วันอังคาร, ธันวาคม 21, 2547

ความถนัดทางสถาปัตย์ฯ


ความถนัดทางสถาปัตย์
นั่งคิดย้อนกลับไปตอนสอบเอนทรานซ์ ตอนนี้ก็ปี4แล้ว ก็คิดว่า ข้อสอบตอนนั้นมันก็ไม่เห็นจะเป็นข้อสอบความถนัดที่ดีเลย (แต่ผม ก็จำไม่ค่อยได้แล้วว่าข้อสอบออกอะไรๆชัดเจน) เพราะผมว่า พูดถึงคณะเรา คือ ออกแบบ Idea สร้งสรรค์ แต่ไม่ใช่วาดรูปสวย มือดี ซึ่งผมคิดว่า ความคิดเป็นหลัก แล้วมือที่ดีช่วยส่งเสริม
ผมไม่รู้ว่าเดี๋ยวนี้ข้อสอบเป็นไงแล้ว คุ้นๆที่สอบกันตอนนู้นก็ เขียนtive ที่คะแนนมากสุด ( อย่างการมอง plan front side อันนี้ผมว่าใช่ได้นะ ดูว่าใครมองแบบ 3 มิติ ได้ดี)ผมว่ามันไม่น่าคะแนนมากสุด ผมว่ามันไม่จำเป็น อย่างตอนนี้ผมเห็นเพื่อนผม มือแม่งอย่างห่วยเลย แต่ความคิดมันไม่ใช่ งานมันดีเลยทีเดีบว และ มีสำนึกดีด้วย มันใช่comนะเพราะมือมันไม่ดี ผมดูมันน่าจะเป็น creative ที่ดีได้เลย มัน เอน เข้ามาได้ไงมันก็ไม่รู้ มันเคยเข้ามา ติววาดรูป แล้วมันก็หนีไปเพราะมันอายเพื่อนๆ แถมปัจจุบันมีสื่อมากกว่า การวาดรูป ด้วยไม่รู้ ข้อสอบเป็นยังไงบ้างปีนี้
ผมไม่ได้ ไม่ชอบวาดรูปนะ ผมชอบเลยแหละ
โดย ธุลีscape [8 ม.ค. 2546 , 23:46:49 น.]

