็ด้วยปัญญาและบารมีที่ท่านสั่งสมมา..นั่นแหละ

ทำความเข้าใจกับ ธรรมชาติ และปรากฏการณ์ของแต่ละสิ่งที่เราเผชิญปัญหา ให้รอบคอบและประณีต เลือกโอกาศและยุทธวิธี ที่เหมาะตามศาสตร์ปัจจุบันที่บันทึกไว้ให้อ่านให้ศึกษา แล้วนำมาใช้เมื่อเรามีโอกาสหน้าที่ ที่ต้องรับผิดชอบ ชนะแก้ปัญหาได้ ก็ดีไป ไม่สำเร็จ ก็นำกลับมาทบทวน แล้วพยายามใหม่เมื่อมีโอกาสอีก ไม่ได้ชาตินี้ ก็รอชาติหน้า...ก็ต้องคุยอย่างนี้ เพราะความรู้อาจเรียนทัน หรือเรียนเลยกันได้ แต่บารมี ความดี กุศลจริต สะสมกันมา ไม่เท่าเทียมกัน ก็ต้องยอมรับ ตามหลักพุทธศาสนาที่บันทึกไว้นะครับ

ผมเอ่ยเรื่อง skd ที่คุยกันนี้กับอาจารย์อื่น เมื่อวานนี้ ทำให้นึกถึงอาจารย์เก่าหลายคนที่ผมเจอมา โดยเฉพาะในคณะเรา คือท่านอาจารย์แสงอรุณ รัตตกสิกร หรือ "ครูแสง" ที่นิสิตแทบทุกคน ทึ่ง รัก และเคารพท่านมาก แม้ท่านล่วงลับไปแล้ว แต่หลายคนยังระลึกถึง และยังประทับใจท่านเสมอ...มันแปลกตรงที่วิธีการให้เกรด เป็นอารมณ์สุดๆ หาเหตุผลกันไม่เจอ (ตามที่ลูกศิษย์อย่างผมเข้าใจนะ) เหมือนที่คุณกังวลใจ และอยากให้ได้เหตุผลจะแจ้งสุดๆ ตอนนี้ ...แต่ตอนนั้นไม่มีใครข้องใจอยากทราบ หรือพยายามตอแยท่านเลย..ผมคนหนึ่งที่ไม่เคยสงสัยอะไรท่านเลย หากแต่ ศรัทธา และยอมรับสิ่งที่ท่านทำกับนิสิต ทั้งนั้น เพราะผมแน่ใจว่าท่านรักการศึกษาสถาปัตยกรรม และคนเรียนสถาปัตยกรรมทุกคน...ท่านทำให้ผมเกิดรสชาดในการเรียนการสอน ตั้งแต่แรกที่เข้าเรียนคณะนี้ และขณะนี้ ...ผมอยากสรุปว่ามันเป็นเพราะบารมีของท่านจริงๆ

คุณแต่ละคน ก็ควร และมี ความทรงจำที่ดีของครูเก่า กรุณาเก็บมันไว้เมื่อเราเจอครูคนอื่น เอาจิตใจและศรัทธาที่มีต่อท่านนั้น มา เผื่อแผ่ให้กับครูอื่นที่เรายังไม่ถูกใจนัก ผมว่าแค่นี้ก็พอ ทำให้ เราอาจเปลี่ยนแปลงทัศนคติเก่าได้นะครับ....อย่าบอกผมนะว่า ในชีวิตคุณไม่เคยเจอ สิ่งดี และครูดีนะ...ถ้าไม่มี ผมว่าคุณมีปัญหาที่ตัวเอง ต้องแก้ไขโดยการสร้างบารมี ต้องเข้าวัด หรือบวชเรียนพุทธศาสนา หรือศาสนาอื่นใด ให้มากๆ และหนักๆด้วยในชาตินี้ก่อน...แล้วจึงค่อยกลับมาเกิดใหม่ แล้วเรียนวิชา skd ต่อไป..ถึงตอนนั้น อะไรที่ดีๆ เป็นสุข ก็จะเกิดขึ้นแน่ๆ

ก็ขอระบายความในใจมาอีกยาวนะครับ


จาก…เพื่อนอาจารย์

ตอบ อ่านแล้ว สบายใจ ชื่นใจ ในความคิด และนับถือยิ่ง (ไม่ใช่เพราะมาเยินยอผมนะ..โปรดอย่าไว้ใจใครด่วนนัก เพราะเขาคนนั้นอาจเป็นพ่อมดก็ได้) ในผลผลิตบางส่วนที่เกิดจากสถาบันนี้ ผมสังเกตหลายต่อหลายคนว่า เบ้าหลอม (ซึ่งไม่ควรมีเบ้าหลอมกันเลย) บางครั้ง มันเปลี่ยน หรือบดบัง ศักยภาพที่มีอยู่ในแต่ละคนไม่ได้เลยจริงๆ หลายต่อหลายคน ไปประสพความสำเร็จในบทบาทอื่นๆ ทั้งที่ไม่ได้เรียนรู้สิ่งนั้นโดยตรง นี่เป็นความหลากหลายในวิชาสถาปัตยกรรม ที่บางอาชีพ เหมาว่า บ้าๆบวม หาจุดสรุปชัดๆไม่ได้ แม้ในหลักสูตร หรือความคิดอาจารย์ มันทำให้ผมค่อนข้างแน่ใจว่า การเรียนรู้ของเรานั้น องค์ประกอบของสถาบัน และครูนั้นเป็นเพียงส่วนหนึ่ง แค่เสี้ยวเดียว..นิดๆ..ที่สร้างสติปัญญาแต่ละคนเท่านั้น ไม่ใช่ทั้งหมดเลย

ผมปรารถนาอยากให้นิสิต เป็นว่าวที่ติดเครื่องยนตร์ หรือมีพลังอื่นใด เป็นของตัวมันเอง ส่งให้ลอยไปได้โดยไม่ต้องอาศัยลมจริงๆ เพราะลมนั้น มีหลายแบบ บางทีก็พัดเอื่อย ไม่มีแรงส่งว่าวให้ลอยพอ บางที่ก็พัดแรงเป็นพายุอุตลุด ทำให้ว่าว สับสน หมุนติ้ว จนหัวว่าวปักลงดิน หรือสายป่านขาด ไม่รู้ลอยไปไหน....ประเด็นคือว่า แล้วเครื่องยนตร์ หรือพลังอื่นที่มีติดว่าวแต่ละคน มันอยู่หนใดฤา...ตอบไม่ได้...กำลังแสวงหาอยู่ครับ..แม้ว่ายังหาไม่พบ แต่พยายามทำตัวเอง ไม่ให้เป็นลมบ้าหมูก็พอแล้ว..จริงไหม

ศาสตร์ทั้งหลาย เป็นเพียงการแยกชนิด เพื่อปรุงแต่งโลกนี้ให้ดูดี (ตามโมหะจริต) สุดท้ายก็ต้องไปรวมอยู่หนึ่งเดียว คือศาสตร์แห่งชีวิต เพราะว่าเรียนวิชาใด แล้วไม่ส่งผลดีต่อชีวิต ทำให้เป็นกุศล หรือเกิดกุศลจิตได้ ผมว่าเป็นศาสตร์ฮ่วยแตกทั้งเพ

เรื่องสาขาแลนด์เสคป หรือสถาปัตยกรรม หรือสาขาอื่นในคณะนี้ ที่ไม่ได้เอ่ยมา ผมคิดว่าไม่น่าต่างอะไรกันในเนื้อหา ยกเว้นเรื่องรูปเท่านั้นเอง สูงสุดแห่งเป้าหมายเดียวกัน คือการจรรโลงให้มนุษย์ใช้ สภาพแวดล้อมเหล่านี้ เป็นพาหะแห่งการพ้นทุกข์ได้อย่างไร..แสงเงาที่ระเบียงโรงเรียนที่เราประจักษ์ ก็เกิดขึ้นได้ท่ามกลางแมกไม้ หรือแม้แต่ห้องที่หลังคา หรือผนังมีรู ก็ได้นะครับ...ความประทับใจใดๆ เขา (ผู้รู้บางคน) โม้กันว่า เป็นสิ่งที่พระผู้เป็นเจ้า ประทานให้แต่ละคน ไม่เหมือนกัน แต่น่าจะแลกเปลี่ยนแบ่งปันกันได้..ท่านผู้ให้คงยินดีแน่