ข้อความ 1
เรื่องข้อสอบความถนัด สำหรับการสอบ เอ็นทร้าน ผมไม่อยากวิจารณ์ว่าเหมาะสม หรือไม่อย่างไร เดี๋ยวจะกลายเป็น "การยกตน ข่มท่าน" เป็นสิ่งไม่ดีต่อบัณฑิตที่พึงกระทำ
บอกตามตรง ผมชอบทำข้อสอบที่ไม่ตรงกับ ที่ผมถนัด หรือที่ไม่มีประโยชน์อะไรกับผมเลย ในตอนนั้น เพราะถ้าผมทำข้อสอบนั้นได้ และเอาสิ่งที่ไม่เป็นประโยชน์ ไปพยายาม คิดทำให้เป็นประโยชน์ได้ ..ผมน่าจะเป็น คน..ไม่ธรรมดา ซึ่งผมชอบเป็น แต่ยังไม่เป็น อย่างที่ว่าได้ซักที ..(แต่เป็นหลายทีครับ)..๕๕๕
ผมเห็นด้วยที่ว่าการเขียนรูปสวย ไม่ได้หมายความว่า จะออกแบบได้สวยด้วย แต่ก็มีประโยชน์ในแง่ทักษะการสร้าง หรือ การเห็นภาพในใจ แล้วนำจินตภาพนั้นออกมา จำลองให้สื่อกันได้เข้าใจมากขึ้น
ซึ่งจะสืบนำไปสู่ทักษะการคิดแบบเห็นภาพ หรือ Image Thinking ซึ่งเป็นลักษณะ การคิดที่สำคัญเหมือนกัน เคยมีการทดลอง พบว่านักเรียนสายวิทย์มักบันทึกข้อมูลไว้ ในใจแบบ ตัวเลข ข้อความ หรือเป็นเรื่องราว แบบ verbal information ส่วนพวกนักเรียน สายศิลป์มักตรงกันข้าม บันทึกเป็นภาพ หรือ องค์ประกอบเป็นแบบโครงสร้าง ที่นึกเป็นภาพได้ คือเป็นแบบ non-verbal information
ตัวอย่างที่ใช้ทดลองเช่น โปสเตอร์ ประกาศจับ โจร ที่มักให้ข้อมูลทั้งสองอย่างรวมกันไว้ใน โปสเตอร์คือ ภาพเสก็ตหรือภาพถ่ายจริงผู้สงสัย (non-verbal) และรายละเอียดของข้อความเช่น เพศ ความสูงเชื้อชาติ นำหนัก หรือรายละเอียดรูปพรรณสัญฐาน ต่างๆ (verbal) คนเห็นโปสเตอร์แบบนี้ จะถ่ายทอดข้อมูล ที่เน้นชนิดข้อมูลต่างกัน และก็มีคนที่มีทักษะกระทำได้ ดีทั้งสองอย่าง ...สถาปนิกควรมีทักษะในการรับรู้ข้อมูล ให้ได้ในหลายๆชนิด เช่นเห็นสูตรคณิตศาสตร์ ก็จะนึกเป็น ภาพได้ หรือเห็นภาพก็บอกสูตรสำเร็จได้ นักวิทยาศาสตร์ ที่เป็นอัจฉริยะ จะมีทักษะการรับรู้ทั้งภาษาวิทย์และภาษาศิลป์ สถาปนิกที่จะเป็นอัจฉริยะ ก็ควรเป็นเช่นกัน ..จริงไหม?
ผมเองเป็นนักเรียนบ้านนอก โดนพระเจ้าถีบให้มาเรียน ที่คณะนี้ วาดรูปได้คะแนนสู้พวกนักเรียนสวนกุหลาบ ที่เมืองหลวงไม่ได้เลย ความคิดรสนิยมก็บ้านนอก ไม่ทัน สมัยในทุกเรื่อง ซึ่งความต่างนี้ลดน้อยมากในปัจจุบัน เพราะเทคโนโลยี เช่น ทีวี มีกันได้ทุกจังหวัด ..ถ้ารักการเรียน ก็จะพัฒนาทักษะที่ขาดได้แน่นอน ผมก็พัฒนาจากชั้นเรียน และกับเพื่อนที่วาดรูปเก่ง ยอมตัวเป็นคนรับใช้ติดตามเพื่อน ไปวาดรูปกัน ก็ได้ทักษะหรือได้วิทยายุทธ์เพิ่มเหมือนพวก เรียนวิทยายุทธ์ในหนังจีนกำลังภายในทั่วไป ..
ถ้าไม่ชอบอะไรแรกๆ เช่น การวาดรูป หรืออะไรก็ตามเพราะ เราไม่ถนัด อย่าเพิ่งหนี ลองไปฝึกดูก็อาจเปลี่ยนเป็นชอบ ก็ได้ เพราะการวาดรูปมันเสริมทักษะการคิดแบบเห็นภาพ ก็สำคัญพอๆกับการคิดเห็นสูตรในงานสถาปัตยกรรม คิดให้ได้หลายๆรูปแบบ รวมทั้งคิดเหมือนเครื่องคอมพ์ (virtual reality) ได้ด้วย ผมว่า..จำเป็นสำหรับสถาปนิก ในสหศวรรษใหม่นะครับ
วิชาการหลายแหล่ในคณะฯหรือในอินเทอร์เนท ในห้องสมุด ในร้านขายเอกสารหรือชีทประกอบการสอนของคณะเรา รวมทั้งวิชาที่สอนเรียนกันในห้องเรียน ผมมักเปรียบเหมือน กองขยะ และการเรียนรู้ คือ การฝึกทักษะฝึกเลือกสรรขยะนั่นเอง ผู้เรียนต้องรู้จักเอาเศษขยะเหล่านี้ไปสร้างสรรสิ่งใหม่ๆและ ทำให้เกิดประโยชน์ในการดำเนินชีวิตของเราแต่ละคนให้ได้ เพราะฉะนั้น อย่าพึงมองข้ามขยะอะไรที่เราอาจนึกว่าไม่มีค่า เช่น การวาดรูป เพราะถ้ามองกันดีๆ ก็จะเห็นประโยชน์ดังกล่าวได้ เพราะที่นี่หรือที่ไหนก็เป็นแหล่งวิชาการ แบบกองขยะแทบทั้งนั้น ให้ดีหน่อยก็เอามาจัดใส่กล่องใส่ถังเป็นหนังสือ หรือการบรรยาย แยกแยะกันออกมาเป็นของใครของมัน ซึ่งอาจทำให้สะดวกกับลูกค้า ได้เลือกสรรขยะ เอาไปแยกแยะ แล้วก็นำไปใช้เป็นขยะความรู้ของ แต่ละคนได้ง่ายขึ้น ..ก็เท่านั้นเอง คิดหรือมีคติอย่างนี้ บางทีอาจทำให้จิตของเราใหญ่พองโตขึ้นบ้างนะครับ
ผมคุยมาตรงที่จะต้องการคุยหรือป่าว? ไม่รู้นะ เพราะเป็นคน ที่ชอบคุยให้ตัวเองฟังเป็นส่วนมากๆ ...ครับ
โดย เพื่อนอาจารย์ [10 ม.ค. 2546 , 16:06:03 น.]

ข้อความ 2
ข้อสอบความถนัดฯ ปีนี้ ก็ง่ายกว่าปีที่แล้วมากๆ ค่ะ ไม่มีการมองแบบเปอร์สเปคทีฟ ส่วนใหญ่จะเป็นการออกแบบ เหมือนว่าจะดูความคิด ข้อสอบก็ แบบว่า มีไม่ไผ่มาแท่งนึง เราจะเอาไปทำอะไรได้บ้าง แบบนี้ล่ะค่ะ อีกข้อก็เป็นแผ่นซีดี แล้วก็มีช่องให้วาดภาพนะคะ แบบว่า มีเส้นโค้งๆ อยู่มุมล่าง มีเส้นตรงๆแนวนอนอยู่ตรงกลาง ให้เราวาดภาพแบบจินตนาการ ให้หัวข้อมา 2 หัวข้อ รู้สึกว่าจะเป็น พักผ่อนหรือฤดูร้อน อะไรนี่ กับ งานเลี้ยง ค่ะ และยังมีแบบว่าให้ออกแบบกรงนกที่เลี้ยงปลาได้ ให้กะคนที่อยู่บ้านเล็กๆ ต้องการความสะดวกสบาย ทำนองนี้ล่ะค่ะ
ก็ยอมรับค่ะ ว่าตัวเองก็วาดรูปไม่เก่ง แต่ว่าเป็นคนที่ชอบออกแบบ ชอบจินตนาการ ก็เลยคิดอยากจะเข้ามาเรียนในคณะนี้ สำหรับคะแนนเอนท์ที่ซุ่มเก็บมาก็พอจะเข้า ม. ในกรุงเทพ ได้ แต่ด้วยเหตุผลส่วนตัวว่า กลัว กลัวสังคม กลัวความเป็นเด็กบ้านนอกของตัวเอง จะทำให้ตัวเองดูแตกต่าง ก็เลยตัดสินใจ เลือก ม. ต่างจังหวัดดีกว่า
โดย กิ๊ฟ [16 มี.ค. 2546 , 15:59:32 น.]

ข้อความ 3
อยากถามอาจารย์อีกนิดนึงฮะ คือพักหลังนี่ จะมีเด็กผู้หญิงสอบเข้ามาได้มากกว่าเด็กผู้ชายเรื่อยๆ อยากทราบว่า เป็นเพราะข้อสอบหรือเปล่าครับ คือ ผมคิดว่าผู้ชายและผู้หญิงมีความถนัดในด้านต่างๆไม่เหมือนกัน อย่างเช่นว่า ผู้ชายถนัดด้านกลไก โครงสร้าง ผู้หญิงถนัดงานละเอียดเช่นพวก textile อะไรอย่างนี้ ข้อสอบความถนัดนี้มีผลในแง่ข้างต้นบ้างหรือเปล่าครับ เช่นเน้นด้านทฤษฏี ท่องจำมากไป หรืออะไรทำนองนี้ หรือเป็นเพราะผมคิดไปเอง แล้วพวกเรื่องผลการเรียนครับ คือผมไม่เห็นว่าพวกที่ได้เกรดมากกว่าจะจำเป็นว่า ต้องเก่งกว่าพวกได้เกรดน้อยในการทำโปรเจคจริงๆเลย พวกจีแพ็คเยอะบางทีก็เป็นพวกนักทฤษฏีสูง เอาเข้าจริงก็ทำงานไม่เห็นได้เรื่องเท่าไหร่ เราควรมีระบบการวัดผลการเรียนที่ดีกว่านี้หรือเปล่าครับ หรือว่าไม่มีทางวัดได้อยู่ดี
โดย นิสิตไอดี [22 มี.ค. 2546 , 14:59:21 น.]