การเขียนเล่าสู่กันฟัง เป็นอีกมิติที่น่าสนใจ ในการสื่อ หรือระบายความคิด ผมว่ามันต่างรสชาดจากการพูดคุยปกติ... เขียนคุยกับคนรักที่เรารู้จัก มีรูปวางตรงหน้า ก็อีกรสชาด เขียนคุยกับคนที่เราไม่แน่ใจว่ารู้จักหรือป่าว แต่คุยกันได้ แลกเปลี่ยนความคิดแก่กันและกันได้ ก็เป็นรสชาดที่ยิ่งแปลก..นี่แหละคือโลกที่น่าสนใจ ของ ไซเบอร์สเปส ที่ผมว่าไม่น่ามองข้ามนะครับ..วันก่อนอ่านบทความและวิธีการสอนสถาปัตยกรรม ผ่านทางอินเทอร์เนต ของ อาจารย์ ท่านหนึ่ง ชื่อคล้ายคนจีน เน้นความคิดของการออกแบบ โดยสื่อทางการเขียนภาษา อย่างเดียวล้วนๆ ..ผมสนใจเรื่องนี้ เพราะคิดว่าน่าจะเปลี่ยนมิติการคิดที่เราเคยชิน หรือค่อนข้างจะตันแล้ว หรือยังหาทางออกใหม่ๆไม่ได้...ยังไม่รู้จะเริ่มลองที่ตรงไหนดี ด้วยความหวังว่า อาจทำให้นิสิตบางคน เจอพลังของตนเองแทนลมว่าวอย่างเดิมๆ

ก่อนจบขอแถมอีกนิด..สมัยที่เป็นนิสิตในสถาบันนี้ ผมสังเกตเห็นว่า ที่นี่เป็นสถาบัน ทำเบ้าหลอม เพื่อที่จะสอนให้นิสิตยอมรับ และมีความอดทนที่จะอยู่สบายๆในเบ้า .. แต่ก็มุ่งหวังเป็นนัยๆ เพื่อการแย้ง (กระทืบเบ้า หรือกระดอง) ในอนาคต เมื่อจบออกไป..ผมเลยยังไม่แน่ใจว่า ถ้าเราเริ่มการแย้งกันแล้วในวันนี้ ตอนเป็นนิสิต ต่อไปภายหน้าเราจะแย้งอะไรอีก หรือแย้งไปจนตลอดชีวิต แล้วไม่เคยยอมรับอะไรเลย ผมว่าเราอาจพลาดโอกาศ หรือของดีๆ ไปได้เหมือนกัน... โปรดอย่าไว้ใจตาเรา หรือความคิดเราเองด้วย เพราะบางครั้งมันก็มั่วๆได้เหมือนกันนะครับ

ผมก็เคยประชดเรื่องในทำนองนี้กับนิสิตเหมือนกัน....แต่ตามสภาพความจริงในปัจจุบัน ก็คงเป็นไปไม่ได้ ตราบใดที่ ยังมีผู้เลือกเรียนสถาปัตย์ ตอนสมัครสอบเอ็นทร้านซ์เข้ามหาวิทยาลัย
ข้อดีในการตั้งกระทู้นี้ ก็ตรงที่ การหันมาหยุดมองตัวเอง ทบทวนบทบาทที่ตนเองเลือกใน การเรียนรู้ และการประกอบอาชีพนี้ ซึ่งเป็นสิ่งที่ชาวพุทธควรกระทำเป็นปกตินิสัย อยู่เสมอๆ

การล้มกระดานแล้วกลับไปเริ่มต้นใหม่ ก็ไม่แน่ใจว่าทำได้ หรือมีผลดียั่งยืนนัก ก็เหมือนการทำรัฐประหารในทางการเมือง ที่ล้มเหลวมาแล้ว..ประเด็นที่น่าถูกต้อง คือการเสริม การมีส่วนร่วมของประชนทางการเมือง หรือส่งเสริม การมีส่วนร่วมของประชาคมทางการศึกษาด้วย

โรงเรียนเคยเริ่มต้นจากการเรียนในวัด ที่จริง เป็นการเริ่มต้น ของการสร้างคุณค่าตรง ที่ต้องเรียนรู้ทางจริยธรรม คู่ขนานกับการมีความรู้ในเรื่องทั้งหลาย แต่เมื่อเวลาล่วงเลยมา ก็มีการกลายพันธ์ จนเรื่องคุณธรรมไม่เน้น ให้ชัดแจ้งกันนักในมหาวิทยาลัย ซึ่งคงอาจถือเป็นเรื่องที่ผู้เรียนและผู้สอนต้องตระหนักเป็นธรรมชาติอยู่แล้วก็ได้....แต่ผลที่ปรากฏ คือเกิดข้อครหาในปัจจุบัน หรือเรื่องที่ต้องขุด เอามาย้ำเตือนกันให้แน่ใจอีกกันบ้าง

มองในแง่ดี ส่วนหนึ่งเป็นความกังวลที่เกิดขึ้น จากผลการศึกษามันไม่สะท้อนความดีงามจากผลของอาชีพนี้เท่าที่ควร...เพระหวังสูงในทางอุดมคติมากเกินไป...ก็ได้... แต่ถ้าความกังวลนี้มีมากเข้าๆ ก็อาจทำให้เราต้องทบทวน ทั้งเนื้อหาที่ศึกษา และการปฏิบัติจัดการในการศึกษาในคณะนี้ ที่ต้องปรับปรุงพัฒนากันแน่ๆ

ตอนนี้ที่คณะเราก็พยายาม เพิ่มครูทั้งอาชีพและสมัครเล่นเข้ามามีส่วนร่วมมากขึ้น ผมว่าเป็นสิ่งดีทีเดียว ที่ทำให้สถาบันนี้เป็นส่วนของประชาคม หรือ ให้เกิดมีความรับผิดชอบของทุกคนมากที่สุด เท่าที่ผู้บริหารพึงกระทำได้

ส่วนในการเรียนนอกระบบ ผมว่าก็เป็นอีกทางเลือกอื่น ที่จะช่วยเสริมกันและกัน อย่างเช่นระบบการเรียนรู้ของ มหาวิทยาลัยเที่ยงคืน ซึ่งผมสนใจ และคิดว่า พวกเราน่าจะลองเสริมในทางเลือกใหม่นี้ด้วย เพราะเครื่องมือทางเทคโนโลยี มีอำนวยให้พอกระทำได้ เช่นเว็ปบอร์ดนี้ ก็อาจถือเป็นจุดเริ่มต้น ของการจุดประกายความคิดเห็นที่ดี มีประโยชน์ใหม่ๆได้...ซึ่งในหลายๆทางเลือกที่มีขึ้น ก็จะทำให้ของเก่าที่มีอยู่เดิม ก็จำเป็นต้องพัฒนาให้ดีขึ้นได้ด้วย มิฉะนั้นก็ต้องเฉาตายไปโดยปริยาย.... สปิริตของโรงเรียนที่เกิดจากคนคุยกันใต้ต้นไม้ หรือ การเรียนแบบครูพักลักจำ ก็จะกลับมาอีก...หากแต่ในสภาพแวดล้อมที่ต่างกันก็ได้นะครับ...ขอเพียงแต่พวกเราอย่าสิ้นหวังเลยครับ


จาก…เพื่อนอาจารย์

กระทู้ถ้าชีวิตเราเหมือนภาชนะว่าง..จะเป็นแบบกระโถนหรือกระถางกันแน่

ท่าน ชยสาโรภิกขุ เป็นคนต่างชาติชาวอังกฤษ สนใจศึกษาพุทธศาสนามาก่อน เคยแสวงหาไปทั่วถึงอินเดียและเนปาล และเคยฝึกด้านโยคะสมาธิตัดสินใจบวชเป็นพระในบวรพุทธศาสนา และศึกษาธรรมกับท่านอาจารย์ชา แห่งวัดหนองป่าพง อุบลราชธานี เดินทางมาถึงเมืองไทยโดยมีเงินเหลือเพียง ๒๐๐-๓๐๐ บาท เพราะไม่ต้องการมีสตางค์กลับไปบ้านที่อังกฤษอีก และต้องอยู่ศึกษาและเป็นพระที่วัดนี้ไม่น้อยกว่า ๕ ปี เพื่อทดสอบว่ามีบารมีพอที่จะรักษาพรหมจรรย์ในชีวิตพระได้ตลอดรอดฝั่งหรือไม่ บัดนี้ท่านศึกษาและปฏิบัติธรรมจนร่วมนานกว่าสิบปีแล้ว ท่านพร้อมจะเป็นภิกษุไปตลอดชีวิตและดำเนินการเผยแพร่ธรรมเพื่อสันติสุขของชาวโลกสืบไป

นี่เป็นหนึ่งในข้อคิดหลายอย่างของท่านที่แสดงไว้..ดังความว่า

ชีวิตของเราก็เหมือนกับเป็นภาชนะว่างถ้าหากเราไม่สนใจไม่ตั้งใจในการฝึกฝนอบรมตนเอาแต่ของไม่สะอาดใส่ในกาย วาจา ใจของเราชีวิตของเราก็เป็นภาชนะว่างที่กลายเป็น "กระโถน"แต่ถ้าเราฝืนกิเลสของตัวเอง ไม่ทำตามกิเลสสนใจในการที่จะหล่อเลี้ยงชีวิตด้วยธรรมทำชีวิตให้เบิกบานโดยคุณธรรม มันก็เหมือนกับว่าเราตั้งภาชนะนี้ไว้ในที่ดีแล้วเอาดินใส่ เอาต้นไม้ใส่ รดน้ำพรวนดินเสร็จแล้วภาชนะนี้จะเรียกเป็นกระโถนไม่ได้ต้องเรียกว่าเป็น "กระถาง"

ความตอนหนึ่งจากธรรมเทศนา ณ จังหวัดอุบลราชธานีโปรดจดจำชื่อและติดตามงานคิดและปฏิบัติของท่านนะครับ

ขอคัดเนื้อหาธรรมของท่านมาให้ทราบอีก...ดังนี้

๑. ..........ชีวิตเป็นของไม่ยั่งยืนแต่ความจริงของชีวิตเป็นสิ่งไม่ตายเข้าถึงความจริงของชีวิตมากเมื่อไรก็ห่างไกลออกจากความตายมากเท่านั้น
๒....ธรรมของพระพุทธองค์เรียกว่าเป็น อกาลิโก (ไม่มีเวลา)เพราะคนที่ไหนก็ตาม เป็นคนชาติไหนวรรณะไหนก็ตามถ้าปฏิบัติตามคำสอนของพระพุทธองค์อย่างถูกต้องแล้วล้วนแต่สามารถเข้าถึงธรรมะได้ทั้งนั้น
๓.......การดึงจิตออกจากโลกกลับมาสู่ธรรมเป็นเนกขัมมบารมี เป็นเหมือนการออกบวชให้พวกเราหาโอกาสที่จะออกบวชทุกวันคือออกจากความโลภ ความโกรธ ความหลง จิตเป็นกุศลปล่อยวางสิ่งที่ไม่ดีไม่งามนั้นเป็นการออกบวช
๔.......วิปัสสนา คือความรู้แจ้ง เกิดในจิตที่สงบแล้วถ้าจิตไม่สงบมันอดยุ่งกับอารมณ์ไม่ได้เมื่อมันยุ่งกับอารมณ์ ไปถือกรรมสิทธิ์ในอารมณ์จิตไม่สามารถที่จะเห็นอารมณ์ตามความเป็นจริงวิปัสสนาไม่เกิดเงื่อนไขสำคัญของวิปัสสนาจึงอยู่ที่จิตใจที่ตั้งมั่นเป็นสมาธิ
๕......เธอทั้งหลายจงเจริญสมาธิภาวนาให้มากเถิดเพราะผู้ที่ทำสมาธิได้ดีแล้วย่อมรู้เห็นสิ่งทั้งหลายตามความเป็นจริง
๖....สติ เป็นตัวระลึกสัมปชัญญะเป็นตัวรู้ขาดสติแล้วก็ลืมลืมว่าเรากำลังทำอะไรอยู่ขาดสัมปชัญญะแล้วก็หลงไม่รู้ว่าอะไรเป็นอะไรอยู่ในปัจจุบันมีประโยชน์หรือไม่ควรเจริญหรือควรละ
๗....เราขาดสัมมาทิฏฐิ (ปัญญาอันเห็นชอบ คืออริยสัจ ๔) ข้อเดียวปฏิบัติเท่าไหร่ เราอาจจะไม่ได้ผล

หลวงพ่อชาบอกว่า....
เหมือนกับตักปลาในหนองที่ไม่มีปลา จะขยันหมั่นเพียรเท่าไหร่ถ้าไม่มีปลาอยู่ในที่นั้นความเพียรก็จะเป็นหมัน

๘........พุทธศาสนาเป็นศาสนาเดียวในโลกที่ยืนยันอย่างไม่หวั่นไหวว่ามนุษย์สามารถพัฒนาตนให้ถึงจุดสมบูรณ์โดยไม่ต้องอาศัยสิ่งนอกตัวทั้งสิ้น

๙....และ ๑๐...แจ้งในกระทู้ข้างต้นแล้ว

เดี๋ยวนี้คนตะวันตกเขา "ทันสมัย" แล้วโยมล่ะยังคงเก็บตกของ "ล้าสมัย" ของพวกเขาอยู่เหรอะ.....อนิจจา


จาก…เพื่อนอาจารย์

"ลูกศิษย์ฝรั่ง สอนไม่ยากหรอกดึงไปดึงมาเหมือนควายเดี๋ยวมันก็เป็นเท่านั้นแหละ"

คำปรารภของ ท่านอาจารย์ชา สุภัทโท

ที่มาส่วนหนึ่ง...ของอาชีพ..อาจารย์
สำหรับผม..เพราะอยากและชอบเรียนหนังสือไปตลอดชีวิต ตอนสมัครเป็นอาจารย์ ก็ตอบการสัมภาษณ์ เหมือนที่คุณถามมานี่ล่ะ..มีกรรมการท่านหนึ่ง สวนกลับมาว่า.."เฮ้ย สมัครผิดที่ละมั้ง คุณต้องมาสอนซิ"..ผมก็สู้สวนตอบกลับไปแบบไม่ได้ก็ไม่ได้ว่ะ..."ก็ถ้าผมไม่เรียนด้วย ผมจะเอาอะไรไปสอน..อ้ายที่เรียนทำโก้ได้ปริญญาเมืองนอกแค่สองปี..กลับมาสองสามวันเผลอๆ ก็หมดน้ำยาแล้วครับ"...โชคดีผมเถียงแบบน่ารัก..น่าร๊าก เลยแบบมั่วๆได้มากินเงินเดือนที่นี่...
ประวัติการเรียนที่นี่ของผม..คุณผิดคาดแน่ๆ..เพราะผมห่วยกว่าอาจารย์ทุกคนที่นี่เลยครับ...จึงเป็นบัญชาของสวรรค์ ที่ผมต้องมาแก้ทุกข์ที่นี่...ยังไม่รู้อีกนานเท่าไร ท่านถึงจะเรียกกลับไป พิจารณาอีกว่า จะอยู่ถาวรที่สวรรค์ คอยสอพลอท่าน (?)ใกล้ๆ หรือไปลงนรกให้พ้นหูพ้นตา...ก็ยังไม่รู้เลยครับ

เรื่องงานออกแบบ..อุปมาเหมือนพระในวัด เลยทำแต่ที่ในวัด ตามที่สมภารสั่ง พอมีค่า ม่าม่า ไว้แอบฉันตอนกลางคืนได้บ้าง จะไปทำอะไรนอกวัด ก็ขัดๆกับปัญญาที่มีของผม...คือรู้พระอภิธรรมยังไม่แจ้ง นักธรรมเอก ก็ไม่ได้ เทศน์ยังไม่ค่อยมีคนเชื่อ..ขนาดอยู่ในวัด ก็แค่นานๆครั้งเป็นแค่พระสำรองกิจ...จะคิดไปเปิดบริษัทเทศน์นอกวัด..ก็บ้าจี้ซิคุณ...เลี้ยงลูกสองคนที่บ้าน (สึกแล้วนะ) ก็หืดขึ้นคอ เลี้ยงเพิ่มลูกๆ (นอกกระดอง) ในบริษัทอีก มิพาลตายเร็วหรึ... ยิ่งพวกเราช่วยกันทำจนฉิบหาย จะเจ้งประเทศอยู่ลำมะล่อ...ผมว่าผมคิดถูกว่ะ

ด้วยความบกพร่องทางส่วนตัวของผมดังกล่าว...เลยต้องทำงานออกแบบเป็นงานอดิเรก..แบบพอกันไม่ให้ลูกศิษย์เหยียดหยาม...เรียนหนังสือ (หลอกว่าเป็นสอน) กับพวกคุณๆเป็นงานหลัก..ตอบมาให้แล้วนะ..อย่าไปโพนทะนา ให้ท่านสมภาร (กลับเข้าวัดแล้ว) รู้ล่ะเดี่ยวโดนจับสึก แบบหล่วงพี่ที่หนีเที่ยวคาเฟ่ในข่าว..นะหนูนะ...ว่าจะไม่ยาวแล้วเชียวตู (บ่น)ก็บอกไปแล้วไง...พ่อ russian เอ้ย..มีอารมณ์ขัน (ซึ่งก็ขันอยู่แล้ว) เสียบ้าง ผมเผ้าจะได้ไม่ร่วงเร็ว (แต่อาจต้องหงอก) คิดเป็นแบบนักเรียน และอยู่ในวัด ทำได้แค่ไหน ก็ดีแล้วทั้งนั้น ใครให้เกรดอย่างไร ก็ช่างประไร เป็นพระก็ต้องสมถะ พึงชอบในสิ่งที่ตนมีอยู่ คือมีสันโดษ ไม่ใช่อยู่อย่างโดดเดี่ยวนะครับ เทศน์ดี ภาวนาดี องค์พระปฏิมาท่านรู้ ไม่ต้องไปอวดใครหลอก เช่น สมภาร หรือสีกาที่คอยอุปฐากอยู่ หรือ ไปอวดอิทธิฤทธ์ ปาฎิหารกับ สามเณรน้อย (เจ้าปัญญาด้วย..ป่าวไม่รู้นะ) เช่นพวกคุณ ตอบส่งเดช หรืออวดส่งเดช เดี๋ยวก็กลายเป็นพระบ้า...โดนจับสึกเอาง่ายๆ...สามเณรฉลาดก็น่าจะใช้ปัญญาพึงมีเห็นได้...อย่าเอาเวลาไปคอยแอบจับผิด พระผิดศีลผิดวินัยเลย...เริ่มภาวนาของตนเองเลยดีกว่า ภาวนามากๆก็เห็นธรรมเอง..มีดวงตาเห็นธรรมเป็นของเราแล้ว...อะไรต่ออะไรที่เห็น มันก็มีเหตุปัจจัยของมันเองทั้งสิ้น...ใจเรามันเป็นธรรมชาติว่างั้นเถอะ..

ขออีกนิด...เอาอย่างสิทธาระถะซิ (งานเขียนของ Heman Hassa) ปรารภกับพระพุทธเจ้าว่า ที่ท่านอธิบายอะไรต่ออะไร นั้นครบถ้วนสมบูรณ์ แต่มีสิ่งหนึ่งที่ท่าน ตอบไม่ได้คืออะไรเกิดขึ้นใต้ต้นโพธ์ พระพุทธเจ้าวางเฉย...เป็นอุเบกขา (หมายตอบถึงหนทางการตรัสรู้ไม่มีเหมือนกันทุกคน คือทางใครทางมัน บอกให้กันและกันก็ไร้ประโยชน์) และแล้ว สิทธาระถะก็ลาออกจากบรรพชิต กลับไปเริ่มต้นใหม่อย่างคนธรรมดา เรียนรู้สรรพสิ่งต่างๆ จนมาสิ้นสุดลงเป็นคนแจวเรือจ้าง ที่เพื่อนคือ โควินทะ ยกเรือให้ เพราะตนตรัสรู้แล้ว พร้อมไปเป็นบรรชิต สุดท้ายสิทธาระถะแจวเรือไปๆ จะตรัสรู้และกลับไปเป็นบรรพชิต หรือไม่ โปรดไปหาอ่านเองนะ....หลวงพี่ขอเตือนสามเณรน้อยมาถ้วนหน้า...แล


จาก…เพื่อนอาจารย์

คุณธรรมของครูอาจารย์และผู้บริหาร...มีดังนี้

"ความมีกัลยาณมิตรและเป็นกัลยาณมิตรนี้เป็นคุณสมบัติที่เราต้องการข้อแรกทีเดียวเราต้องตั้งเป้าหมายว่าทำอย่างไรจะให้ชุมชนหรือสังคมของเรา เป็นชุมชนแห่งกัลยาณมิตรคือคนที่อยู่ในชุมชนทางวิชาการ เช่นมหาวิทยาลัยนั้นจะต้องเป็นกัลยาณมิตรต่อกัน คือ เป็นปัจจัย หรือสิ่งแวดล้อมแก่กันในทางที่เอื้อต่อกันในการศึกษาหรือในการพัฒนาทุกด้าน ครูก็เป็นปัจจัยเอื้อต่อการพัฒนาชีวิตของลูกศิษย์ครูอาจารย์เองด้วยกัน และลูกศิษย์ต่อลูกศิษย์ด้วยกัน ก็เป็นปัจจัยเอื้อต่อกันผู้บริหารก็เป็นปัจจัยเอื้อต่อการเจริญงอกงามของครูอาจารย์และทุกคนในชุมชน"

ความตอนหนึ่ง...จากหนังสือ "เพื่อชุมชนแห่งการศึกษา และบรรยากาศแห่งวิชาการ" โดย พระธรรมปิฎก ( ป. อ. ปยุตโต)

อัญเชิญ…พระราชดำรัส


ถ้าครูไม่ห่วงประโยชน์ที่ควรจะห่วง หันไปห่วงอำนาจ ห่วงตำแหน่ง ห่วงสิทธิ์ และห่วงรายได้กันมาก ๆ เข้าแล้ว จะเอาจิตเอาใจที่ไหนมาห่วงความรู้ ความดี ความเจริญของเด็ก ความห่วงในสิ่งเหล่านั้นก็จะค่อย ๆ ปั่นทอนทำลายความเป็นครูไปจนหมดสิ้น จะไม่มีอะไรเหลือใช้ พอที่ตัวเองจะภาคภูมิใจ หรือผูกใจใครไว้ได้ ความเป็นครูก็จะไม่มีค่าเหลือ อยู่ให้เป็นที่เคารพบูชาอีกต่อไป


พระราชทานแก่ครูอาวุโสในโอกาสเข้าเฝ้าฯณ พระตำหนักจิตรลดารโหฐานวันเสาร์ที่ 21 ตุลาคม 2531

การเรียนการสอนวิชา sk.d


ตอบ


ขอขอบใจจริงๆ ที่ชมและคุยมา..เลยขอเปิดใจอีก โดยยังไม่ทราบว่า เป็นจำเลยด้วยหรือปล่าว
ผมเชื่อที่ความรู้ และปัญญา ที่ทุกคนอาจเรียนทันและเลยกันหมดได้ เพราะบารมีที่สะสมกันมา อาจไม่เท่ากัน ด้วยเหตุนี้ จึงไม่มีศิษย์ และอาจารย์ ในความเป็นจริงทางการศึกษา ตามหลักพุทธศาสนา (ที่ผมเข้าใจ)


เรื่องวิชา skd ในความเข้าใจของผม เห็นว่า เป็นงานออกแบบเชิงปฏิบัติการ ในสตูดิโอ อย่างฉับไว คือเอาความรู้ที่เรียนและเข้าใจ มาในวิชาอื่น มาสังเคราะห์ หรือประยุกต์ใช้ แก้ปัญหาการออกแบบ ที่กำหนดตามโปรแกรมแต่ละครั้ง โดยคำนึงถึง คุณภาพทางความคิดเคร่าๆ พอได้ความเข้าใจทางคุณภาพความคิด ทางการออกแบบสถาปัตยกรรม ขั้น Ideation, Conceptual or Schematic design ไม่มุ่งสาระ รายละเอียดและความสมบูรณ์ เหมือน วิชา PD ...เพราะมีเวลาที่ทำงานน้อยกว่า ด้วยเวลารวม ประมาณ 6 ชั่วโมง

ความมุ่งหวังผลของวิชา skd เจาะจงตามวัตถุประสงค์ ของโปรแกรมแต่ละอัน ที่อาจารย์กำหนด ในความเห็นผม ควรระบุสิ่งนี้ไว้ในวัตถุประสงค์ หรือการประเมินผล ที่อ่านเข้าใจได้ ในโปรแกรมด้วย...สำหรับส่วนตัว ผมมักกระทำสิ่งนี้ในทุกโปรแกรม ที่รับผิดชอบ...ลักษณะ หรือชนิดของปัญหาในโปรแกรม ผมมักเน้นเรื่องจินตนาการเป็นหลักเสมอๆ พูดให้ชัดอยากเห็น ความคิดเชิงแปลก ใหม่แต่เป็นไปได้ หรือความคิดสร้างสรรค์นั่นเอง..สิ่งนี้สอนไม่ได้ แต่ผมว่ากระตุ้น ให้แต่ละคนดึงศักยภาพของตนที่อาจหลบซ่อน ให้ปรากฏได้แน่ (ซึ่งแน่นอน ต้องไว้ใจและศรัทธาผมด้วย..ช่วยไม่ได้จริง)

การประเมินสำหรับผมโดยส่วนตัว ศาสตร์ทางสถาปัตยกรรม แยกแยะออกเป็น เชิงปริมาณทั้งหมด เหมือนทางคณิตศาสตร์ได้ยาก เช่น 2+2 อาจ = 22 หรือไม่ใช่ = 4 ก็ได้ (ซึ่งเป็นการ analogy ไม่ตรงนัก) ปัญหาทางสถาปัตยกรรม ที่อ้างกันมากใน ศาสตร์ทางวิธีการ ที่ผมสนใจเป็นเฉพาะ ก็อ้างเสมอว่า เป็นปัญหาชนิดแบบเปิด (illdefined or wicked problem) คือเป็นปัญหา ที่ประเมินเชิงคุณภาพ มีเรื่องคุณค่า และความอคติส่วนบุคคล และของแต่ละสังคม-วัฒนธรรม เกี่ยวข้องอยู่เสมอ ด้วยเหตุนี้ ศรัทธาและคุณค่า ของผู้ประเมินจึงเป็นสิ่งที่เกี่ยวข้องด้วย..ผมชอบที่ Frank Lloyd Wright กล่าวอ้างไว้ว่า ตัวเขาไม่เคยสนใจเข้าร่วมการประกวดแบบใดๆ เพราะเห็นว่าแบบที่ประกวดชนะนั้น คือแบบของ ผู้ตัดสิน ไม่ใช่ของสถาปนิกที่กระทำอิสระโดยตรง ประเด็นนี้ คือว่า skd ที่ได้ผลดี ก็ต้องขึ้นอยู่กับ การประเมิน เชิงคุณภาพ ของอาจารย์แต่ละท่านด้วย ซึ่งหลากหลายมาก

การชี้แนะสำหรับของผม เท่าที่นึกได้ คือว่า ๑. ผลงานควรนำเสนอคุณภาพ ของ ทักษะ ฝีมือ และการเสนองานเชิง การเขียน เท่าที่ฝึกฝนกันมา และยอมรับตามรูปแบบนิยมเฉพาะของแต่ละยุคสมัย..คือพิจารณาจากผลงานของผู้ที่ ผ่านการประเมินที่ดีมาแล้ว (ถ้าต้องการพัฒนาการ)...เหนืออื่นใด ควร เน้นให้ปรากฏเห็น ถึง ความตั้งใจทำงาน และให้ได้รวมสาระที่จะอธิบายความคิด รวบรัดและไม่ซ้ำซ้อนด้วย..คล้ายที่เคยฝึกมาในวิชา sketch ๒. แสดงความรู้ความเข้าใจที่เกี่ยวข้อง ที่แต่ละคนศึกษามา ให้ปรากฏในงานด้วย เช่น คุณภาพทาง architectural form and space เป็นต้น ๓. ความคิดสรุปที่ดี ควรเข้าใจได้ ในแง่ ทึ่ง แปลกใหม่ หรือเชิงสร้างสรรค์อื่นมากๆ...เรื่องนี้ พูดให้ชัดยากจริงๆ แต่เห็นแล้ว พวกเราทั่วๆไป ควรรู้สึกได้ และพอพูด..บลา..บลา..ตามเหตุผลส่วนตัวได้ แต่พูดให้ชัดเหมือนคณิตศาสตร์ไม่ได้แน่นอน ๔. การพัฒนาโดยรวมของการนำเสนอในวิชานี้ ในแต่ละโปรแกรม หรืออาจารย์แต่ละท่าน ต้องศึกษาจาก ผลงานนิสิตที่แต่ท่านให้ เกรดสูง..ศึกษาแล้ว ผมคิดว่าคุณควรพิจารณาในสิ่งที่คุณเห็นด้วย และยอมรับได้ หากแต่พึงระวังด้วยว่า...อย่ามัวคิดเอาใจคนอื่น โดยละเลยเอาใจตัวเองด้วย..

ถึงกระทำดังที่ผมกล่าวข้างต้น..ด้วยความถ่อมตน ผมคาดเดาว่า...อาจได้เพียงความใกล้เคียง หรือน่าจะได้ผลที่ไม่น่าขาดทุน หากแต่อาจมีกำไรน้อย หรือมาก ไม่แน่นอน และยืนยันไม่ได้ นอกจากคิดว่าอย่างต่ำไม่น่าจะน้อยกว่า c
ครู หรืออาจารย์ทั่วไป ชอบความตั้งใจทำงาน ความขยัน เอาใจใส่ ของนักเรียน หรือนิสิต ซึ่งผลงานคุณน่าจะทำให้ปรากฏและเข้าใจได้ เมื่อสัมผัส แม้ว่านิสิต ผู้นั้นจะไม่เก่งเลอเลิศก็ตาม เช่นความคิดอาจพื้นๆธรรมดา ไม่ทึ่งหรือสร้างสรรค์นัก (ซึ่งก็ขึ้นอยู่กับคุณค่าแต่ละคนที่มองอีกแหละ) เพราะความตั้งใจ เหมือนการแสดงน้ำใจ แห่งความเคารพ นบนอบอาจารย์ทางหนึ่งด้วย

แต่ก่อน....เรื่องการวิจารณ์ หรือเสนอแนะ ผมเคยกระทำ ในวันจันทร์ต่อมา หนึ่งอาทิตย์หลังจันทร์ที่ทำงานในสตูดิโอ คือเปิดโอกาศให้ซักถามปัญหา แต่มีนิสิตสนใจโดยรวมน้อยลงเรื่อยๆ จึงต้องเลิกลาไป ขณะนี้เปลี่ยนเป็นการให้งาน skd ทุกจันทร์ติดต่อกัน ส่วนการวิจารณ์ ให้อ่านดูในผลงานแต่ละคนที่อาจารย์เขียนไว้ หรือเมื่อเห็นผลการประเมินแล้ว ก็ซักถามกันเป็นการส่วนตัว

สิ่งดังกล่าวนี้... จากกระทู้ ผมเห็นว่ายังมีปัญหาที่ตัวอาจารย์เจ้าของโปรแกรมด้วย..ด้วยความเคารพ ผมว่าแต่ละท่านรวมทั้งผมน่าจะมีปัญหาไม่เหมือนกัน...ในความคิดผม (ซึ่งไม่มีอำนาจบริหาร หรือตัดสินใจ) ถ้าวิชาใดมันไม่มีความสุข ทั้งผู้สอนและผู้เรียนแล้ว คิดแบบฟันธง ในทางที่เป็นไปได้ โดยไม่บังคับใคร...ก็ คือยกเลิก หรือเปลี่ยนแปลงวิชานั้นเสียเลย เพราะวิชานี้กระทำมานานตั้งแต่ก่อตั้งคณะนี้....อาจารย์อาจเลี่ยนกันแล้ว..แต่ไม่กล้าบอก......

กระนั้นก็ตาม..ในส่วนตัว ผมพยายามเลี่ยง ความเลี่ยน..แต่อยากหาทางให้คุณๆและผมมีความสุข สำหรับวิชานี้ เพราะยังเห็นว่า เรื่องจินตนาการ ที่เรามีกันมาแต่เด็ก อยากคงไว้ แต่ มันไม่รู้ไปเน้นให้ชัดๆได้ในวิชาอื่นใด..ก็เลยคิดว่า ควรใช้วิชานี้.....เพราะการจินตนาการ หากใช้เวลามากๆ ไตร่ตรองมากๆ มันก็ลบหายไปเร็วในที่สุด....เรื่องนี้แนะนำ และสอนกันยาก ทำได้เพียงการกระตุ้นให้ได้อารมณ์เท่านั้น....จินตนาการไปแล้วก็แล้วกัน ได้รู้ได้เห็น ก็อาจพอร่วมอารมณ์กันได้บ้าง ไม่ได้บ้าง แต่เอาให้ประเมินกันชัดๆ ก็ยาก...เรียกว่าของใครของมันอยู่ดี.... ก็คล้ายคุยกันในเว็ปนี้แหละ มีอารมณ์อยากคุยก็คุย อยากตอบก็ตอบ ตรงมั่ง ไม่ตรงมั่ง ก็ไม่ควรแคร์ เพราะต่างคน ก็ต่างเข้าใจ... ก็นึกได้แค่นี้.. ทำให้คนตอบคนอ่านสบายใจแค่ไหน ก็แค่นั้น.. เลี่ยนเมื่อไหร่ หมดอารมณ์สนุก ก็เลิก เท่านั้นเองครับ

วิชา skd นี้โดยส่วนตัวผมอีกที (เพราะรับผิดชอบหลายคน และไม่รู้นิสิตรำคาญคนไหน). ..ถ้าต้องการเพิ่มเติม..กรุณานัดคุยเฉพาะของงานแต่ละคน ที่ผมเป็นผู้รับผิดชอบโปรแกรมได้ตลอดเวลา...แต่ต้องนัดมาส่วนตัวก่อน ถึงแม้ว่าผมยังไม่ได้ประเมินเสร็จก็ตาม ได้เห็นผลงานคุณ และเผชิญหน้ากันจะๆเลย..รับรองจะกระทำด้วยความเห็นอกเห็นใจ แก่กันและกันจริงๆ.. ด้วยความปรารถนาอยากให้ทุกคน รวมทั้งผมด้วย มีชีวิตอยู่ในโลกนี้ ด้วยเวลาที่เหลือของแต่ละคน อย่างมีความสุข และมีสัมมาทิฐิด้วยกันทุกๆคน

ก็เปิดใจตอบได้แค่นี้ และในเวลานี้นะครับ...ผมมันฉลาดไม่พอ..ที่ไม่สามารถเขียนตอบให้สั้นได้จริงๆจาก…เพื่อนอาจารย์

๑. คำตอบ skd สำหรับคนได้แต่..FFFFFF

เรื่องนี้ผมเองก็โดนถามมาเยอะ แทบทุกปี คำตอบก็มักลังเลอยู่เหมือนกันว่าตอบแบบเดิมคืออย่าไปแคร์มันมาก ก็ไม่น่าถูกต้องนัก กล่าวคือ เกรดเป็นสิ่งสำคัญสำหรับนักเรียน เหมือนเงินก็สำคัญสำหรับคนทำงานทั่วไป ถ้าได้เกรดดี เวลาตอบพ่อแม่ว่าการเรียนเราเป็นอย่างไร ได้เกรดดีๆ พ่อแม่เราก็เป็นปลื้ม เราก็พูมใจว่าได้ตอบแทนพระคุณท่านทางหนึ่ง แต่การเรียนบางครั้งก็ไม่ราบรื่นเสมอไป เหมือนการดำเนินชีวิตนั่นแหละ สาเหตุมันเกิดจากหลายกรณี ความคิดเห็นอาจไม่พ้อง หรือไม่ได้มาตราฐานของอาจารย์ก็ได้ ทั้งๆที่ความคิดเห็นของคุณดีและถูกต้องก็ได้ การทำให้ได้เกรดดี หรือหาเงินได้มากๆ มันมียุทธวิธีมากมาย ทั้งดีและเลว ประเด็นสำคัญเมื่อได้สิ่งที่ต้องการมาแล้ว ก็อาจทำให้เราเองไม่มีความสุขแบบยั่งยืนก็ได้ ถ้ายึดทฤษฎี หรือคำสอนของพระพุทธเจ้า ก็น่าจะเป็นคำตอบนี้ได้ ผมเคยยกอ้างเสมอว่า ถ้าเงินและอำนาจ เป็นที่สุดของชีวิตแล้ว พระพุทธเจ้าคงไม่ละหนี ออกไปบวชเป็นภิกษุ ที่ไม่มีอะไรเลย ทั้งเกรด หรือเงิน..แน่ละถ้ามองเชิงจิตวิทยา คนเกิดมารวย ได้เกรดดีมาตลอด ก็คงชิน แต่ตรงกันข้าม เกิดมาจน เรียนห่วยมาตลอด ก็อยากลิ้มรสใหม่ๆบ้าง คิดอย่างนี้ ผมว่าเป็นธรรมดาของมนุษย์ คือชอบเวียนว่ายตายเกิดในวัฏฏสงสารนี้ ผมเชื่อว่าผู้มีปัญญา ก็ต้องคิดที่ไม่ธรรมดา มุ่งแสวงหาความสุขแบบยั่งยืนตามภูมิปัญญาของแต่ละคนเข้าไว้ น่าจะเป็นผู้เจริญในที่สุดได้...พล่ามมาเสียยืดยาวชักจะจบไม่ลง เอากันดื้อๆ อีกนิด..เมื่อคืนดูหนังพวกมาเฟียทั้งหลาย มุ่งหาเงินเป็นสรณะ เพราะเงินคืออำนาจ สำหรับสังคมมนุษย์ปัจจุบัน ผลของความสุดท้าย ตายโหงแทบทั้งนั้น อุปมาเหมือนนักเรียนมุ่งเรียนเพื่อเกรด หาใช่ความรู้ที่ตนเองประจักษ์ได้ ผมว่าน่าลงท้ายเป็นผู้ด้อยปัญญาในที่สุด คงเห็นนิพพานอยาก อย่าว่าแต่ได้สัมผัสเลยนะ...อาเมนน

ทิปสำรับเรียนให้ได้เกรดดี คือทำอะไรทำอย่างมีความสุข (อ่านรายละเอียดเพิ่มเติมในหนังสือธรรมมะของท่านพุทธทาสภิกขุ) หรือเรียนด้วยความสนุกร่าเริง บำรุงใจให้เปี่ยมด้วยความดีงามเสมอๆ สิ่งดีๆๆ เกรดดีๆๆ เงินดีๆๆ ก็มาหาเราแน่นอน ไม่ต้องไปเพรียกหาแน่เลย..จบจริงๆ

๒. ประโยชน์ของวิชา skd สำหรับผู้ที่เบื่อๆๆๆๆ

ในความเห็นส่วนตัว ผมมองวิชานี้ เป็นช่องทางที่จะฝึกฝนทักษะด้านจินตนาการล้วนๆได้ ซึ่งผมว่าจำเป็นต่อความคิดสร้างสรรค์ ผมจึงพยายามเน้นโปรแกรม ที่จินตนาการเป็นหลัก อีกทั้งนิสิตได้มีการฝึกฝนการสะท้อนความคิด ทางการขีดเขียน สร้างสื่อเพื่อให้ผู้อื่นประทับใจและเข้าใจได้ด้วย เรื่องเวลาทำงานผมมักให้โปรแกรมวันศุกร์ เพื่อมีเวลาไตร่ตรอง ช่วงวันหยุด วันจันทร์จะได้ตัดสินใจเสนอความคิดมาส่ง....บอกตรงๆผมเองไม่เบื่อและเห็นว่าน่าจะเป็น


ประโยชน์ดังกล่าว...ที่เคยพบมาเทอมละโปรแกรมที่ผมรับผิดชอบ ความคิดของนิสิตบางคนดีเหลือเชื่อ...น่าสนใจมาก เผอิญผมไม่ทราบจะบันทึกเก็บไว้อย่างไร...ไม่งั้นคงได้เห็นกันตามที่ผมพูด....ผมเคยเขียนบทความที่เกี่ยวกับความคิดสร้างสรรค์ ว่าการพัฒนาน่าจะใช้วิชานี้เป็นหลักได้อย่างดี..จินตนาการสอนกันไม่ได้ แต่อาจกระตุ้นกันได้.....ส่วนการประเมินผมดูความตั้งใจในการทำงาน ทักษะฝีมือ และจิตนาการที่พอเป็นรูปธรรม ไม่ใช่ความปารถนาล้วนๆ อีกทั้งดูความรู้เสริมที่นิสิต ได้มาจากการอ่านนิยายจินตนาการ หรืออื่นๆบ้าง...เขียนอะไรมาไม่เคยให้ต่ำกว่า c- เพราะไม่อยากทำลายน้ำใจกันมากนักโดยไม่จำเป็น... ผมมีความเห็นดังนี้นะ....

๓. สำหรับคนที่ชอบ comment ใน skd

เรื่องนี้ ขออนุญาตโต้กันมากหน่อยนะ....อยากบอกว่า..การเรียนวิชาอะไร ควรมองให้สนุก อย่ามองอะไรให้เป็นทุกข์น่าจะดีกว่า ขอแก้ต่างแทนดังนี้ อจ.ที่ไม่คอมเมนต์ อาจตั้งใจตรวจก็ได้ การวัดอาจใช้วิธีการ "ฉับพลัน" ชอบ หรือไม่ชอบซัดกันตรงๆ ท่านอจ.แสงอรุณ (อจ.เก่าของคณะเรา..ตายไปแล้ว) ที่ผมเคารพรัก ก็ใช้วิธีนี้ ผมก็ยอมรับว่าอ่านกฏเกณฑ์ท่านไม่เคยถูก นึกว่าบางงานได้ A กลับกลายเป็น F ตรงข้ามบางที่นึกว่าจะ F กลายเป็น A ผมกลับคิดว่ามันได้อารมณ์ดี คือค้นพบว่า ในชีวิตจริงของคนเรา มันก็พลิกผันได้บ่อยๆเช่นกัน ทำให้ผมได้คิดว่า ชีวิตนั้นมันเป็น เช่น "ไม่แน่หรอกนาย" โดยหาเหตุ บางทีไม่ได้เลย จริงๆนะ...ถ้ามองอะไรเป็นเรื่องสนุกเข้าไว้ ทำโปรแกรมซ้ำก็มันดี ถ้าผมทำมากครั้ง ผมก็จะคิดเปลี่ยนความคิดให้ได้ทุกครั้ง รับรองไม่เอาของเก่าถึงได้ A แล้วมาฉายซ้ำเด็ดขาด ผมเป็นเด็กบ้านนอก คิดอะไรแบบคนบ้านนอก ไม่เคยสงสัยคนเป็นครูทุกคนที่สอนผมมา...มองท่านในแง่ที่ดีมีประโยชน์ต่อการพัฒนาคุณค่าชีวิตของผมเองเสมอ...อยากให้นิสิตอย่าเป็นคนมองอะไรในแง่ร้าย..ไม่งั้นจะมีแต่ความเศร้าหมองโดยเราไม่รู้ตัวป่าวๆ...เชื่อเด็กบ้านนอกคนนี้เถอะ..ชีวิตจะมีแต่ความสุขจริงๆ..ไม่ได้หลอกตัวเองเลยที่ตอบมาแบบนี้ครับ...สาบานได้

๔. การบ่นกับตนเอง ที่โลกเมื่อวันวาน หายไปแล้ว.....

ไปอ่านมาหมดแล้ว...ใจแป้วลงเยอะ ภาพ skd วันนี้ ต่างจาก ๓๐ ปีก่อนมาก สมัยนั้นนิสิตแข่งกันทำงาน เพื่อขายความคิดแปลกๆ ที่ไม่เหมือนใคร หรือแม้แต่เพื่อนฝูง ก็ปิดกันเป็นความลับสนิท ..ฝึกฝนฝีมือกันสุดๆ..อจ.เพียงตอบกลับมาเป็นเกรดเท่านั้น แปลกันเองว่าอจ. แต่ละท่านคิดอย่างไร เช่น...ชอบที่สุด...ขอบบ้าง....เฉยๆ...ชอบเล็กน้อย...ฮ่วยแตก...ฮ่วยสุดๆ แทนค่าด้วย A..B..C..D..F อันสุดท้ายเคยเห็นอจ. ให้คะแนน ติดลบ..(ไม่เคยกังขา..เพราะรู้ว่า อจ. ก็เป็นคนมีกิเลสธรรมดา)...สมัยนั้นสนุกเป็นบ้าเลย ไม่ค่อยเครียดกันเหมือนสมัยนี้....ถ้านิสิตสถาปัตย์ไม่สนเรื่องจินตนาการ.. (เพราะขาดสิ่งนี้แล้ว ผมว่าอะไรก็ไร้ค่าหมด)... คิดแต่จะออกแบบเชิงปฏิบัติให้สำเร็จใน เวลาไม่ถึงวัน (ซึ่งไม่รู้คิดให้ถูกได้อย่างไร..นึกไม่ออกว่าอะไรคือเหตุผลพอเป็น absolute truth.ที่ยอมรับตรงกันได้ มาวัดกันเห็นชัดๆ)..กันแล้ว บางทีอาจต้องพิจารณาตัวเองเรื่องนี้ครับ...ขอเวลาคิดช่วงปิดเทอมนี้หน่อย....เศร้าใจจริงๆว่ะ

๕. ตอบผู้แสวงหา ในสิ่งที่ไม่มี.....

เหตุผลหนึ่งของผม คือว่า คุณเอาปัจจัยภายนอกมาเป็นเกณฑ์ อาจลืมปัจจัยภายใน คือตัวเองไป คุณจึงไปแสวงหากฎจากภายนอก คือครู ถ้าคุณชอบเรื่องกฎ ควรเน้นกฎของคุณ คือกฎที่เกิดภายใน เพราะเป็นของคุณโดยสมบูรณ์ และควรพัฒนาเสมอให้สัมพันธ์กับภายนอกบ้างและด้วย ..อันความเป็นอัฉริยะ และความโง่ เกิดจากกฏที่อาจทวนกระแส กับกฏภายนอก หรืออาจสัมพันธ์กันน้อยมาก อาจไม่สัมพันธ์เลยก็ได้ แต่อันหลัง อาจปรากฏ หรือยอมรับ หรือสาบแช่ง...หลังคุณตายไปแล้วก็ได้ คุณจะแคร์อย่างไรเรื่องนี้เป็นเรื่องของแต่ละบุคคล ขึ้นอยู่กับ บุญกรรมเก่าหรือ ที่พระผู้เป็นเจ้าสร้างมา....

ทัศนะคติเรื่องนี้สำคัญมากๆ ผมแน่ใจว่ากฏภายนอก การแสวงหาเพื่อให้รู้จริง อยากมาก และไม่ค่อยจะแน่นอนสม่ำเสมอๆ เพราะมีปัจจัยหลายอย่างที่ควบคุมไม่ได้ เพราะไม่ใช่ของ ของคุณ......ผมสอนตัวเองและลูกๆเสมอ...ส่วนตัว สำหรับผมพอเข้าใจ และเชื่อได้บ้าง เป็นบ้างครั้งบางคราว... แต่ลูกๆอาจไม่เชื่อ หรือไม่เข้าใจได้เลย..ผมก็ไม่ว่า แต่เวลาสร้างประสบการณ์ของกันและกัน จะช่วยไขปัญหาของแต่ละคนได้ที่สุดเองครับ

อย่าเป็นนักเสี่ยงโชค หรือนักการพนันเลยครับ มันเป็นอบายมุข ตามหลักพระพุทธศาสนา..เลิกเสีย...จะได้ไม่ต้องห่วง..กองสลากกินแบ่งรัฐบาลนี้ว่าจะเจ้งเลย

กลับไปรวมมาให้อ่านอีก...คงได้อ๊วก..แตก จนเลิกคิดเรื่องนี้นะๆๆๆจาก….เพื่อนอาจารย์
ผมมีความเห็นดังนี้นะ....

๓. สำหรับคนที่ชอบ comment ใน skd

เรื่องนี้ ขออนุญาตโต้กันมากหน่อยนะ....อยากบอกว่า..การเรียนวิชาอะไร ควรมองให้สนุก อย่ามองอะไรให้เป็นทุกข์น่าจะดีกว่า ขอแก้ต่างแทนดังนี้ อจ.ที่ไม่คอมเมนต์ อาจตั้งใจตรวจก็ได้ การวัดอาจใช้วิธีการ "ฉับพลัน" ชอบ หรือไม่ชอบซัดกันตรงๆ ท่านอจ.แสงอรุณ (อจ.เก่าของคณะเรา..ตายไปแล้ว) ที่ผมเคารพรัก ก็ใช้วิธีนี้ ผมก็ยอมรับว่าอ่านกฏเกณฑ์ท่านไม่เคยถูก นึกว่าบางงานได้ A กลับกลายเป็น F ตรงข้ามบางที่นึกว่าจะ F กลายเป็น A ผมกลับคิดว่ามันได้อารมณ์ดี คือค้นพบว่า ในชีวิตจริงของคนเรา มันก็พลิกผันได้บ่อยๆเช่นกัน ทำให้ผมได้คิดว่า ชีวิตนั้นมันเป็น เช่น "ไม่แน่หรอกนาย" โดยหาเหตุ บางทีไม่ได้เลย จริงๆนะ...ถ้ามองอะไรเป็นเรื่องสนุกเข้าไว้ ทำโปรแกรมซ้ำก็มันดี ถ้าผมทำมากครั้ง ผมก็จะคิดเปลี่ยนความคิดให้ได้ทุกครั้ง รับรองไม่เอาของเก่าถึงได้ A แล้วมาฉายซ้ำเด็ดขาด ผมเป็นเด็กบ้านนอก คิดอะไรแบบคนบ้านนอก ไม่เคยสงสัยคนเป็นครูทุกคนที่สอนผมมา...มองท่านในแง่ที่ดีมีประโยชน์ต่อการพัฒนาคุณค่าชีวิตของผมเองเสมอ...อยากให้นิสิตอย่าเป็นคนมองอะไรในแง่ร้าย..ไม่งั้นจะมีแต่ความเศร้าหมองโดยเราไม่รู้ตัวป่าวๆ...เชื่อเด็กบ้านนอกคนนี้เถอะ..ชีวิตจะมีแต่ความสุขจริงๆ..ไม่ได้หลอกตัวเองเลยที่ตอบมาแบบนี้ครับ...สาบานได้

๔. การบ่นกับตนเอง ที่โลกเมื่อวันวาน หายไปแล้ว.....

ไปอ่านมาหมดแล้ว...ใจแป้วลงเยอะ ภาพ skd วันนี้ ต่างจาก ๓๐ ปีก่อนมาก สมัยนั้นนิสิตแข่งกันทำงาน เพื่อขายความคิดแปลกๆ ที่ไม่เหมือนใคร หรือแม้แต่เพื่อนฝูง ก็ปิดกันเป็นความลับสนิท ..ฝึกฝนฝีมือกันสุดๆ..อจ.เพียงตอบกลับมาเป็นเกรดเท่านั้น แปลกันเองว่าอจ. แต่ละท่านคิดอย่างไร เช่น...ชอบที่สุด...ขอบบ้าง....เฉยๆ...ชอบเล็กน้อย...ฮ่วยแตก...ฮ่วยสุดๆ แทนค่าด้วย A..B..C..D..F อันสุดท้ายเคยเห็นอจ. ให้คะแนน ติดลบ..(ไม่เคยกังขา..เพราะรู้ว่า อจ. ก็เป็นคนมีกิเลสธรรมดา)...สมัยนั้นสนุกเป็นบ้าเลย ไม่ค่อยเครียดกันเหมือนสมัยนี้....ถ้านิสิตสถาปัตย์ไม่สนเรื่องจินตนาการ.. (เพราะขาดสิ่งนี้แล้ว ผมว่าอะไรก็ไร้ค่าหมด)... คิดแต่จะออกแบบเชิงปฏิบัติให้สำเร็จใน เวลาไม่ถึงวัน (ซึ่งไม่รู้คิดให้ถูกได้อย่างไร..นึกไม่ออกว่าอะไรคือเหตุผลพอเป็น absolute truth.ที่ยอมรับตรงกันได้ มาวัดกันเห็นชัดๆ)..กันแล้ว บางทีอาจต้องพิจารณาตัวเองเรื่องนี้ครับ...ขอเวลาคิดช่วงปิดเทอมนี้หน่อย....เศร้าใจจริงๆว่ะ

๕. ตอบผู้แสวงหา ในสิ่งที่ไม่มี.....

เหตุผลหนึ่งของผม คือว่า คุณเอาปัจจัยภายนอกมาเป็นเกณฑ์ อาจลืมปัจจัยภายใน คือตัวเองไป คุณจึงไปแสวงหากฎจากภายนอก คือครู ถ้าคุณชอบเรื่องกฎ ควรเน้นกฎของคุณ คือกฎที่เกิดภายใน เพราะเป็นของคุณโดยสมบูรณ์ และควรพัฒนาเสมอให้สัมพันธ์กับภายนอกบ้างและด้วย ..อันความเป็นอัฉริยะ และความโง่ เกิดจากกฏที่อาจทวนกระแส กับกฏภายนอก หรืออาจสัมพันธ์กันน้อยมาก อาจไม่สัมพันธ์เลยก็ได้ แต่อันหลัง อาจปรากฏ หรือยอมรับ หรือสาบแช่ง...หลังคุณตายไปแล้วก็ได้ คุณจะแคร์อย่างไรเรื่องนี้เป็นเรื่องของแต่ละบุคคล ขึ้นอยู่กับ บุญกรรมเก่าหรือ ที่พระผู้เป็นเจ้าสร้างมา....

ทัศนะคติเรื่องนี้สำคัญมากๆ ผมแน่ใจว่ากฏภายนอก การแสวงหาเพื่อให้รู้จริง อยากมาก และไม่ค่อยจะแน่นอนสม่ำเสมอๆ เพราะมีปัจจัยหลายอย่างที่ควบคุมไม่ได้ เพราะไม่ใช่ของ ของคุณ......ผมสอนตัวเองและลูกๆเสมอ...ส่วนตัว สำหรับผมพอเข้าใจ และเชื่อได้บ้าง เป็นบ้างครั้งบางคราว... แต่ลูกๆอาจไม่เชื่อ หรือไม่เข้าใจได้เลย..ผมก็ไม่ว่า แต่เวลาสร้างประสบการณ์ของกันและกัน จะช่วยไขปัญหาของแต่ละคนได้ที่สุดเองครับ

อย่าเป็นนักเสี่ยงโชค หรือนักการพนันเลยครับ มันเป็นอบายมุข ตามหลักพระพุทธศาสนา..เลิกเสีย...จะได้ไม่ต้องห่วง..กองสลากกินแบ่งรัฐบาลนี้ว่าจะเจ้งเลย

กลับไปรวมมาให้อ่านอีก...คงได้อ๊วก..แตก จนเลิกคิดเรื่องนี้นะๆๆๆ

จาก….เพื่อนอาจารย์