ข้อความ 4
เรื่องการประเมินผล ทดสอบความถนัด คัดสรรคนเข้ามาเรียนในแต่ละคณะฯ
คิดวิธีการใดๆ..ผมว่ายากจะหาความสมบูรณ์ได้ชัดเจน เหมือนการค้นหาทฤษฎีสมบูรณ์ทางวิทยาศาสตร์ จนป่านนี้ก็ยังหากันไม่พบ..บางทีอาจไม่มีก็ได้ แต่คนก็พยายาม..โดยเลี่ยงไปหาทฤษฎีย่อยๆ ที่เกี่ยวข้องกัน..แล้วมาอธิบายความจริงต่างๆ ความเท็จ..ความจริงเลยมั่วกันไปเรื่อยๆ
ผมคิดว่า..เรื่องบางเรื่องอย่าไปหามันให้วุ่น ถ้าจะทดสอบอะไร..ก็จงทำมันไปเถอะ อาจ โดยใช้สัญชาติญาณดิบๆที่ติดตัวมาแต่ชาติก่อน ก็น่าจะใช้ ..ผ่านทดสอบได้ก็ดี..จะได้ไปทำสิ่งอื่นต่อ ไม่ผ่าน..ก็อย่าไปกลุ้ม เพราะคนทดสอบเราไม่ใช่ พระเจ้าแน่นอน..เผลอๆพระเจ้าอาจให้เราไปอยู่ ในที่ๆเหมาะสมกว่า..มีคติอย่างนี้อาจไม่ถูกหรอกนะ แต่ผมว่าทำให้เราสบายใจดีถ้าทำได้..และทำให้ เรายังมีความเชื่อมั่นหรือมีคุณค่าในตัวเองอยู่อีก ผมว่า..เรื่องนี้สำคัญ ต้องมั่นสร้างกำลังใจให้ตนเอง ไว้เสมอนะครับ ..เหตุผลก็มีพิสูจน์ได้เห็นต่างๆนานา เช่นเรียนเก่งได้เกรดดี แต่ทำงานไม่ได้เรื่อง ก็มีเยอะ..บางคนก็ยังทำชั่วติดคุก..ก็มี ฯลฯ แต่การหมั่นทำใจให้บริสุทธิ์ สะอาดและเป็นสุขเข้าไว้ แม้ยังพิสูจน์ไม่ได้ว่าจะได้ไปสวรรค์ในชาติหน้าหรือป่าว แต่ที่แน่ๆคือ..จะอยู่ในสวรรค์ของชาตินี้แน่ๆ และ ก็ต้องแน่นอนที่จะได้พบพานแต่สิ่งดีๆ แน่เลย พลังความดีงาม..เป็นอนุภาคทางบวกนะครับ น่าจะทำให้เอกภพ "พองตัว" เป็นอนันต์ มากกว่า ทำให้ "หดตัว" นะครับ
การวัดผล บางที..เว้นคิดถึงเรื่องที่เรายังควบคุมมันไม่ได้ ก็น่าจะดีกว่านะครับ..รอให้มีปัญญามากขึ้น อำนาจในการควบคุม หรือการมีความรอบรู้ ก็จะพิจารณาเรื่องต่างๆได้โดยง่ายขึ้นกว่า ที่เรากำลังเป็นหรือกำลังวุ่นวาย..อยู่ขณะนี้ นะครับ
โดย เพื่อนอาจารย์ [23 มี.ค. 2546 , 09:12:59 น.]

ข้อความ 5
เรื่อง "เพศหญิง" ได้คัดสรรกันมามากขึ้น ก็พอมีเค้า...ผมว่าดีนะ เพราะบทบาทของผู้ หญิงมีส่วนน้อยกับการปกครองในอดีต โดยเฉพาะในสังคมไทย แม้จะยกย่องกันบ้าง แต่ก็ยังน้อย ...เอกภพพอพองตัวมากเข้า..ก็ จะต้องถึงคราวหดตัวลง ..ผู้หญิงกลับมามีบทบาท มากขึ้นแทนผู้ชาย น่าจะอยู่ในช่วงเอกภพหดตัว ละมัง..ครับ อย่าไปกังวลเรื่องการแบ่งเพศมากนัก ในทางพุทธศาสนา..ไม่มีเพศในชั้นปรมัตต์ คือ ทุกคนที่เป็นมนุษย์สามารถบรรลุธรรมได้เท่ากัน
สัญญาณการหดตัวของเอกภพ อาจขึ้นอยู่กับบทบาท ของสตรีก็ได้นะครับ ดรรชนีความเป็น "ตุ๊ด" อาจ พอเป็นตัวชี้แนะก็ได้เหมือนกัน ...หากผมต้องไปเกิดใหม่ ในช่วงเอกภพกำลังหดตัว ...แม้ผมเป็นเพศชาย แต่ก็อาจมีพฤติกรรมเป็นตุ๊ดก็ได้..who care?
โดย ขออีกที [23 มี.ค. 2546 , 09:29:19 น.]

ไม่มีความคิดเห็น: